เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - ตอนที่ 268 การแสดงตอนตั้งแคมป์
ตอนที่ 268 การแสดงตอนตั้งแคมป์
พูดไปพูดมา พอซูหยุนเพิ่งนึกถึงเรื่องในอดีต ปมในใจเขาก็ ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง…..
ปากบางๆของเหมิงโม่กระตุกเล็กน้อย “ยังไง นึกถึงเรื่อง เศร้าของนายอยู่เหรอ เมื่อกี้ยัง รักอยู่เลยนะ ” ทำตัวเป็นอาจารย์สอนความ
“แหม่ๆ เรื่องความรักเนี่ย…..มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนจริงๆนะ แต่ว่าถึงจะซับซ้อนอย่างไรก็ไม่เท่ากับความซับซ้อนของผู้ หญิงหรอก เป้หมิงเอ๋อ ฉันพูดตรงๆนะ นายต้องพาฮอนฮอน ตบแต่งเข้าบ้าน นายมีเมีย มีลูกแล้วนะ แบบนี้อะไรๆก็ลงตัว พอดี จะมานั่งกลุ้มอยู่ทำไม
แต่งกับเธอ?” เป้หมิงโม่นัยน์ตาลุ่มลึกวูบไหวไปครู่หนึ่ง “นายไม่รู้เหรอว่าถ้าฉันไม่รัก ฉันก็ไม่แต่งหรอกนะ”
“เอ้า นายไม่ได้รักฮอนฮอนหรอกเหรอ”
“ใครบอกว่าฉันรัก รักเธอกับรักที่จะมีอะไรกับเธอมัน คนละเรื่องกันนะ”
“อ๋อ..เข้าใจแล้ว…
“เข้าใจว่า?”
“รักกับการครอบครองมันคนละเรื่องกัน
” ชายบางคนสับสน
ท่าจะไม่ดี วันนี้ได้ยินประโยคนี้ถึงสองครั้งแล้ว
คืนนี้ เป้หมิงไม่เมาหัวราน้ำกลับบ้าน ล้มหัวลงก็นอนหลับ สนิท ใครมันจะไปมีแรงมานั่งคิดว่าอะไรคือความรัก อะไรคือ การครอบครอง แล้วมันแตกต่างกันยังไงอีก
การฟ้องร้องครั้งนี้ เป็นข่าวดังไปทั่วทุกสารทิศ ทางศาลจึง รีบจัดแจงวันและเวลาเพื่อนัดขึ้นศาล
เป้หมิงโม่ยังคงทำตัวลึกลับ ฮอนก็ถ่อมตัวเหมือนเดิม นิตยสารซุบซิบมีข่าวออกมาจนมืดฟ้ามัวดิน ดูเหมือนว่าเป็น ข่าวที่นักข่าวกขึ้นมาและเขียนเองทั้งนั้น แต่ผู้คนก็ยังคงให้ ความสนใจและพูดต่อๆถึงคดีความเรื่องดังเรื่องนี้
ในส่วนของโจทก์และจำเลยของการฟ้องร้องทั้งสองฝ่าย นั้น หลังจากที่ถูกนักข่าวใส่สีตีไข่เข้าไป เขียนเหมือนว่า กลายเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมกันไม่ได้ไปเลย
คดีความใกล้เข้าสู่การขึ้นศาลแล้ว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการที่จะนำหลักฐานที่เป็นประโยชน์ ต่อฝังตัวเองมายื่น และเป็นมิงโม่ที่อยู่กับลูกทั้งสองนั้น ก็ดูจะ ได้เปรียบมากกว่า
แต่จะทำยังไงถึงจะทำหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขา
ก้นล่ะ
ดังนั้น ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศแจ่มใสและเย็นสบาย แบบนี้ เป้หมิงไม่จะพาลูกทั้งสองเข้าร่วมกิจกรรมนี้เป็นครั้ง แรกในชีวิต…
กิจกรรมตั้งแคมป์นั่นเอง!
นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นหลักคือกิจกรรมตั้งแคมป์ครั้งนี้ คุณชายรองตระกูลเปหมิงได้เชิญกลุ่มช่างภาพและทนายไป ร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย
เหตุผลก็คือ พาเด็กๆไปทำกิจกรรมครอบครัว นั่นแสดง ให้เห็นว่าเขาไม่เพียงสามารถให้ลูกๆได้รับการเลี้ยงดูที่ดี เขายังรักและเอาใจใส่ลูกอีกด้วย หลักฐานเหล่านี้เมื่อยื่นต่อ ศาลแล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อเขามาก
คำพูดของเฉิงเฉิง
นี่คงเป็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบเอามากๆ และที่ประชด คือ ทั้งครอบครัวแห่ไปแสดงโชว์กันในป่าในเขา
คําพูดของหยางหยาง
นี่เป็นการเดินทางที่น่าอัศจรรย์ครั้งหนึ่ง ที่น่าดีใจก็คือ ก่อนออกเดินทางเขาได้แอบโทรบอกแม่แล้ว
ฮอนพอได้ข่าวก็ฉุนขึ้นมา “พ่อของลูกสมองมีปัญหาหรือไงกัน พาลูกๆ สองคนออกไปเที่ยวแล้วยังจะต้องมีกลุ่ม ช่างภาพไปด้วยอีก เขาคิดว่าเขาเป็นพระเอกจะไปถ่ายละคร หรือยังไงกัน
ในสายก็ยังคงมีเสียงบ่นต่อของฮอน
ฉิงตัวทําหน้าที่เป็นคนขับพาสามพ่อลูกนั่งรถออฟโรดลุย ป่า ออกเดินทางอย่างรีบร้อน
และยิ่งไปกว่านั้น ข้างหลังรถพวกเขา ยังมีรถของทีมช่าง ภาพตามมาอีกสองคัน……
ระหว่างทาง มีแต่เสียงตื่นเต้นของหยางๆที่พูดเจี้ยวจ้าวไม่ หยุด ส่วนเหมิง โม่กับเฉิงเฉิงนั้นก็เงียบมาตั้งแต่ออกเดิน
ทาง
เงียบจนง่วงหลับไปแบบนั้น
เฉิงเฉิงเริ่มง่วงเป็นเพราะรถโยกไปมา ยิ่งโยกไปมานาน เท่าไหร่เด็กก็จะหลับง่ายเท่านั้น
เปหมิงไม่เริ่มง่วงเป็นเพราะเขาไม่ได้ยินหรือชอบกับการ เดินทางในครั้งนี้เลย
สําหรับคุณชายรองตระกูลเปหมิงแล้ว พาผู้หญิงไปเข้าป่า ยังน่ากระตือรือร้นกว่าพาเด็กสองคนนี้มาเข้าค่ายเสียอีก
ใบหน้าของจึงตัวดูไร้อารมณ์ไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนตัว เองเป็นอากาศ ทำหน้าที่ขับรถของเขาไป
ภายในรถมีสี่คน สามคนทำตัวเหมือนเป็นอากาศ ถึง หยางหยางจะพลังงานเยอะแค่ไหนก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
ไม่ว่าหยางหยางจะเขย่าเฉิงเฉิงยังไง เพื่อให้เฉิงเฉิงได้ ตอบสนองเขาบ้าง แต่เฉิงเฉิงกลับง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น หยางหยางก็ได้แต่ถอดใจ
ส่วนพ่อนิสัยเสียของเขานั้น หยางหยางยังโกรธเขาอยู่ เลยไม่ยอมเข้าไปหาเขาก่อน
ดังนั้นหยางหยางก็ได้แต่ก่อกวนวุ่นวายฉิงตัวที่เงียบมา
ตลอดทาง
“ไฮ ลุงฉิงฮัว พวกเราถึงไหนกันแล้วหวา เมื่อไหร่จะถึงเขา ฟะราน” หยางหยางถามฉิงตัวแบบนี้เป็นรอบที่หกแล้ว
“คุณชายน้อยหยางหยาง ภูเขาฟรานถึงจะถูกนะครับ น่า จะนั่งรถอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ” นี่ก็เป็นครั้งที่ หกแล้วเช่นกันที่ฉิงตัวแก้คำผิดให้
“อัยโหยวผมรู้แล้วล่าว แต่ว่าทามมายถึงยังมายถึง กล่าา?”
