เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - ตอนที่ 741 เป่หมิงโม่ในอีกมุมหนึ่ง
ตอนที่ 741 เป่หมิงโม่ในอีกมุมหนึ่ง
เจ้าของร้านเห็นทั้งคนสองที่ตามมาทีหลังแล้ว ไม่ว่าจะมองจากเสื้อผ้าหรือว่าบุคลิกก็ล้วนแสดงให้เห็นถึงลักษณะท่าทางที่ไม่ธรรมดาออกมา โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ใบหน้าไร้ความรู้สึกที่ยืนอยู่ข้างหน้าคนนั้น ยิ่งแผ่กลิ่นอายอันสูงส่งประเภทหนึ่งออกมา
“เชิญทั้งสองท่านหาที่นั่งได้เลยครับ รอคุณผู้หญิงท่านนี้สั่งอาหารเสร็จแล้ว ผมจะมาให้บริการกับพวกคุณ”
กู้ฮอนยิ้มบางๆให้กับเจ้าของร้าน “พวกเขามากับฉันค่ะ อาหารน่ะ คุณพิจารณาแล้วนำมาเสิร์ฟแล้วกันค่ะ เชี่ยวชาญเมนูไหนก็เสิร์ฟเมนูนั้นได้เลย ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินของพวกเขา”
เจ้าของร้านพยักหน้า หัวเราะฮ่าๆ “คุณกู้ คุณผู้ชายทั้งสองท่าน กรุณารอสักครู่นะครับ ผมไปครู่เดียวแล้วจะกลับมา”
เขาเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง ไม่นานก็ยกถาดรองน้ำชาออกมา “เชิญทั้งสามท่านดื่มน้ำชากันไปก่อน อาหารจะมาเสิร์ฟในเร็วๆนี้ครับ”
***
เป่หมิงโม่ ฉิงฮัว และกู้ฮอน นั่งอยู่ที่โต๊ะแปดเซียนตัวหนึ่งสามมุม ทุกคนล้วนนั่งบนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง
เป่หมิงโม่มองไปรอบด้าน ร้านขายขนมขบเคี้ยวแห่งนี้ถือว่าขนาดไม่ใหญ่มากเท่าไร ถึงเวลาทานอาหารกันแล้วกลับไม่มีคนเข้ามา
“ทำไมคุณถึงเลือกมาทานข้าวที่สถานที่แห่งนี้กัน ผมว่าที่นี่ไม่น่าจะมีอาหารอะไรอร่อย ไม่สู้พวกเราออกไปหาโรงแรมที่ดูดีกว่านี้หน่อยดีกว่า” เป่หมิงโม่เอ่ยพูด
“จะทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน ฉันสั่งอาหารไปหมดแล้วนะ” กู้ฮอนรีบเอ่ยพูด
“เรื่องนี้ง่ายมาก ผมดูอาหารในร้านนี้ก็ไม่แพง วางเงินไว้สัก 100 หยวนไม่ต้องทอนก็พอค่าประกอบการวันหนึ่งของเขาแล้ว” เป่หมิงโม่พูดพลางส่งสัญญาณให้ฉิงฮัวหยิบเงินเพื่อเตรียมตัวจากไป
กู้ฮอนส่ายหน้า “พวกคุณอยากจะทานที่ไหนก็ไปทานที่นั่นเถอะ แต่ฉันจะทานที่นี่อย่างแน่นอน”
คราวนี้เป่หมิงโม่ก็ยากจะขยับตัว
ฉิงฮัวหยิบถ้วยน้ำชาที่มีฝาปิดอยู่จากถาดรองน้ำชาออกมาสองถ้วยส่งให้กับเป่หมิงโม่และกู้ฮอน ส่วนที่เหลือนั้นก็ให้ตัวเอง
เดิมเช้าวันนี้เป่หมิงโม่มาเซ็นสัญญา แต่ภายหลังพบกับโม้จิ่งเฉิงที่เอ่ยถึงคุณแม่ของเขาอีก
แม้ว่าอารมณ์โมโหจะลดลงไปไม่น้อยแล้ว แต่อารมณ์ก็ยังไม่ดีเท่าไร เขายกถ้วยชาขึ้นมา น้ำชาอุ่นร้อนกำลังพอดี จิบไปคำเล็กๆ
คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเขาก็ค่อยๆคลายออก รสชาตินี้ไม่เลวเลย เมื่อรสชาติเปรี้ยวหวานถูกปากไหลผ่านลำคอไปแล้ว ทั้งร่างก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายเล็กน้อย
เขาก็ดื่มต่ออีกอึกใหญ่ จากนั้นก็พยักหน้าไม่หยุด “ชาแปดอัญมณี(ชาแปดสมบัติหรือจะเรียกว่าชาแปดอัญมณีก็ได้ เป็นชาสมุนไพรอย่างหนึ่ง ที่ประกอบด้วยสมุนไพรแปดชนิด
)นี้รสชาติไม่เลวเลย”
“โอ้ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะสามารถชิมออกด้วย” นี่ทำให้กู้ฮอนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
เป่หมิงโม่มองเธอเหยียดๆครั้งหนึ่ง “อย่างไร อย่าคิดว่าผมเกิดในครอบครัวร่ำรวยแล้วจะไม่รู้จักกับอาหารที่คนทั่วไปทานกัน”
“ว่ามาเถอะ วันนี้ที่คุณเรียกฉันออกมา ฉันคิดว่าคงไม่ได้มาเพื่อนั่งทานข้าวกับฉันง่ายๆหรอกนะ ‘คนที่ไม่มีเลวร้ายอะไรก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นมา’ อย่างคุณน่ะ” ตอนนี้เวลากู้ฮอนพูดคุยกับเป่หมิงโม่ก็ไม่คิดกังวลอะไรให้มากความอีก มีอะไรก็พูดอย่างนั้น
เป่หมิงโม่ที่อารมณ์ผ่อนคลายเมื่อสักครู่ ก็เริ่มจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง ตอนที่เขากำลังจะเปิดปากพูด ผ้าม่านห้องครัวที่อยู่ด้านหลังก็ถูกเปิดออก
เจ้าของร้านเดินออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว ยกถาดใบใหญ่ด้วยมือเดียว บนถาดมีจานเล็กวางอยู่หลายใบ
เขาวางจานเล็กๆลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว จานเล็กใหญ่รวมกันแล้ว 8 จาน 8 อย่าง หนึ่งในนั้นมีปอเปี๊ยะที่กู้ฮอนชอบมากที่สุดด้วย
“ทุกท่านทานกันได้ตามสบายเลยครับ” เจ้าของร้านเอ่ยจบก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องครัวทางด้านหลังอีกครั้ง
ตอนนี้เป่หมิงโม่ก็ไม่พูดอะไร หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบปอเปี๊ยะที่วางอยู่ด้านหน้ากู้ฮอน
หลังจากที่ละเลียดชิมไปแล้วก็พยักหน้าไม่หยุด จากนั้นก็คีบถั่วกวนเข้าปากไปชิ้นหนึ่ง รสชาตินี้ไม่เลวเลย
เขาชิมขนมทั้งหมดแปดจานจานละหนึ่งชิ้นในรวดเดียว
กู้ฮอนหยิบตะเกียบยังไม่ทันจะขยับ เห็นเป่หมิงโม่ทานอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับเพิ่งถูกปล่อยออกมาจากคุก “เฮ้ๆ คุณทานช้าๆหน่อย ไม่มีใครแย่งคุณหรอกนะ”
ผ่านไปชั่วครู่ เจ้าของร้านก็ยกไส้หมูตุ๋นออกมาสามชาม วางไว้เบื้องหน้าทั้งสามคน
เป่หมิงโม่ชี้ตะเกียบไปที่วงแป้งทอดจานหนึ่ง เอ่ยกับเจ้าของร้านว่า “ทำไมถึงไม่มีน้ำถั่วเขียวหมัก(น้ำโต้วจือร์ เครื่องดื่มที่ทำมาจากกากถั่วเขียวที่ผ่านการหมัก มีรสชาติออกเปรี้ยวและกลิ่นแปลกๆ)มาคู่กันล่ะ”
ประโยคนี้ทำให้กู้ฮอนตกใจเป็นอย่างมาก
เจ้าของร้านเอ่ยตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเถ้าแก่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ด้วย น้ำถั่วเขียวหมักนั้นมีรสชาติเฉพาะตัว ผมเป็นกังวลว่าเถ้าแก่จะรับไม่ได้เลยไม่ได้นำมาเสิร์ฟ ในเมื่อเถ้าแก่พูดแล้ว ผมจะรีบยกมาเสิร์ฟให้เดี๋ยวนี้เลย”
เจ้าของร้านเอ่ย พลางหมุนตัวกลับไป ไม่ถึงสองนาทีก็ยกน้ำถั่วเขียวหมักเข้ามา
เป่หมิงโม่ดื่มไปคำหนึ่ง “รสชาติไม่เลวเลย”
กู้ฮอนมองเป่หมิงโม่ที่อยู่เบื้องหน้า ยังคงเป็นอันธพาลที่เธอเคยแอบด่าในใจเป็นร้อยๆครั้งคนนั้นอยู่ไหม หรือว่าเป็นเป่หมิงเอ้อที่การพูดกิริยาท่าทางล้วนเหมาะสมและแสดงให้เห็นถึงความสูงส่งหาที่ใดเปรียบมิได้คนนั้นหรือไม่
เป่หมิงโม่มองกู้ฮอนครั้งหนึ่ง “คุณยังนั่งเอ๋อเหรออยู่ทำไมกันอีก ยังไม่รีบทานอีก ถ้าเย็นแล้วรสชาติจะไม่อร่อยแล้วนะ”
***
การกระทำแบบนี้ของเป่หมิงโม่ ไม่เพียงแต่ทำให้กู้ฮอนตะลึงค้างไปแล้ว กระทั่งคนที่ติดตามอยู่ข้างกาย เป็นเงาไม่ห่างเขามาตลอดอย่างฉิงฮัวก็ยังมองจนตะลึงเช่นกัน
กู้ฮอนมองท่าทางการทานอย่างเอร็ดอร่อยของเป่หมิงโม่แล้ว ถ้าหากไม่ใช่ว่านั่งมาในรถคันเดียวกันกับเขาเมื่อครู่นี้ ก็ยังไม่รู้จริงๆว่าชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเธอนั้นเป็นคนเดียวกันหรือไม่ เป็นสามัญชนมากเกินไปแล้ว อย่างน้อยก็ในด้านของอาหารการกิน
“คุณ……คุณไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” สุดท้ายแล้วกู้ฮอนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างระมัดระวังประโยคหนึ่ง
เป่หมิงโม่ไม่ได้ตอบคำถามของเธอในทันที เพียงแต่ส่งสายตาให้ฉิงฮัวกับเธอรีบทานอาหารเร็วๆ
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เป่หมิงโม่ถึงได้วางตะเกียบลงอย่างพึงพอใจเล็กน้อย
ตอนนี้กู้ฮอนและฉิงฮัวก็ทานไปพอประมาณแล้ว เพียงแต่ในใจของพวกเขายังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ดังนั้นจึงทานได้ไม่เยอะเท่าไร ถือได้ว่าทานไม่อิ่มอยู่บ้าง
เป่หมิงโม่ยกมือเรียกเจ้าของร้าน
“เถ้าแก่ คุณยังต้องการสั่งอะไรอีกครับ” เขามองเป่หมิงโม่ยิ้มๆพลางเอ่ยถาม
เป่หมิงโม่ชี้ไปที่ปอเปี๊ยะและขนมลากลิ้งที่อยู่บนโต๊ะ “เอาขนมนี่อีกสองชุดห่อกลับบ้าน จากนั้นพวกเรามีเรื่องจะพูดคุยกันที่นี่ คุณก็หลบไปสักหน่อย”
“ได้เลยครับ ไม่มีปัญหา เมื่อไรที่คุณเคาะโต๊ะ ผมค่อยออกมา” เจ้าของร้านหมุนตัวเดินกลับไปในห้องครัวด้านหลังอีกครั้ง
ฉิงฮัวรู้ว่าเจ้านายมีเรื่องจะพูดก็ลุกขึ้นเดินไปปิดประตูร้านแล้วยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น ป้องกันไม่ให้มีคนอื่นเข้ามารบกวนการสนทนากันระหว่างเจ้านายและคุณผู้หญิง
รอจนกระทั่งจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เป่หมิงโม่ก็มองกู้ฮอนเงียบๆ 5 นาทีโดยไม่พูดอะไร
มองจนในใจเธอรู้สึกขนลุกพองไปหมดแล้ว “คุณ คุณมองฉันทำไมกัน มีอะไรก็รีบพูดมาเร็วเข้า”
“คุณรู้หรือไม่ว่าโม้จิ่งเฉิงกลับมาแล้ว”
สำหรับกู้ฮอน ประโยคนี้ของเป่หมิงโม่ทำให้รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ตาเธอเบิกโต ข่าวนี้ทำให้เธอรู้สึกตะลึงและยินดีจริงๆ “คุณพูดอะไรนะ พ่อบุญธรรมมาที่เมือง A หรือ คุณรู้ได้อย่างไรกัน ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ”
เป่หมิงโม่พยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง “เขาอาศัยอยู่ที่โรงแรมแมนดาริน ผมก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณป้าหวีหรูเจี๋ยก็…….” กู้ฮอนเอ่ยถึงตรงนี้ก็เห็นคิ้วของเป่หมิงโม่ขมวดเล็กน้อย
เธอรีบปิดปากในทันที เธอรู้ได้ในทันทีว่าหวีหรูเจี๋ยสามคำนี้ หรือว่าคำที่เกี่ยวข้องกับเธอ เป่หมิงโม่ล้วนไม่ต้องการเอ่ยถึง
แต่เป่หมิงโม่ก็เข้าใจว่ากู้ฮอนต้องการถามอะไร สีหน้าของเขาซับซ้อนมาก แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างยากลำบาก
“พวกเขามาที่นี่ได้อย่างไรกัน” กู้ฮอนเอ่ยถามเสียงเบาประโยคหนึ่งอย่างสงสัย
เหมือนกับว่ากำลังเอ่ยถามเป่หมิงโม่ แต่ก็เหมือนกับว่ากำลังพูดกับตัวเอง
เป่หมิงโม่รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง เขาตอบว่า “ย้ายบ้านมาที่นี่”
เรื่องที่เขาพูดนั้นไม่ผิดเลย ย้ายสำนักงานใหญ่มาที่นี่แล้ว พวกเขาจะกลับไปที่เมืองซาบาห์อีกหรือไง
“ย้ายบ้านหรือ!” นี่ทำให้กู้ฮอนรู้สึกมึนงงมากกว่าเดิม
“ถ้าหากว่าคุณมีคำถามสงสัยอะไร ทางที่ดีให้ถามเขาต่อหน้า ผมไม่ใช่ไมโครโฟนส่งข้อความของคุณ สาเหตุที่ผมบอกกับคุณก็เพราะจะฝากคุณไปบอกเขาว่า การไปมาหาสู่กันในเรื่องของงานนั้นไม่มีอะไรผิด แต่สำหรับเรื่องของการไปมาหาสู่ในชีวิตประจำวันนั้น ผมว่าช่างมันเถอะ” คำพูดของเป่หมิงโม่นั้นเย็นเยียบผิดปกติ
กู้ฮอนมองออกว่า สำหรับเขาแล้ว การปรากฏตัวของพ่อบุญธรรม พวกเขาในเมือง A นั้น ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เธอพยักหน้าอย่างระมัดระวัง “คุณวางใจเถอะ เรื่องนี้ฉันจะบอกพวกเขาเอง”
แม้ว่าปากของกู้ฮอนจะพูดแบบนี้ แต่ในใจของเธอขัดแย้งกันเป็นอย่างมาก
สำหรับพ่อบุญธรรมโม้จิ่งเฉิงนั้นไม่มีอะไร แต่เมื่อคิดว่าต้องพบกับหวีหรูเจี๋ย ในใจของเธอก็ขัดแย้งกันอยู่บ้าง
เพราะว่าเธอจะคิดโยงไปถึงรูปใบนั้นของคุณแม่ได้ง่ายๆ ทั้งยังคิดถึงคำพูดที่คุณแม่พูดว่า สาเหตุที่ตัวเองต้องจากคุณแม่ไปนั้นก็เป็นเพราะหวีหรูเจี๋ยกระทำทั้งหมด
***
แต่ก่อน ตอนที่กู้ฮอนยังไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับฐานะของตัวเอง เธอปฏิบัติกับหวีหรูเจี๋ยจนสามารถพูดว่าเกือบจะปฏิบัติเหมือนกับคุณแม่
แต่มาวันนี้เรื่องราวเปลี่ยนไป ทำให้เธอรู้สึกว่าถ้าหากต้องพบหน้ากับหวีหรูเจี๋ยอีกครั้งล่ะก็จะต้องรู้สึกกระอ่วนอยู่บ้าง ทั้งยังแฝงไปด้วยความโกรธแค้นด้วย
ถ้าหากว่าปีนั้นเธอไม่ได้ทิ้งตัวเองเอาไว้ อย่างนั้นหลายปีมานี้ความยากลำบากและความไม่เป็นธรรมที่ตัวเองได้รับก็คงจะไม่เกิดขึ้น
ตัวเองจะได้มีครอบครัวที่อบอุ่นครอบครัวหนึ่ง คุณพ่อ คุณแม่ล้วนอยู่ข้างกายเธอ บางทีตัวเองอาจจะแต่งงานไปแล้ว มีชีวิตที่สงบสุข ช่วยเหลือสามี สั่งสอนบุตร……
เพียงแต่ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีคำว่าถ้ามากมายขนาดนั้น ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ควรจะคิดว่าจะเผชิญหน้าอย่างไรดีกว่า
ทานอาหารเสร็จแล้ว เป่หมิงโม่ก็ส่งกู้ฮอนกลับไปที่ใต้ตึกสำนักงาน จากนั้นก็จากไปโดยไม่เห็นฝุ่น
กู้ฮอนมีอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดทั้งบ่าย
หยินปู้ฝันจะมองไม่ออกถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอได้อย่างไร เพียงแต่ในมือของตัวเองยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ไม่น้อย
จนถึงเวลาเลิกงาน เขาถึงได้มีโอกาสเดินไปถึงคอกทำงานของกู้ฮอน “กู้ฮอน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
กู้ฮอนเงยหน้ามองหยิบปู้ฝัน ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีอะไร ฉันทำให้เรื่องอะไรล่าช้าใช่หรือไม่ ฉันจะไปจัดการทำเดี๋ยวนี้”
เธอเอ่ยจบก็รีบลุกขึ้นยืน
“เธอไม่ได้ทำให้เรื่องอะไรล่าช้า เพียงแต่ฉันเห็นว่าบ่ายวันนี้สภาพจิตใจเธอดูไม่ค่อยจะดี ไม่สู้ให้เธอหยุดพักสองวัน กลับไปพักผ่อนให้ดีๆสักหน่อย” หยินปู้ฝันมองเธออย่างเป็นกังวล
“ปู้ฝัน ขอบคุณในความหวังดีของนาย ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
หยินปู้ฝันยังคงมองกู้ฮอนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเธอไม่ยินยอมที่จะพูด อย่างนั้นตัวเองก็ยากที่จะถามต่อไป
เขาเข้าใจนิสัยของเธอ ถึงเวลาที่เธอคิดว่าสามารถพูดกับตัวเองได้ก็จะพูดออกมาเอง
ตอนนี้เธอต้องการเวลาจัดการกับความรู้สึกของตัวเองเล็กน้อย
“วันนี้สภาพจิตใจของเธอดูไม่ค่อยดี ไม่สู้ให้ฉันไปส่งเธอกลับบ้าน” หยินปู้ฝันเอ่ย
“ฉันอยากจะไปเยี่ยมคุณแม่ ยังไม่กลับบ้าน ปู้ฝัน ถ้าหากว่านายอยากจะช่วยฉันแล้วล่ะก็ ช่วยไปรับเฉิงเฉิงที่โรงเรียนให้ฉันหน่อย ไปส่งเขาที่บ้านลั่วเฉียว” กู้ฮอนเอ่ย หยิบกระเป๋าใบเล็กของตัวเองขึ้นมาแล้วก็หมุนตัวเดินออกไปนอกประตู
ระหว่างทางไปโรงพยาบาล กู้ฮอนขับรถได้ราบรื่น เธอได้รับบทเรียนจากประสบการณ์เมื่อวาน แม้ว่าจะมีเรื่องใหญ่มโหฬาร แต่เมื่อมือของเธอจับพวงมาลัยแล้วก็จะโยนเรื่องพวกนี้ออกไปให้ไกลสุดขอบฟ้า
เมื่อถึงโรงพยาบาล กู้ฮอนยังคงซื้อดอกคาร์เนชั่นช่อหนึ่งเหมือนเดิม
“ฮอนมาแล้ว ทำไมเมื่อวานลูกถึงไม่ได้มากัน” ลู่ลู่นั่งอยู่บนเตียง ในมือถือรีโมท
โทรทัศน์กำลังฉายรายการข่าวในพื้นที่อยู่
กู้ฮอนเสียบดอกไม้ใส่แจกันบนหัวเตียง จากนั้นก็นั่งลงที่ข้างเตียง เริ่มลงมือนวดขาให้คุณแม่
ตอนนี้ลู่ลู่ยังคงไม่สามารถเดินได้ แต่คุณหมอเคยกำชับเธอเอาไว้ว่าต้องนวดช่วงขาในยามปกติด้วย