เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - ตอนที่ 774 เรื่องราวในอดีตก็เป็นเหมือนดั่งควัน
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - ตอนที่ 774 เรื่องราวในอดีตก็เป็นเหมือนดั่งควัน
ตอนที่ 774 เรื่องราวในอดีตก็เป็นเหมือนดั่งควัน
เจียงฮุ่ยซินมองไปที่ลู่ลู่ ถอนหายใจ พลางวางตะเกียบลงบนโต๊ะ “เรื่องนี้พูดไปก็ยาว”
***
เจียงฮุ่ยซินเอ่ยเล่าให้ลู่ลู่ฟังโดยไม่หยุด “นี่เป็นเรื่องหลังจากที่เธอทำฮอนหายไป เธอทำลูกหายไปแล้วก็ไม่ไปมาหาสู่กับเธออีก แต่ว่าฉันยังไปหาเธอใช่หรือไม่ เพราะว่าเธอในตอนนั้นมีเรื่องขัดแย้งกับเป่หมิงเจิ้งเทียน ทั้งยังทะเลาะกันอย่างหนัก สุดท้ายเธอก็ลงมือวางยาพิษกับโม่”
ลู่ลู่ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง ลองคิดสักเล็กน้อย มีแม่คนไหนบ้างที่จะลงมือกับลูกตัวเอง
เจียงฮุ่ยซินเอ่ยต่อว่า “ในตอนนั้น ฉันก็ยุ่งกับการทำงาน ติดต่อกับเธอไม่บ่อยเท่าไร แต่ว่าบางครั้งฉันก็ยังไปเยี่ยมเธอบ้าง แต่ทุกครั้งที่ได้พบหน้าเธอ ล้วนรู้สึกว่าเธอดูแปลกๆ มีช่วงหนึ่งที่ฉันไปแสดงที่เมืองอื่น รอจนกลับมาก็ได้ยินคนในวงการพูดกันว่าเธอตายไปแล้ว นี่ทำให้ฉันรู้สึกตกใจอยู่บ้าง”
ลู่ลู่ได้ยินถึงตรงนี้ก็พยักหน้า เธอในตอนนั้นแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันกับหวีหรูเจี๋ย แต่วงการบันเทิงเดิมก็ไม่ใช่เล็กๆ เรื่องใดก็ตามล้วนแพร่กระจายได้หลายสิบนาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง
ในตอนที่เธอได้ข่าวการเสียชีวิตของหวีหรูเจี๋ยก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่ในตอนนั้นยังคงถือโทษโกรธหวีหรูเจี๋ยที่ทำลูกของตัวเองหายไปอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปสอบถามเรื่องที่เธอเสียชีวิตได้อย่างไร
“นับตั้งแต่ที่เธอหายไปและหวีหรูเจี๋ยตายไปแล้ว ก็เหลือฉันแค่คนเดียว จนมีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆเป่หมิงเจิ้งเทียนก็มาหาฉัน ไม่พูดอะไร เพียงแต่ขอร้องให้ฉันไปเป็นภรรยาของเขา ลู่ลู่ เธอก็รู้ การใช้ชีวิตโสดของผู้หญิงอย่างฉันในสังคมตอนนั้นลำบากมากแค่ไหน เพื่อหาที่ไปให้ตัวเองและก็เพื่อมิตรภาพในปีนั้น อย่างน้อยโม่ก็เป็นลูกของหรูเจี๋ย ฉันจึงตอบตกลงกับเป่หมิงเจิ้งเทียนทั้งแบบนี้”
ลู่ลู่ฟังจบแล้วก็ค่อยๆพยักหน้า ในใจเธอมีความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
“ใช่แล้วลู่ลู่ เธอยังอยู่ด้วยกันกับหลี่เชินหรือเปล่า ทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้ได้กัน” เจียงฮุ่ยซินเล่าเรื่องของตัวเองเสร็จแล้วก็เริ่มต้นถามเรื่องของเธอ
ไม่รอให้ลู่ลู่เอ่ยพูด กู้ฮอนก็ถามเจียงฮุ่ยซินก่อนว่า “คุณป้าซินคะ หลี่เชินที่คุณป้าพูดถึงคือใครหรือคะ”
ลู่ลู่ที่ได้ยินชื่อนี้แล้วสีหน้าเธอก็เปลี่ยนเล็กน้อย “หลิงหลิง เธออย่าเอ่ยถึงเขา คนที่ล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิงเลย”
แม้ว่ากู้ฮอนจะไม่ได้ยินคำอธิบายจากเจียงฮุ่ยซิน เธอก็ถือว่าเข้าใจแล้ว หลี่เชินคนนี้แปดส่วนเป็นบิดาของตัวเอง
นับตั้งแต่เห็นชายหนุ่มคนนั้นในภาพหมู่เก่าแก่ใบนั้น
“เฮ้อ ทุกบ้านล้วนมีเรื่องราวยากลำบาก พวกเราเพื่อนสนิทสามคนเคยโด่งดังสุดๆในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ว่าในภายหลังพวกเธอกลับตกอยู่ในสภาพที่มืดมนหดหู่ สำหรับฉันน่ะหรือ ก็แค่เอาตัวรอดไปวันๆเท่านั้นแหละ”
บรรยากาศภายในห้องตอนนี้อึดอัดผิดปกติ
“คุณแม่ คุณป้าซิน พวกคุณอย่าพูดเรื่องที่ไม่น่ายินดีในอดีตอีกเลยค่ะ ในเมื่อวันนี้ทุกคนมานั่งอยู่ที่นี่แล้ว ก็พูดคุยในหัวข้อที่น่ายินดีเถอะนะคะ”
เจียงฮุ่ยซินก็มีความคิดเช่นนี้ เธอเดินออกมาจากสภาวะอารมณ์อันหดหู่ได้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กๆให้กับลู่ลู่ พลางเอ่ยว่า “เรื่องราวบนโลกใบนี้น่ะก็เปลี่ยนแปลงไปมาในชั่วพริบตา พวกเราในปีนั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน วันนี้แม้ว่าพวกเราจะนับไม่ได้ว่าเป็นเครือญาติกัน แต่พวกเราสองคนก็มีหลานที่น่ารักคนเดียวกัน”
“ใช่แล้วๆ แม้ว่าฉันจะได้เจอกับเด็กสองคนนั้นแค่ครั้งเดียว แต่ก็รู้สึกถูกคอกันมาก ฉันได้ยินเฉิงเฉิงเล่าว่าเธอยังเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ลำบากเธอแล้วจริงๆ” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องของหลานชาย ลู่ลู่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
“แม้ว่าฉันกับโม่จะไม่ใช่แม่ลูกแท้ๆกัน แต่ว่าฉันก็ยังคงดูแลเขาเหมือนเป็นลูกชายแท้เช่นเคย แน่นอนว่าลูกของเขาก็ต้องเป็นหลานแท้ๆของฉัน”
***
กู้ฮอนนั่งอยู่ข้างกายลู่ลู่
เธอนั่งฟังยิ้มๆ แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความขมขื่นบางๆที่เกิดขึ้นมาทีละน้อยๆ
เจ็บปวดกับเรื่องที่คุณแม่ได้พบเจอ
บทสนทนาระหว่างคุณแม่และคุณป้าซินนั้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลาทีละนิดๆ เริ่มจากแปลกหน้ากันเล็กน้อยไปจนถึงในภายหลังที่สนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด ความห่างเหินในยี่สิบกว่าปีมานี้ได้จางหายไปหมดสิ้น
คุณป้าซินเล่าเรื่องสุขและเศร้าระหว่างพวกเธอจบในอดีตแล้ว ก็เริ่มเอ่ยถึงเฉิงเฉิง
เธอเอ่ยเล่าถึงวัยเด็กของเฉิงเฉิง มีเรื่องราวเยอะแยะมากมายที่ทำให้กู้ฮอนผู้เป็นมารดารู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
เพราะในฐานะที่เป็นมารดา เธอไม่เคยป้อนนมให้กับเฉิงเฉิงในวัยเด็กเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ได้ยินเขาตะโกนเรียกคำว่า ‘คุณแม่’ ในครั้งแรก ไม่ได้เห็นเขายืนโงนเงนครั้งแรก ทั้งช่วงเวลาที่ก้าวเท้าเดินครั้งแรก……
มีเรื่องราวครั้งแรกมากมายของเฉิงเฉิงที่เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แม้ว่านี่จะไม่ใช่เจตนาเดิมที่เธอต้องการ แต่มีช่องว่างมากมายที่เธอในปีนั้นไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
แต่ในฐานะมารดาคนหนึ่ง เธอยังคงรู้สึกว่าตัวเองทำหน้าที่ได้บกพร่องในหน้าที่อย่างเห็นได้ชัด
และความบกพร่องในหน้าที่นี้ก็ไม่ใช่แค่เฉิงเฉิงเด็กคนนี้คนเดียว ยังมีหยางหยางและจิ่วจิ่ว
ตอนที่เธอไม่ได้อยู่ข้างกายพวกเขาล้วนพลาดช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาไปมากมาย
“ฮอน เธอกำลังคิดอะไรอยู่” เจียงฮุ่ยซินเห็นสีหน้ากู้ฮอนก็ครุ่นคิดเล็กน้อย
เธอหยุดบทสนทนา ยิ้มบางๆพลางเอ่ยถามกู้ฮอนเสียงเบา
ความคิดของกู้ฮอนถูกเจียงฮุ่ยซินทำให้ขาดไป เธอรีบดึงสติกลับมาพลางเอ่ยขอโทษเล็กน้อย “ขอโทษค่ะคุณป้าซิน เมื่อสักครู่หนูได้ยินคุณป้าเล่าถึงเฉิงเฉิงในตอนเด็ก หนูเหม่อเล็กน้อย”
“ฮอน เธอน่าจะไม่ได้เหม่อลอย แต่รู้สึกละอายใจต่อเฉิงเฉิงเล็กน้อยสินะ” เจียงฮุ่ยซินเอ่ยถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเสียงยาว
“สำหรับเรื่องในอดีต ป้ารู้สึกขอโทษอย่างจริงจัง ถ้าไม่ใช่เพราะป้า ก็ไม่ต้องทะเลาะกันในตอนเธอที่เพิ่งจะคลอดเฉิงเฉิงจนพวกเธอแม่ลูกต้องจากกัน กระทั่งถ้าหากไม่ใช่ป้า ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ระหว่างเธอกับโม่ บางทีเธออาจจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านตระกูลเป่หมิงด้วย แต่ว่าฐานะของเธอคงไม่ใช่ลูกสะใภ้ของตระกูลเป่หมิง แต่เป็นหลานสะใภ้คนโต…..”
เจียงฮุ่ยซินพูดไปพูดมาก็มีหยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากหน่วยตา เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเบาๆ
กู้ฮอนมองเจียงฮุ่ยซินแล้วส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยด้วยความจริงใจว่า “คุณป้าซิน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าหนูเคยรู้สึกโกรธเกลียดคุณป้าอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนกับที่คุณป้าพูดว่าหลังจากที่เฉิงเฉิงเกิดก็เอาตัวเขาไป แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาหนึ่งไปแล้ว โดยเฉพาะตอนที่เฉิงเฉิงกลับมาอยู่ข้างกายหนู หนูรู้สึกว่าสำหรับเรื่องนี้ หนูไม่สามารถโกรธเกลียดคุณป้าได้ ทั้งหมดล้วนเป็นการเลือกของหนูเอง ความทุกข์แบบนี้ควรจะเป็นหนูที่ต้องแบกรับมันไว้ถึงจะถูก”
ลู่ลู่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ความรู้สึกในตอนนี้ซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด ด้านหนึ่งก็เป็นเพื่อนสนิทของตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็เป็นลูกสาวแท้ๆของตัวเอง
ที่ประจวบเหมาะก็คือทั้งสองคนล้วนเป็นคนใกล้ชิดที่สุดของตัวเอง หลายปีมานี้กลับทำร้ายกันเอง
พวกเธอเคยตัดสินใจเลือกเพื่อเหตุผลของตัวเอง และก็เพราะว่าเบื้องหลังการเลือกนี้มีความโศกเศร้าของตัวเอง ถึงตอนท้ายล้วนได้ลิ้มรสชาติความขมขื่นที่ตัวเองสร้างมันออกมา
“หลิงหลิง ฮอน พวกเธอไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเองแล้ว ฉันสามารถเข้าใจได้ว่าพวกเธอในตอนแรกล้วนเป็นเพราะถูกบีบบังคับให้ทำแบบนี้อย่างช่วยไม่ได้ เธอและฉันล้วนไม่ใช่นักบุญ ล้วนทำเรื่องที่คิดว่าถูกต้องมากที่สุด เพราะในตอนนั้นไม่มีทางเลือกอื่น แม้ว่าในตอนสุดท้ายล้วนผิดพลาด ช่างมันเถอะๆ ในเมื่อเรื่องราวก็เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ต้องไปหามูลเหตุแล้ว”
***
กู้ฮอนที่ได้ยินคำพูดของคุณแม่ก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ คุณแม่พูดได้ถูกต้อง ชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นต้องทำเรื่องมากมาย
บ่อยครั้งที่คิดว่าการตัดสินใจในเรื่องเหล่านั้นของตัวเองล้วนเป็นการเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดในตอนนั้น แม้ว่ารอบข้างจะมีคนมากมายต่อต้านหรือว่าเห็นด้วย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะจมอยู่ในเรื่องที่ผ่านมาแล้วไปทำไม ตอนที่ตัวเองได้รับความสุขที่หอมหวานหรือว่าความทุกข์อันขมขื่น ค่อยไปตัดสินว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้ถูกหรือว่าผิด
ชีวิตคนเราเป็นเส้นทางเดียว เมื่อตัดสินใจเดินไปแล้ว ก็เหมือนกับลูกธนูที่ถูกปล่อยออกไป ไม่เหลือช่องว่างให้เก็บกลับมาได้อีกแล้ว
โดยเฉพาะมานั่งเสียใจในภายหลัง ไม่สู้ทำจิตใจให้ฮึกเหิม เปลี่ยนเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดี
“ลู่ลู่ ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า ท่ามกลางความทุกข์ทรมานในหลายปีนี้จะไม่ได้ทำให้สติของเธอพังเสียหาย กลับเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น”
ลู่ลู่มองเจียงฮุ่ยซินพลางยิ้มอย่างขมขื่น “หลิงหลิง เธออย่าชมฉันเลย ฉันเข้มแข็งอะไรกัน ถ้าหากว่ามีล่ะก็ นั่นก็เป็นเพราะว่าฉันมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง สุดท้ายแล้วจะต้องหาลูกสาวของฉันพบได้ในสักวันหนึ่ง พวกเราแม่ลูกจะได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง เป็นไง ตอนนี้สามารถพูดได้ว่าฝันกลายเป็นจริงแล้ว”
ใบหน้าของลู่ลู่เผยรอยยิ้มออกมา ยื่นมือออกไปดึงมือของลูกสาว สองคนประสานมือทั้งสี่เข้าหากันแน่น
เจียงฮุ่ยซิน แม้ว่าใบหน้าของเธอในตอนนี้จะมีรอยยิ้ม แต่ในใจของเธอกลับไม่สงบ
“ลู่ลู่ ฉันรู้สึกดีใจกับการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของพวกเธอแม่ลูก แต่ตอนที่ฉันได้เจอเธอในตอนนั้นมีคำถามคำถามหนึ่งที่อยากจะถามเธอมาโดยตลอด”
“หลิงหลิง มีคำถามอะไรเธอก็ถามเถอะ ระหว่างพวกเราเพื่อนสนิทยังมีอะไรต้องปกปิดกันอีก”
เจียงฮุ่ยซินเก็บรอยยิ้ม สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น “ลู่ลู่ ตอนนี้ในใจของเธอยังเกลียดหวีหรูเจี๋ยอีกไหม”
เมื่อเอ่ยออกไป ไม่เพียงแต่ลู่ลู่ที่รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป แม้กระทั่งสีหน้าของกู้ฮอนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่หรือว่าคุณป้าซิน พวกเธอล้วนนึกว่าคุณป้าหวีหรูเจี๋ยตายไปแล้ว
แต่ว่านี่ไม่ใช่ความจริง บางทีถ้าเธอใช้ชีวิตอยู่กับพ่อบุญธรรมที่เมืองซาบาห์ต่อไป นับแต่นี้ไปไม่กลับมาอีก อย่างนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรกับการที่คิดว่าเธอ ‘ตายไปแล้ว’ แน่นอน
แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แบบนั้น พ่อบุญธรรม เขากลับมาแล้ว ทั้งยังพาคุณป้าหวีหรูเจี๋ยกลับมาด้วย พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันที่โรงแรมแมนดาริน
แม้ว่าเธอจะไม่เคยออกไป แต่ว่ากระดาษนั้นไม่อาจห่อไฟได้ อาจจะเปิดเผยออกมาในวันใดวันหนึ่ง ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณแม่และป้าซินจะยังผ่อนคลาย จิตใจสงบนิ่งได้เหมือนในวันนี้อีกหรือไม่
ในใจเธอรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย สายตาไม่ละไปจากใบหน้าของคุณแม่
ลู่ลู่ก้มหน้าลง เปลี่ยนเป็นเงียบขรึม ภายในห้องเงียบเป็นอย่างมาก
“คุณแม่ คุณป้าซิน อย่าพูดถึงเรื่องราวที่ไม่น่ายินดีในอดีตอีกเลยค่ะ พวกคุณดูสิคะ อาหารใกล้เย็นหมดแล้ว พวกเรากินตอนยังร้อนเถอะค่ะ คุณป้าซิน น้ำแกงไก่บ้านตุ๋นที่คุณป้าสั่งมารสชาติไม่เลวเลยจริงๆ คุณแม่ หนูจะตักให้คุณแม่ชามหนึ่งนะคะ ตอนนี้ร่างกายคุณแม่ยังอ่อนแออยู่ จำเป็นจะต้องดื่มนี่บำรุงหน่อย” กู้ฮอนไม่อยากให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนแบบนี้ดำเนินต่อไป จึงรีบหยิบช้อนตักน้ำแกงกับชามที่ว่างอยู่เบื้องหน้าคุณแม่ขึ้นมาตักน้ำแกงให้เต็มชามแล้ววางที่ด้านหน้าของคุณแม่
“คุณป้าซินคะ คุณป้าก็ซดน้ำซุปด้วยสิคะ” เธอรีบตักน้ำซุปให้กับเจียงฮุ่ยซินชามหนึ่งแล้ววางลงด้านหน้าเธอ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเจียงฮุ่ยซินหรือว่าคุณแม่ พวกเธอล้วนไม่ได้หยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา
ราวกับว่าเวลาถูกแช่แข็งเอาไว้ พร้อมกับไอร้อนในชามน้ำแกงค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ
ในตอนท้ายหลังจากที่ลู่ลู่ครุ่นคิดไปพักใหญ่แล้วก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าให้กับเจียงฮุ่ยซินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเบาๆ