เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 65 ค่ายอาคมการรวมปราณค้นพบโดยซูเย่
บทที่ 65 ค่ายอาคมการรวมปราณค้นพบโดยซูเย่
หมอนี่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม ก่อนเข้าสู่ดินแดนภูผามหานทีอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนจ้องมองไปทางซูเย่ด้วยความประหลาดใจและเคลือบแคลงสงสัย
นี่คือสิ่งที่อธิบายได้แล้วว่าเพราะเหตุใดเขาจึงสามารถเอาชนะหยางเปียวได้อย่างง่ายดาย!
โมหลี่ก็กำลังมองหน้าซูเย่ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
ดูเหมือนผู้มาใหม่กลุ่มนี้จะมีอัจฉริยะแฝงตัวอยู่ด้วยสินะ!
เหมือนเคยมีใครบอกเขามาแล้วใช่ไหม?
ใช่แล้ว
เป็นหวังห่าวนั่นแหละที่เคยบอก!
นายตำรวจหนุ่มยิ้มมุมปากให้กับท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจต่อสิ่งใดๆ ของซูเย่
พวกของซูชือหันไปมองหน้ากลุ่มผู้ฝึกยุทธ์รุ่นพี่ด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือรายชื่อลำดับคะแนน อะไรคือลูกพี่ซูได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งก่อนมาที่นี่?
บางส่วนจึงแอบไปกระซิบถามเรื่องลำดับชั้นกับหวังห่าว
หวังห่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าการเป็นอันดับหนึ่งหมายถึงอะไร
ยิ่งได้รู้สถิติของซูเย่มากเท่าไหร่
ทุกคนก็ยิ่งจ้องมองซูเย่ด้วยความตกตะลึงมากเท่านั้น
ลูกพี่ซูสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นที่สี่ได้เชียวหรือ…
ซูเย่เดินกลับไปยืนรวมกลุ่มกับพวกของตนเอง ก่อนจะหันไปมองโมหลี่ที่หลบไปยืนอยู่ข้างทางและถามว่า “ยังมีพิธีอะไรอีกไหมครับ?”
เมื่อคำถามนี้ถูกถามออกมา
หยางเปียวและลูกสมุนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็มีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความอับอาย
แม้ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะเป็นหน่วยลาดตระเวน แต่ก็ได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบการทำพิธีรับน้องใหม่ด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เด็ก การพ่ายแพ้ให้แก่คนที่เพิ่งเริ่มฝึกวิทยายุทธ์ได้ไม่นานเช่นนี้ คือเรื่องที่น่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง!
“ไม่มี พิธีการต้อนรับจบลงแล้ว”
โมหลี่ยืนอยู่ตรงนั้นยังรู้สึกอับอายแทนพวกของหยางเปียวจึงได้แต่ปั้นยิ้มและปรบมือพูดเสียงดัง “ผมจะพาพวกคุณเดินดูรอบๆ ก่อน ยังมีอีกหลายอย่างที่พวกคุณต้องทำความรู้จัก”
“กรุณาตามผมมา”
หลังจากนั้น โมหลี่ก็เดินนำขบวน
มีแต่เพียงกลุ่มคนผู้มาถึงก่อนหน้านี้เท่านั้นที่แยกไปอีกทาง
และภายใต้การนำทางของโมหลี่
ทุกคนก็มาถึงตึกสูงหลังหนึ่ง
ประตูหน้าของตึกหลังนี้เปิดกว้าง ขณะนี้ กำลังมีผู้คนเดินเข้าออกตลอดเวลา
“นี่คือหอรับภารกิจ”
เมื่อพาทุกคนเดินเข้ามาด้านในตึกเรียบร้อยแล้ว โมหลี่ก็หันมาอธิบาย “ลองดูข้างในก่อนสิ”
ซูเย่กวาดสายตามองโดยรอบ
โครงสร้างเป็นอาคารแบบโบราณ การตกแต่งก็เป็นแบบย้อนยุค แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดก็คือหน้าจอขนาดใหญ่ซึ่งฝังอยู่บนกำแพงด้านหนึ่งและกินพื้นที่ของกำแพงฝั่งนั้นไปทั้งหมด
นับเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของยุคสมัยเก่าและยุคสมัยใหม่
บนหน้าจอขนาดยักษ์นี้เป็นการแจ้งเตือนเกี่ยวกับภารกิจต่างๆ
“หน้าจอที่พวกคุณเห็นผลิตขึ้นมาจากวัสดุชนิดพิเศษ”
โมหลี่ผายมือไปทางหน้าจอขนาดใหญ่ “เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของโลกภายนอกไม่สามารถใช้งานได้ที่นี่ พวกเราจึงมีแต่ต้องหาอุปกรณ์ในดินแดนภูผามหานทีมาสร้างเป็นเครื่องมือเหล่านี้เท่านั้น และมันก็ต้องใช้ความพยายามของนักวิทยาศาสตร์มากทีเดียว”
ทุกคนพยักหน้า
“ภารกิจทุกชนิดจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พวกคุณลองเข้าไปดูก่อนก็ได้”
โมหลี่ว่า
ซูเย่ยืนมองอยู่พักใหญ่
เขาเห็นภารกิจจำนวนมาก
ตัวอย่างเช่น การขุดหาสมุนไพรวิเศษสามารถนำมาแลกกับหยกปราณธรรมชาติได้ เช่นเดียวกับการล่าสัตว์ประหลาดเพื่อนำมาแลกของรางวัลระดับสูง และยังมีภารกิจอื่นๆ อีกมากมาย
“ที่นี่เราจะใช้สกุลเงินเป็นหยกปราณธรรมชาติ เมื่อคุณทำภารกิจสำเร็จ คุณก็จะได้รับหยกปราณธรรมชาติเป็นค่าตอบแทน หรือถ้าคุณไม่สะดวกจะขอรับเป็นเงินสดแทนก็ได้ โดยอัตราการแลกเปลี่ยนนั้น หยกปราณธรรมชาติระดับสามัญหนึ่งชิ้นจะมีมูลค่าเท่ากับเงิน 10,000 หยวน แน่นอนว่ายิ่งหยกปราณธรรมชาติมีคุณภาพสูงมากเท่าไหร่ คุณก็สามารถนำมาแลกเป็นเงินได้สูงมากขึ้นเท่านั้น”
“ตราบใดที่พวกคุณทำงานหนักและขยัน คุณก็จะกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีที่โลกภายนอกได้ไม่ยาก”
“แต่เชื่อผมเถอะว่าคุณคงไม่อยากแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดหรอก”
“เพราะยิ่งคุณมีหยกปราณธรรมชาติเยอะเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น!”
ทุกคนพยักหน้า
นี่คือสิ่งที่พวกเขาทราบดี
แต่ถ้าช่วงไหนร้อนเงินก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หยกปราณธรรมชาติในดินแดนภูผามหานทีมีจำนวนค่อนข้างมาก แต่นั่นก็แลกมาด้วยความบริสุทธิ์ของมันที่ดีไม่เท่ากับหยกปราณธรรมชาติบนโลกมนุษย์ด้านนอก
“และแน่นอนว่านอกจากมาที่นี่เพื่อขอแลกเงินสดได้แล้ว คุณยังสามารถมาที่นี่เพื่อขอรับสิ่งที่จำเป็นสำหรับการฝึกวิทยายุทธ์ได้อีกด้วย อย่างเช่น การขอใช้งานค่ายอาคมรวมพลังปราณ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่หยกปราณธรรมชาติ 50 ชิ้น หรือคิดเป็นเงิน 500,000 หยวนต่อหนึ่งครั้งนั่นเอง…”
โมหลี่จบการอธิบายเพียงเท่านี้
หยกปราณธรรมชาติ 50 ชิ้น?
ซูเย่หันกลับไปมองหน้าหวังห่าวด้วยแววตาดุดัน
หยกปราณธรรมชาติ 50 ชิ้น?
ไม่คิดว่าตัวเองหน้าเลือดเกินไปหน่อยหรือไง?
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป แค่ขุดสมุนไพรวิเศษธรรมดายังยากลำบาก กว่าจะได้หยกปราณธรรมชาติแต่ละชิ้นเลือดตาแทบกระเด็น
แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือ พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อรับหยกปราณธรรมชาติจากรัฐบาล แต่ก็ต้องส่งหยกปราณธรรมชาติคืนให้แก่รัฐบาลด้วยเช่นกัน
รัฐบาลมีแต่ได้กับได้ชัดๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูเย่ก็รู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง!
หวังห่าวแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาของซูเย่
ราวกับเขาต้องการจะบอกว่า เรื่องนี้ฉันไม่เกี่ยวด้วยนะ ไม่ต้องมามองฉัน
“พวกคุณรู้จักค่ายอาคมการรวมปราณกันบ้างไหม?”
โมหลี่ต้องอธิบายต่ออย่างช่วยไม่ได้ “ค่ายอาคมการรวมปราณคือสิ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่ามีคุณสมบัติในการรวบรวมพลังปราณธรรมชาติ ขณะนี้ พวกคุณคงรู้สึกแล้วว่าที่ด้านนอกมีพลังปราณธรรมชาติอยู่หนาแน่นมาก แต่การดูดซับพลังผ่านค่ายอาคมการรวมปราณนั้นจะมีประสิทธิภาพดีมากกว่าการนั่งรวมปราณปกติหลายร้อยหลายพันเท่า!”
“มันจะช่วยเสริมสร้างให้พวกคุณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
“แต่สิ่งแรกที่พวกคุณต้องทำ ก็คือการทำงานเพื่อหาหยกปราณธรรมชาติมาจ่ายค่าใช้งานค่ายอาคมนี้”
“ถึงเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อยที่ใครสักคนจะสามารถเก็บสะสมหยกปราณธรรมชาติได้ครบ 50 ชิ้น แต่ขอแค่คุณมีความพยายามมากพอ ผมก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งพวกคุณต้องทำได้ และมันก็จะส่งผลดีต่อตัวพวกคุณเองไปตลอดชีวิต”
โมหลี่เอาแต่พูดแนะนำเกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษของค่ายอาคมการรวมปราณ โดยปลูกฝังให้ทุกคนเชื่อว่าการเก็บหยกปราณธรรมชาติเอามาจ่ายเป็นค่าใช้งานค่ายอาคมนี้ คือเรื่องที่สมควรทำที่สุดแล้ว
เขาบรรยายถึงความดีเลิศของมัน
และโมหลี่ก็ไม่ปิดบังเลยว่า ตนเองเคยเข้ารับการใช้งานค่ายอาคมการรวมปราณมาแล้ว
แต่ระหว่างที่โมหลี่บรรยายสรรพคุณความดีเลิศ เขากลับพบว่ากลุ่มคนฟังกำลังหัวเราะคิกคัก
หัวเราะอะไรกันไม่ทราบ?
โมหลี่จ้องมองทุกคนด้วยความสงสัย
“พี่ใหญ่โมหลี่”
หวังห่าวอดช่วยคลี่คลายความสงสัยไม่ได้ “ซูเย่คือคนที่ให้ข้อมูลกับรัฐบาล เรื่องการใช้งานค่ายอาคมรวมปราณนี้เองแหละ”
“หา?”
โมหลี่เบิกตาโตด้วยความตะลึงลาน
ซูเย่เป็นคนค้นพบค่ายอาคมนี้อย่างนั้นหรือ?
เขาอุตส่าห์อธิบายอยู่ตั้งนานให้กับคนที่ค้นพบมันฟังเหรอเนี่ย?
ความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโมหลี่
“อะแฮ่ม!”
โมหลี่กระแอมไอเล็กน้อย ก่อนปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังมากขึ้น “แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เดี๋ยวผมจะบอกวิธีการใช้งานนาฬิกาอัจฉริยะให้พวกคุณทราบ”
พูดจบ เขาก็รีบเดินนำทุกคนไปยังเคาน์เตอร์ที่ตั้งอยู่ด้านข้างห้องรับภารกิจ
“นาฬิกาอัจฉริยะ ก็คือนาฬิกาแบบเดียวกับที่เขากำลังใส่”
โมหลี่ชี้ไปที่นาฬิกาบนข้อมือของหวังห่าว “คุณจะขอรับนาฬิกาได้ด้วยการแจ้งชื่อและหมายเลขประจำตัว”
“นอกจากใช้ดูเวลาได้แล้ว นาฬิกาชนิดนี้ยังทำได้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเวลาตกอยู่ในอันตราย การตรวจสอบข้อมูลและลำดับชั้นของผู้ฝึกยุทธ์ ไปจนถึงการติดต่อขอรับภารกิจได้โดยตรง”
“และนอกเหนือไปจากความสามารถเหล่านี้ นาฬิกาอัจฉริยะยังทำได้อีกหลายอย่าง พวกคุณลองใช้งานดูกันเองก็แล้วกัน เพราะถึงผมพูดไป พวกคุณก็คงจำได้ไม่หมดอยู่ดี”
หลังจากนั้น ทุกคนก็รีบแจ้งชื่อและหมายเลขของตนเองเพื่อรับนาฬิกาอัจฉริยะจากเคาน์เตอร์มาคนละเรือน…
เมื่อได้นาฬิกามาแล้ว พวกเขาก็เริ่มใช้งานด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สิ่งแรกที่ทำคือการตรวจสอบลำดับชั้นของผู้ฝึกยุทธ์
มีแถบลำดับชั้นให้กดดู
เมื่อกดเข้าไป
ก็จะมีหน้าจอโฮโลแกรมขนาด 20 เซนติเมตรปรากฏขึ้นมาด้านบนนาฬิกา
นี่คือรายชื่อลำดับชั้นของผู้ฝึกยุทธ์
“ให้ตายสิ ลูกพี่ซูอยู่อันดับหนึ่งจริงๆ ด้วย”
“สมแล้วที่เป็นลูกพี่ของพวกเรา”
“ถ้าตำแหน่งอันดับหนึ่งไม่ใช่ของเขา แล้วยังจะเป็นของใครได้อีก?”
“นั่นสิ พวกนายจะแปลกใจอะไรกัน ถ้าลูกพี่ไม่ใช่อันดับหนึ่งสิถึงจะแปลก”
ทุกสายตาจ้องมองมาที่ซูเย่ด้วยความอิจฉาริษยา
“เอาละ เรื่องที่ผมต้องแนะนำพวกคุณก็มีเพียงเท่านี้”
โมหลี่ส่งเสียงขึ้นมาขัดจังหวะผู้คน “ตอนนี้พวกคุณได้นาฬิกาข้อมือประจำตัวกันเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญออกไปสำรวจที่นี่ได้ตามอัธยาศัย…”
ขาดคำ
ดวงตาของทุกคนก็เป็นประกายแวววาวด้วยความตื่นเต้น
ออกสำรวจ?
พวกเขาจะทำอะไรดีนะ?
ทุกคนแค่อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วโลกต้นแบบของเกม Fantasy Dream นั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่!
ตอนนี้ ข่าวเรื่องที่ว่าซูเย่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม ได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดนภูผามหานทีเรียบร้อยแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ ปรากฏผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากกำลังเข้ามารับภารกิจ
หลังจากที่กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่เดินเข้ามา เหล่าผู้ฝึกยุทธ์หน้าเก่าที่เข้ามารับภารกิจก็รั้งรออยู่ต่อไปอีกเล็กน้อย เพราะพวกเขาอยากจะสำรวจมองซูเย่ให้เห็นเต็มๆ ตา เพื่อดูว่าเจ้าของตำแหน่งอันดับหนึ่งของกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร?
แน่นอนว่า
มีหลายคนไม่เชื่อมั่นในฝีมือของซูเย่
เมื่อเขาเดินออกมาจากหอรับภารกิจ ซูเย่ก็พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ที่ด้านนอก
“นายคือซูเย่ใช่ไหม?”
น้ำเสียงที่หนักแน่นดังขึ้น แล้วชายหนุ่มที่สะพายดาบไว้บนแผ่นหลังคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของซูเย่เป็นครั้งแรก
สีหน้าของหวังห่าวแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นหน้าคนผู้นี้
เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้มีตำแหน่งเป็นถึงอันดับสามในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม และเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังของมหานครตะวันออกนามว่าเฉินจิ้นขุย!
โมหลี่ตกตะลึงในการปรากฏตัวของเฉินจิ้นขุยอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เขาจะฉีกยิ้มออกมา
น่าสนใจมาก ไม่ว่าใครต่างก็ให้ความสนใจที่ผู้มาใหม่กลุ่มนี้ทั้งนั้น
หรือว่าผู้ที่มีตำแหน่งเป็นอันดับสามแห่งมหานครตะวันออก กำลังจะขอท้าดวลกับผู้ฝึกยุทธ์ตำแหน่งอันดับหนึ่งหน้าใหม่?
นี่ควรค่าต่อการรับชมเป็นอย่างยิ่ง
“นายเป็นใคร?”
ซูเย่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
“ตำแหน่งอันดับสามในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม และเป็นอันดับสามของมหานครตะวันออก เฉินจิ้นขุย!
เฉินจิ้นขุยแนะนำตนเองขณะมองหน้าซูเย่ไม่วางตา
ได้ยินดังนั้น
สีหน้าของพวกซูชือก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พวกเขาจำได้ดีว่าเฉินจิ้นขุยปรากฏอยู่ในรายชื่อลำดับต้นๆ ของลำดับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ ชายหนุ่มมีพลังอยู่ในขั้นที่สามระดับหก อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถเลื่อนขึ้นสู่ขั้นที่สี่ได้แล้ว!
ดูเหมือนว่าในดินแดนภูผามหานทีจะมียอดฝีมือรวมตัวอยู่มากมายทีเดียว
หยางเปียวผู้ทำหน้าที่รับน้องใหม่ในลานจัตุรัสก่อนหน้านี้ มีตำแหน่งอยู่ที่อันดับ 40 ในรายชื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามเท่านั้น แต่ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าพวกเขาขณะนี้อยู่ถึงอันดับสามเชียวนะ
ผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี
แล้วลูกพี่ซูของพวกเขาจะรับมือไหวหรือไม่?
หลายคนอดเป็นห่วงซูเย่ไม่ได้
หวังห่าวก็กำลังขมวดคิ้วมองไปที่ซูเย่ด้วยความเป็นกังวล เขาไม่แน่ใจเลยว่าหากซูเย่ต้องต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับยอดฝีมือด้วยกันเอง ผลการต่อสู้จะออกมาเป็นเช่นใด
“ก่อนหน้านี้ ผมไม่ทันได้เข้าร่วมพิธีต้อนรับน้องใหม่ ไม่ทราบว่าผมขอทำพิธีเองอีกรอบได้ไหม?”
เฉินจิ้นขุยหันไปถามยิ้มๆ กับโมหลี่
โมหลี่ผายมือออกว้างและตอบว่า “ถามความสมัครใจของเด็กใหม่เองก็แล้วกัน”
เฉินจิ้นขุยหันหน้ากลับมามองซูเย่ “นายจะว่าไง?”
“ไม่มีปัญหา”
ซูเย่ตอบ
“งั้นช่วยแสดงฝีมือให้ฉันเห็นเป็นบุญตาหน่อยเถอะว่า อันดับหนึ่งหน้าใหม่มีความแข็งแกร่งสักแค่ไหน”
เฉินจิ้นขุยประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อม
พรึบ
กลุ่มคนที่รวมตัวอยู่บริเวณนั้นรีบถอยออกมาเว้นที่ว่างให้กับบุรุษหนุ่มทั้งสองคนทันที
ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปที่คนทั้งคู่
“เห็นว่านายมือเปล่า งั้นฉันก็จะไม่ใช้อาวุธเหมือนกัน เรามาดวลกำปั้นกันเถอะ” เฉินจิ้นขุยปลดดาบลงจากตัว และประสานมือคำนับว่าที่คู่ต่อสู้อีกครั้ง
ซูเย่ประสานมือตอบกลับไปเช่นกัน
“มาเริ่มกันเถอะ”
ในวินาทีต่อมา กำปั้นของเฉินจิ้นขุยก็พุ่งเข้าใส่ลำคอซูเย่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด