เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 64 พิธีการต้อนรับสุดพิเศษ ประลองเพลงหมัด
บทที่ 64 พิธีการต้อนรับสุดพิเศษ ประลองเพลงหมัด
เมื่อซูเย่สัมผัสได้ถึงพลังปราณธรรมชาติรอบกาย ดวงตาของเขาก็ลุกวาว
มันอาจจะมีความบริสุทธิ์น้อยกว่าพลังปราณธรรมชาติของโลกมนุษย์ แต่ความหนาแน่นนั้นมีมากกว่ากันหลายเท่า
หากอาศัยสถานที่นี้เป็นที่ดูดซับพลัง อีกไม่นาน เขาจะต้องเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสามตอนปลายได้แน่นอน!
คิดได้ดังนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
ห่างออกไปข้างหน้า
โมหลี่กำลังเดินนำทางทุกคน
ในกลุ่มผู้คน ซูเย่เอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของโมหลี่
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่อีกฝ่ายปรากฏตัว ซูเย่ก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มในชุดฮั่นฝูคนนี้มีพลังอยู่ในขั้นสี่
เมื่อลองคิดหาคำตอบดูดีๆ ซูเย่ก็ได้ทราบว่าหากไม่ได้มีระดับพลังสูงส่งถึงขั้นนี้ ก็คงใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในดินแดนภูผามหานทีไม่ได้เด็ดขาด
เนื่องจากปัจจัยสำคัญต่อการอาศัยอยู่ในดินแดนปริศนาแห่งนี้ ความแข็งแกร่งต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง!
“ทุกคนคงมีข้อสงสัยมากมาย ผมจะช่วยตอบให้ก็แล้วกัน”
ระหว่างที่เดินนำทาง โมหลี่ก็หันหน้ากลับมาส่งยิ้มให้แก่ทุกคน “แท่นหินที่พวกคุณเพิ่งเดินลงมานั้น เป็นทางเข้าออกของดินแดนแห่งนี้ จะเรียกว่ามันเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่ผิด สาเหตุที่ต้องทำให้พวกคุณยืนอยู่บนแท่นหินพวกนั้นก่อน ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ เคยมีผู้บาดเจ็บจากการตกกระแทกพื้นดินมามากมายเกินพอแล้ว”
ทุกคนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เปรียบเสมือนการตกจากที่สูง ถ้ามีเบาะลมคอยรองรับ ความเจ็บปวดจากการตกกระแทกก็จะลดน้อยลง
“เราเรียกที่นี่ว่ามหานครตะวันออก”
โมหลี่อธิบายต่อไป “ในดินแดนแห่งนี้ เราจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นหกส่วนสำคัญ พื้นที่แต่ละส่วนล้วนได้รับการดูแลโดยรัฐบาลจีน และเราตั้งชื่อแต่ละเขตแดนเอาไว้ว่าดินแดนมหานครตะวันออก ดินแดนมหานครเหนือ ดินแดนมหานครตะวันออกเฉียงเหนือ ดินแดนมหานครตะวันตกเฉียงเหนือ ดินแดนมหานครตะวันตกเฉียงใต้ และดินแดนมหานครใต้ตามลำดับ”
“แต่ ณ ปัจจุบัน มหานครแต่ละแห่งยังไม่สามารถเชื่อมต่อกัน ทุกคนที่อาศัยอยู่ในมหานครตะวันออก ยังไม่สามารถติดต่อกับผู้คนในมหานครอื่นๆ ได้”
“ที่นี่มีพื้นที่สำคัญอยู่สามจุด เปรียบเสมือนพื้นที่ระดับ 30 – 40 ในเกม Fantasy Dream เมื่อทุกคนเข้าสู่พื้นที่เก็บไอเท็ม ชีวิตของคุณก็จะถูกกำหนดด้วยความสามารถของสองมือและมันสมองของตนเอง ข้อมูลคร่าวๆ ที่ผมต้องแจ้งให้พวกคุณทราบก็มีประมาณนี้”
“ตามผมมา”
หลังจากอธิบายข้อมูลโดยสรุป โมหลี่ก็ยิ้มหวานให้แก่ทุกคนและเดินนำทางไปยังจัตุรัสที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ที่นี่เป็นลานจัตุรัสจริงๆ
มันมีขนาดกว้างกว่าลานแผ่นหินซึ่งเป็นทางเข้าออกของประตูมิติหลายสิบเท่า
ขณะนี้ มีผู้คนสวมใส่ชุดฮั่นฝูจำนวนมากเดินไปเดินมาในลานจัตุรัส แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนที่สวมใส่เสื้อผ้าของยุคสมัยใหม่ปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน
“ที่นี่มีกฎระเบียบเรื่องการใส่เสื้อผ้าหรือเปล่าครับ?”
จินฟานสอบถามออกมาด้วยความสงสัย
“ไม่มีกฎระเบียบอะไรหรอก”
โมหลี่ตอบกลับมายิ้มๆ “คุณจะใส่ชุดฮั่นฝูก็ได้ คุณจะใส่ชุดจากสมัยราชวงศ์ถังก็ได้ หรือคุณจะใส่ชุดแบรนด์เนมของโลกปัจจุบันก็ได้ ขอแค่ไม่เปลือยกายล่อนจ้อนก็พอแล้ว แต่แน่นอนว่าถ้าคุณใส่ชุดฮั่นฝูออกไปล่าสัตว์ประหลาด คุณก็คงโง่เต็มที”
ทุกคนพยักหน้ารับทราบ
พวกเขาไม่ได้โง่
เมื่อเดินเข้าไปถึงลานจัตุรัส กลุ่มผู้มาใหม่ก็ได้พบกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าคล้ายคลึงกัน และคนกลุ่มนั้นก็กำลังกวาดสายตาสำรวจมองรอบบริเวณด้วยความสงสัยใคร่รู้
ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้ก็คงเพิ่งจะเข้ามาในดินแดนภูผามหานทีได้ไม่นานเช่นกัน
“เนื่องจากพวกคุณเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ตามปกติแล้ว เราจะจัดพิธีการต้อนรับให้เป็นพิเศษ”
โมหลี่ปรบมือเรียกความสนใจจากกลุ่มผู้คนและพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หวังห่าวก็ก้าวแยกออกไปจากกลุ่มผู้มาใหม่
“เชิญ”
โมหลี่นำตัวผู้ฝึกยุทธ์เดินหน้าไปอีกประมาณ 100 เมตร ก่อนจะผายมือและพูดว่า “นี่คือพิธีต้อนรับของพวกคุณ”
ทุกคนจ้องมองไปข้างหน้า
และได้เห็นกับคนกลุ่มหนึ่งที่มีสภาพเหมือนกับถูกใครบางคนทำร้ายร่างกายมาก่อนหน้านี้
“ร่องรอยฟกช้ำดำเขียวของพวกเขา ถือเป็นเป็นของที่ระลึกจากการเข้าร่วมพิธี”
โมหลี่ยิ้มกว้าง
ทุกคนจ้องมองไปยังกลุ่มผู้ที่ถูกทำร้ายอีกครั้ง
และพวกเขาก็ได้พบว่าคนกลุ่มนั้นบางส่วนใบหน้าบวมปูด ในขณะที่คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าโกรธแค้นไม่ปิดบัง
แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเลย
และเมื่อคนกลุ่มนี้แยกย้ายกระจายตัวไป
ชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดเกราะทองเหลืองโบราณท่าทางองอาจผ่าเผยคนหนึ่ง ก็ชำเลืองมองไปยังกลุ่มคนที่ถูกทำร้ายซึ่งทยอยเดินหนีไป ก่อนจะหัวเราะเยาะและหันกลับมามองหน้าพวกของซูเย่
“เด็กใหม่ใช่ไหม?” เขาถาม
หลังจากนั้น ชายหนุ่มในชุดเกราะทองเหลืองก็นำลูกสมุนของตนเองเดินเข้ามาหาพวกของซูเย่
เมื่อกลุ่มชายหนุ่มชุดเกราะทองเหลืองเข้ามาใกล้
ทุกคนก็ได้กลิ่นคาวเลือด กลิ่นคาวเลือดจากการต่อสู้ และนอกจากนี้ พวกเขายังสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารจากร่างกายชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวยะเยือกและไม่สบายใจ
ชายหนุ่มในชุดเกราะทองเหลืองพูดจาน้ำเสียงแข็งกระด้างไม่ต่างไปจากชุดเกราะที่เขาสวมใส่
และนั่นยืนยันได้ว่าเขาคือผู้ฝึกยุทธ์จากสนามรบตัวจริง!
“นี่คือหยางเปียว หนึ่งใน 50 อันดับแรกของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม” โมหลี่ยังคงอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เอาละ ขอเชิญทุกคนเข้าร่วมพิธีการต้อนรับได้”
พูดจบ
โมหลี่ก็ถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง เตรียมตัวรับชมการต่อสู้
“ตึงตึงตึง…”
เสียงฝีเท้าหนักแน่นกระแทกลงไปบนพื้นดิน
ชายหนุ่มนามหยางเปียวจ้องมองโมหลี่ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อยและเดินตรงมาหากลุ่มผู้มาใหม่ เขากวาดสายตามองหน้าทุกคนด้วยความเรียบเฉย สุดท้ายก็ถามน้ำเสียงเย็นชาว่า “ในกลุ่มพวกคุณ ใครคือคนที่แข็งแกร่งมากที่สุด?”
เมื่อถามคำถามนี้ออกมา
กลุ่มคนผู้มาใหม่รวมไปถึงหวังห่าวก็หันขวับไปจ้องมองที่ซูเย่โดยอัตโนมัติ
“นายเหรอ?”
หยางเปียวเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าซูเย่
ทุกคนรีบถอยออกไป
และได้แต่คิดในใจว่า
ลูกพี่ซู ไม่ใช่พวกเราไม่รักลูกพี่นะ แต่เป็นลูกพี่แข็งแกร่งมากที่สุดต่างหาก เราไม่ควรเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง มีแต่ใช้ไม้ซุงงัดไม้ซุงด้วยกันเองนั่นแหละที่สมควรแล้ว
ขณะนี้ จึงเหลือแต่เพียงซูเย่ผู้เดียวเท่านั้นที่ยืนเผชิญหน้าอีกฝ่าย
นายตำรวจหวังห่าวยืนอยู่ที่ด้านข้าง รอรับชมการต่อสู้อย่างมีความสุข
“ฉันจะออมมือให้นายหน่อยก็แล้วกัน”
หยางเปียวมองหน้าซูเย่และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“งั้นให้ผมโจมตีก่อนได้ไหม?”
ซูเย่ถามและยิ้มมุมปาก
“ไม่มีปัญหา”
หยางเปียวหัวเราะเยาะ
“คุณแน่ใจนะ?”
ซูเย่ถามย้ำอีกครั้ง
“โจมตีเข้ามาได้เลย”
หยางเปียวขยับถอยหลังและผายมือออกกว้าง เป็นสัญญาณเชื้อเชิญให้จู่โจม
ซูเย่ยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น
ในตอนนี้
คนอื่นๆ ที่กำลังเดินไปเดินมาในลานจัตุรัสต่างก็หันหน้ามองมาที่พวกเขาเป็นจุดเดียว
รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน ราวกับมองเห็นภาพอนาคตว่ากลุ่มผู้มาใหม่ต้องเจ็บตัวขนาดไหน
นี่แหละพิธีต้อนรับสุดพิเศษ!
ทุกคนที่เข้าสู่ดินแดนภูผามหานทีเป็นครั้งแรกจะต้องผ่านการรับน้องโดยผู้ฝึกยุทธ์รุ่นพี่ที่มีแต่ให้ของขวัญเป็นกำปั้นล้วนๆ
คนเก่ารังแกคนใหม่
เป็นการสั่งสอนให้รู้ว่าที่นี่ใครใหญ่!
แต่ทว่า
ดูเหมือนหนึ่งในผู้มาใหม่คนนี้จะแตกต่างกว่าผู้มาใหม่ที่ผ่านๆ มา
เขาถึงกับขอเป็นฝ่ายโจมตีก่อน?
เมื่อทุกคนลองคิดดูให้ดี พวกเขาก็ทราบว่านี่เป็นการขอร้องที่มีเหตุผลทีเดียว
เพราะขอเพียงหมัดเดียว เป็นหมัดที่ดีที่สุด ก็สามารถโค่นล้มผู้ฝึกยุทธ์รุ่นพี่ได้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มผู้มีนามว่าหยางเปียวไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับผู้มาใหม่เลยสักครั้ง
และเขายังติดหนึ่งใน 100 อันดับแรกของผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งที่สุดอีกด้วย!
วินาทีต่อมา
ในขณะที่ทุกคนรอคอยจะได้เห็นชายหนุ่มผู้มาใหม่ถูกสั่งสอน แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า กลับทำให้ดวงตาของพวกเขาเบิกโต
นั่นเป็นเพราะว่า
ชายหนุ่มผู้มาใหม่สืบเท้าก้าวเดินเข้าไปต่อยหมัดใส่หน้าอกของหยางเปียวเต็มแรงเสียงดังผลั่ก!
หยางเปียวลอยกระเด็นออกไปทันที
ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด!
นี่มันอะไรกัน?
“ฉันเพิ่งเห็นอะไรไปเนี่ย?”
“หยางเปียวนักรบเกราะทองเหลืองถูกเด็กใหม่ต่อยกระเด็นเลยเหรอ? นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า?”
“เด็กใหม่คนนั้นเป็นใครกัน?”
ในลานจัตุรัส ทุกคนที่ให้ความสนใจต่อการต่อสู้ในครั้งนี้ถึงกับต้องยกมือขยี้ตาด้วยความเหลือเชื่อ
และกลุ่มผู้มาใหม่ที่มีรอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้า ต่างก็จ้องมองมาด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน
เมื่อสักครู่ พวกเขาต่อสู้กับหยางเปียวมาแล้ว จึงรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งขนาดไหน
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของโมหลี่
ในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม
หยางเปียวนับเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ยามลงมือต่อสู้กับผู้ใด โอกาสที่จะชนะอย่างง่ายดายมีถึง 99 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันก็ยังร้องขอให้เขาออมมือให้ อย่าว่าแต่ขณะนี้ คู่ต่อสู้อีกฝ่ายกลับเป็นเพียงเด็กใหม่คนหนึ่ง?
ในเวลาเดียวกันนี้
ทุกคนที่รู้จักหยางเปียวย่อมทราบดีว่าหยางเปียวไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบประมาทคู่ต่อสู้
นั่นเป็นเพราะหยางเปียวชื่นชอบการต่อสู้
ยามที่เขาต่อสู้ หยางเปียวจะแสดงความแข็งแกร่งออกมาอย่างน่าหวาดกลัวมากที่สุด และชัยชนะที่ผ่านมาของเขา คือสิ่งที่ยืนยันได้ดีเสมอว่าหยางเปียวไม่เคยประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป
ถึงในครั้งนี้ เขาจะอนุญาตให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่ได้เป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามสืบเท้าเดินเข้ามา หยางเปียวก็ยกมือเตรียมป้องกัน และขยับเท้าอยู่ในท่าพร้อมสำหรับการหลบหลีกเรียบร้อยแล้ว
แต่ว่า
ซูเย่ก็ยังคงปล่อยหมัดออกมาได้สำเร็จอยู่ดี
ทำไมหยางเปียวถึงไม่ปัดป้อง?
นี่ไม่มีเหตุผลเลย
เป็นไปได้หรือที่ชายหนุ่มหน้าใหม่จะมีทักษะการต่อสู้แข็งแกร่งกว่าหยางเปียว?
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ทุกคนก็ยิ่งประหลาดใจมากเท่านั้น
แม้แต่ตัวของหยางเปียวเองก็ยังอดทึ่งในการโจมตีของซูเย่ไม่ได้
“เป็นไปได้ยังไง?”
เขาได้แต่ถามตัวเองอยู่เช่นนั้น
หยางเปียวมีหน้าที่คอยต้อนรับเด็กใหม่ สร้างความหวาดกลัวและยำเกรงให้แก่กลุ่มผู้มาใหม่ เขาทำงานนี้มาได้พักใหญ่แล้ว และไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
เมื่อสักครู่ เขาอยากจะยกมือขึ้นปัดป้องกันการจู่โจมของซูเย่ แต่การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่ดูเชื่องช้านั้น ความจริงกลับรวดเร็วมาก
รู้สึกตัวอีกทีก็โดนต่อยกระเด็นกลิ้งออกมาแล้ว
นี่คือเรื่องสำคัญที่สุด
มันไม่ใช่กำปั้นธรรมดา แต่เป็นกำปั้นที่แฝงด้วยพลังลมปราณ ทำให้หยางเปียวต้องกลิ้งกระเด็นไปหลายตลบ
น่าอับอายขายหน้าที่สุด!
นี่คือความรู้สึกที่หยางเปียวรับไม่ได้!
เขาลุกขึ้นมาปัดฝุ่นจากหน้าอกของตนเอง เดินกลับมามองหน้าซูเย่และถามว่า “มีฝีมือเหมือนกันนี่ ขอถามหน่อยสิว่านายชื่ออะไร หมายเลขอะไร?”
“ผมชื่อซูเย่”
“หมายเลข 25009527”
ซูเย่ตอบชื่อและหมายเลขของตนเอง
หยางเปียวนำข้อมูลไปตรวจสอบกับนาฬิกาข้อมือ
หลังจากนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโต ก่อนจะหันมามองหน้าซูเย่ด้วยความไม่อยากเชื่อ
ทุกคนพากันมึนงงสงสัย
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมอยู่ดีๆ หยางเปียวถึงได้มีสีหน้าแบบนี้?
ตัวตนของชายหนุ่มหน้าใหม่คือใครกันแน่?
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่วลานจัตุรัส ในที่สุด หยางเปียวก็ต้องสูดหายใจลึก พูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นายคือซูเย่ที่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามสินะ?”
“ก็น่าจะใช่มั้งนะครับ”
ซูเย่คิดเล็กน้อยก่อนตอบ “ผมยังใหม่กับเรื่องนี้ ไม่ค่อยรู้เรื่องลำดับคะแนนอะไรเท่าไหร่ แต่เคยมีคนบอกอยู่เหมือนกัน”
เมื่อได้รับฟังคำตอบเช่นนี้
ทุกคนที่ได้ยินก็ถึงกับตกตะลึง
นี่มันอะไรกัน?!
ชายหนุ่มหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ดินแดนภูผามหานทีเป็นครั้งแรกคนนี้ คือเจ้าของตำแหน่งอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามอย่างนั้นหรือ?