“ยังต้องนั่งรถอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงครับ” จึงชั่วตอบ
“อัยโหยวผมรู้ว ผมถามว่า ทามมายต้องอีกครึ่งชั่วโมงจา ถึงล่า?”
“ก็เพราะอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงไงครับ… หน้าผาก จึงตัวเริ่มมีเหงื่อไหล
“อยโหยวผมรู้น่า….
“หุบปากได้แล้ว เป้หมิงหยาง ” คำประโยคเดียวของ เป้หญิงโม่ ทำให้หยางหยางตกใจจนตัวสั่น เขาเงียบไปทันที
เขาไม่ได้กลัวพ่อนิสัยเสียของเขาหรอกนะ แต่อยู่ดีๆมี เสียงตะคอกแทรกขึ้นมา ทำให้เขาเสียขวัญไปเท่านั้นเอง
เหมิงโม่ปิดตาที่ง่วงลงต่อ นวดๆถูๆไปตรงขมับจุดไฟ หยางที่เริ่มปวด รถยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง กิจกรรม ครอบครัวก็ยังไม่ทันได้เริ่ม กลุ่มช่างภาพก็ยังไม่ได้เริ่มงาน เขากลับมีความรู้สึกอยากจะซิ่งรถกลับไปซะเดี๋ยวนี้
โดยเฉพาะที่ตลอดทางได้ยินคำถามปัญญาอ่อนวนไปวน มาของลูกชายคนเล็กของเขาที่เขาเพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานแล้ว คุณชายรองตระกูลเปหมิงที่อุตส่าห์เก็บกดอารมณ์ ก็ชักจะ เริ่มไม่ไหวแล้ว
“เป๊หมิงหยาง คราวหลังอย่าให้ฉันได้ยินคำว่า”ล่าวที่ เหมือนตุ๊ดแบบนี้อีก ไม่งั้นฉันจะตัดลิ้นแกซะ!
หยางหยางไม่พอใจพ่นลมออกจมูก “จะแกล้งผมที่ไม่ค่อยเก่งภาษาจีนเหรอ คำว่า “ล่าวไม่ใช่คำเสริมน้ำเสียงที่ฟัง เหมือนตุ๊ดสักหน่อย เป็นคำที่ออกจะดูน่ารักแบ๊วๆมากกว่า
“แบ๊วๆงั้นเหรอ แกเป็นผู้ชายอกสามศอก มาแบ๊วๆกับ อะไร ผู้หญิงไหน ใครจะมาสนใจแล้วหรือไม่แบ๊วฮะ!
“ผมไม่ใช่ผู้ชายอกสามศอก ผมเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆตะ
หาก”
“อีกหน่อยแกก็จะกลายเป็นผู้ชายอกสามศอกนั่นแหละ
“นั่นมันอีกหลายๆๆๆ ในอนาคตต่างหาก”
“เพราะงั้นฉันต้องสั่งสอนแกเรื่องความเคยชินแย่ๆพวกนี้ ก่อน เพื่อต่อไปอีกหลายๆๆๆ ปีในอนาคตแกจะได้ไม่กลาย เป็น’ลูกสาว’ไง” “ถ้าอีกหลายๆๆๆ ในอนาคตผมเปลี่ยนลูกสาว มันก็แค่
แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นพ่อพันธุ์ที่ไม่ดี ไม่เกี่ยวอะไรกับผมสัก
หน่อย”
“แ…………. เหงโม่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด
ฉิงฮัวแอบเหลือบมองเจ้านายที่ตอนนี้หน้าเขียวปัดนั่งอยู่ ด้านข้างที่นั่งคนขับ แล้วก็มองผ่านกระจกมองหลัง มองไปยัง คุณชายน้อยหยางหยางที่นั่งตรงที่นั่งด้านหลัง ทบทวนสักพัก ฉิงตัวจึงพูดห้ามศึก “เอ่อ คุณชายน้อยหยางหยางครับ ความ หมายของเจ้านายก็คือว่า ตอนนี้คุณชายน้อยหยางหยางยังเด็ก แล้วท่าทางเป็นผู้หญิงมากเกินไป พอโตมาก็อาจจะ ทำให้สับสน แล้วถ้ากลายเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยขึ้นมาจริงๆ เรื่องมันจะยิ่งแย่นะครับ
หยางหยางโกรธแก้มป่อง กรอกตาบนไปหนึ่งที เกาหัวตัว เองพลางพูด “ตุ๊ดเคยเป็นแล้วล่ะ แต่กะเทย… อาสามเคย บอกว่ากะเทยต้องตัดจู๋ ออก ผมจะไปทำได้ยังไง อาสาม บอกด้วยว่ามีถึงจะไปจีบสาวได้ ผมอยากจีบสาว ผมไม่ อยากเป็นกะเทย….
“เดี๋ยวนะ” เป้หมิงโม่ทําหน้าฉงน ตาหรี่ลง “แกไปเป็นตุ๊ด ตอนไหน แล้วแกไปสนิทกับเป้หมิงยันตั้งแต่ตอนไหน
เฉิงเฉิงสะดุ้งตื่นด้วยคำว่า “เป็นตุ๊ด ของหยางหยาง
พอได้ยินพ่อถามถึงเรื่องเป็นตุ๊ดแล้ว เฉิงเฉิงรู้สึกขนหัวลุก เขานึกย้อนไปตอนมาหน้าเล่นเป็นเด็กหญิงผิวดำในวัน นั้น จนถึงวันนี้เขายังรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนจนอยากอาเจียนอยู่ เลย
ใครจะไปคิด หยางหยางยังพูดต่ออย่างดีอกดีใจว่า ” ตอนผมแต่งเป็นตุ๊ดนะเนียนจนคุณยังจำผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ก็ตอนนั้น..อื้อ…อื้อ…
เฉิงเฉิงรีบเอามือไปปิดปากมากของหยางหยาง แล้ว ตอบแทนหยางหยาง “พ่อครับ หยางหยางแค่บาเล่นไป หน่อย ต่อไปผมจะเตือนน้องบ่อยๆ อาสามมีครั้งหนึ่งคิดว่าหยางหยางเป็นผม แล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วครับ”
พอเปหมิงไม่ได้ยินเฉิงเฉิงพูดแบบนั้นก็ปล่อยไป แต่ก็ เตือนหยางหยางเป็นทางการอีกครั้ง “เป้หมิงหยาง ค่ เสริมว่า แล้วล่าว ที่ฟังดูสาวแบบนี้ ห้ามพูดอีกนะ อย่าให้ฉัน ได้ยินอีก”
เฉิงเฉิงที่ปิดปากหยางหยางอยู่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ช่วย พยักหน้ารับ “พ่อครับ ผมว่าหยางหยางคงจะเข้าใจแล้ว
หยางหยางไม่เต็มใจ โวยวายทั้งที่โดนปิดปาก “อื้อ…อื้อ…”
และแล้ว พายุครั้งนี้ก็สงบลงได้เพราะเพิ่งเพิ่งเข้ามาช่วย
หลังจากนั่งรถมาอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ถึงจุด หมายปลายทางของที่จะตั้งแคมป์คราวนี้ ที่มีวิวสวยที่สุดในเมืองนั่นเอง ภูเขาฟราน
“วว ในที่สุดก็ถึงแล้ว…” หยางหยางพอได้ลงรถ ขา เล็กๆก็รีบวิ่งเล่นทันที ดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ
เป้หมิงไม่ลงมาจากรถ ได้ยินคำว่า ‘แย้วว จากหยางหยาง หน้าของเขาก็เริ่มขึ้นมาอีกครั้ง
ห้ามพูดคำว่า “ล่า” เขายังกล้าพูดคำที่ฟังดูสาวอีกอย่าง คําว่า ‘แย้วว’!
ฉิงฮัวเปิดท้ายรถ เตรียมเอาอุปกรณ์กางเต็นท์ต่างๆลง จากรถ แล้วถามเป้หมิงโม่ “เจ้านายครับ เต็นท์จะให้ทางตรง ไหนดีครับ?”
เหมิงไม่มองไปรอบๆป่าไม้น้อยใหญ่เขียวขจี ภูเขาสูงต่ำ สลับกับเป็นแนว เหมือนกับว่าถ้ายื่นมือออกไปก็จะสามารถ สัมผัสกับท้องฟ้าสีคราม ยอดเขาที่อยู่ระหว่างกลุ่มเมฆลอย คว้างนั้นได้ เป็นภาพที่ช่างน่าประใจยิ่งนัก
เขายกมือขึ้น พลางไปตรงพื้นราบฝั่งตรงข้าม “ไปกาง ตรงนัน”
ฉิงฮัวพยักหน้ารับ แบกอุปกรณ์กางเต็นท์ไปยังจุดดังกล่าว
จากนั้น กลุ่มช่างภาพที่ตามมาด้วย ก็ถูกเป้หมิงไม่จัดการ ให้กางเต็นท์อยู่อีกฝั่ง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชินที่จะมี กล้องอยู่ใกล้ๆตัวอยู่ดี
หลังจากที่เฉิงเฉิงเห็นวิวที่สวยงามแล้ว เขารีบวิ่งกลับไปที่ รถ หยิบเอาอุปกรณ์วาดรูป แล้ววิ่งตามฉิงตัวไปอีกฝั่งของ ภูเขาด้วยความเร็วราวกับลมพัด
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง
ฉิงชั่วกางเต็นท์สามหลังเสร็จ
หลังหนึ่งของเจ้านาย อีกหลังของคุณชายน้อยเฉิงเฉิงและ
คุณชายน้อยหยางหยาง ส่วนอีกหลังก็ของเขาเอง
ก่อนจะกางเต็นท์ ฉิงตัวปูเสื่อผืนใหญ่ไว้ผืนหนึ่งก่อน บนเสื่อผืนใหญ่นั้น วางอาหาร ขนมกองไว้มากมาย
เฉิงเฉิงนั่งหลบมุมอยู่บนเสื่อผืนใหญ่เงียบๆ วาดรูปอยู่ใน โลกของเขา
เป้หมิงไม่อุตส่าห์ปล่อยวาง อดทนกับร่างกายที่ต่อสู้กับ เซลล์รักความสะอาดในตัวเขา ทั้งตัวสวมชุดสูทเรียบ ค่อยๆ เป็นอย่างสง่ามานั่งบนเสื่อผืนใหญ่แต่จิตใจกลับพะว้าพะวัง ไม่เป็นสุข เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มซะอย่างนั้น
หยางหยางมองไปเห็นพ่อนิสัยเสียของเขา ปากก็พล่าม ออกมาประโยคหนึ่ง “มีใครมาตั้งแคมป์ใส่รัดไปทั้งตัวแบบ
นั้นกัน”
ชุดสูทตัดเย็บเข้ารูปทั้งเสื้อและกางเกง ในสายตาของ หยางหยาง ดูยังไงก็รัดรูปไปทั้งตัว
เป้หมิง โมริมฝีปากกระตุก มองขวางหยางหยางไปที่หนึ่ง “แกจะไปรู้อะไร แค่มาตั้งแคมป์ ไม่ได้มาเป็นคนป่าสัก
หน่อย”
ดูฮอนผู้หญิงคนนี้สิ สอนลูกยังไงกันเนี่ย
นอกจากจะหยาบกระด้าง หยาบคาย ตะกละ ไร้เดียงสา บ้าพลังแล้ว ยังไร้รสนิยมอีกต่างหาก
หยางหยางเบะปาก หมุนตัวไปทางอื่นไม่อยากเสวนากับเป้หมิงไม่นิสัยเสียคนนี้ ตาของเขาเปล่งแสงประกายออกมา เขาคว่ำตัวลงใส่กองขนมที่ใหญ่เหมือนมหาสมุทร……
อ่า สิ่งที่น่าดีใจที่สุดก็คือสามารถได้อยู่กับครอบครัว นอน ลงบนกองขนมแล้วมองไปบนท้องฟ้าสีครามสดใส สุด อากาศสดชื่นของธรรมชาติเข้าเต็มปอด…
แต่หยางหยางก็ยังรู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป เพราะแม่ และน้องชายหรือน้องสาวในท้องของแม่ไม่ได้มาด้วย…
พอนึกถึงตรงนี้หยางหยางก็เม้มปากค้างไว้ เขาตัดสินใจ เก็บเอาอาหารมาเป็นที่ระบายความเศร้าในครั้งนี้