เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1011 ไม่สนุก
บทที่ 1011 ไม่สนุก
ผลมันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หยางหยางสู้ได้ และหวูเสี่ยวเอ๋อก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ ทั้งคู่ล้มลูกน้องทั้งสองลงพื้นอย่างรวดเร็ว
หยางหยางมองไปที่ผู้ชายสามคนที่นอนอยู่บนพื้น พร้อมสะบัดมือ และบึนปากแสดงความไม่พอใจ “ฉันคิดว่าพวกแกสามคนจะแน่ซะอีก ที่แท้ก็ไม่มีค่าอะไรเลย”
พวกจินเล่ย สามคนโดนหยางหยาง และหวูเสี่ยวเอ๋ออัดจึงรู้สึกโกรธแค้นมาก พวกเขาลุกขึ้นมาจากพื้น โดยไม่สนใจวิธีการหมาหมู่อีก แต่กลับมองไปที่หยางหยาง และหวูเสี่ยวเอ๋อราวกับเสือหิวโซ
“มึงเป็นไงบ้าง” หยางหยางถาม
หวูเสี่ยวเอ๋อยิ้มน้อยๆ “ตั้งแต่มาที่นี่ กูยังไม่เคยได้ชกตีดีๆขนาดนี้มาก่อนเลย”
“กูก็เหมือนกัน วันนี้วันดีของพวกเราจริงๆ”
คำพูดของทั้งคู่ฟังแล้วทำให้โมโหได้ไม่น้อย พวกเขาใช้สามคนนั้นเป็นกระสอบทรายเพื่อแก้อาการคันไม้คันมือ
เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้เปรียบเรื่องความสูง แต่ความยืดหยุ่นของเขาก็ทำให้สามารถกลบข้อด้อยของตัวเองได้
จนเมื่อมีคนไปตามครูมา การทะเลาะวิวาทก็ได้จบลงแล้ว
***
นักเรียนตีกันในโรงเรียน แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับโรงเรียนชั้นสูงแห่งนี้ แต่เหตุผลก็ไม่ใช่เพราะว่านักเรียนเหล่านี้มีคุณภาพแต่อย่างใด
ที่นี่มีคนหลายระดับ และไม่ได้มีข้อยกเว้นให้ใคร แต่ก็มีนักเรียนบางคนที่แอบทำเรื่องลับๆอยู่
อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ยังแกล้งทำเป็นสงบต่อหน้ากัน และกฎเดียวที่รักษาความสงบอย่างนี้ก็คือ การเกาะบารมีพ่อ
พ่อของใครที่มีเงิน ก็จะสามารถเป็นลูกพี่ในโรงเรียนได้ เพราะผู้ปกครองของเด็กๆเหล่านี้มักจะปลูกฝังความคิดหนึ่งให้ลูกของตัวเอง นั่นก็คือ ต้องหาเส้นสาย โดยเฉพาะกับคนที่ดังๆ
เพราะไม่แน่ว่า ครอบตัวของตัวเองอาจจะรวยเพราะความสัมพันธ์เหล่านี้ก็ได้
เด็กที่ถูกปลูกฝังให้บูชาเงินตั้งแต่เด็กๆ จะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง
แต่ในที่สุด สิ่งเหล่านี้ก็ได้ถูกทำลายโดยคนที่เข้ามาใหม่อย่าง จินเล่ย
เหล่าคุณครูต่างได้ยินเรื่องของ จินเล่ย มาบ้าง แต่จากท่าทางที่นิ่งสงบ ทำให้พวกรู้สึกเรื่องแบบนี้คงเกิดได้ไม่นาน เพราะเด็กที่ชอบรังแกคนอื่นจะไม่ถูกปล่อยไป และจนถึงตอนนั้นก็จะถูกส่งไปผู้ปกครอง และเรื่องก็จะคลี่คลายไปเอง
แน่นอนว่าพวกเขายังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง พวกเราดูถูกครอบครัวที่เพิ่งรวยใหม่ๆของจินเล่ย เพราะตั้งแต่ตระกูลนี้ย้ายเข้ามา ก็ทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนตกต่ำลง และทำให้รสนิยมของโรงเรียนต่ำลงด้วย
ขอแค่มีผู้ปกครองคนหนึ่งลุกขึ้นมา ก็จะมีอีกหลายครอบครัวเดินหน้าออกมา ใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือมากดดัน และเชื่อว่าเรื่องนี้จะได้รับการจัดการในทันที
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ การอาละวาดของจินเล่ย นอกจากจะไม่ได้รับการต่อต้านแล้ว ยังได้รับการยอมรับอีกด้วย
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
จนกระทั่งวันนี้มีนักเรียนวิ่งมาที่ห้องพักครู บอกว่า จินเล่ยก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่น หลังจากที่สืบสาวราวเรื่องแล้ว ทำให้ครูต่างช็อคไปตามๆกัน
จินเล่ยจะหาเรื่องใครไม่หา ดันไปหาเรื่องลูกชายของเป่หมิงโม่ อย่างเป่หมิงซีเฉิง แถมยังตีเขาอีก…
เรื่องนี้ถ้าเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่ จินเล่ย ที่จะดับ แต่รวมถึงโรงเรียนด้วย ที่จะโดนเป่หมิงโม่จัดการตั้งแต่บนลงล่าง
โดยเฉพาะครูหลี่ ครูประจำชั้นของ จินเล่ย ดีไม่ดีอาจถูกไล่ออกไปได้
เขารีบวิ่งไปตามหลังเด็กที่มาบอกข่าวจนถึงที่เกิดเหตุ
จนเมื่อเขามาถึง สถานการณ์ก็ถูกควบคุมไว้แล้ว นักเรียนล้อมเฉิงเฉิง หยางหยางและจินเล่ย ไว้ข้างใน
“นักเรียนทุกคนหลบไป จินเล่ยหยุด” ครูหลี่พูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พร้อมใช้มือแหวกฝูงนักเรียนออก และเดิรเข้าไปข้างใน
ครูหลี่เบียดตัวเข้าไปในฝูงชน และก็ตกตะลึงทันทีที่เห็นแค่ จินเล่ย และนักเรียนในห้องของเขาอีกสองคน นอนอยู่บนพื้น
และคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆตรงนั้นคือ ฝาแฝดของเป่หมิงโม่ และยังมีนักเรียนชาย หญิงอีกคู่หนึ่งที่อายุพอๆกับพวกเขา
นี่มันอะไรกัน
ในตอนนั้น ก็ได้ยินเสียงของหยางหยาง และหวูเสี่ยวเอ๋อพูด “ทำไมสามคนนี้ถึงกระจอกขนาดนี้ล่ะ ฉันยังไม่ได้อุ่นเครื่องเลยก็ลงไปนอนบนพื้นซะแล้ว น่าผิดหวังจริงๆ”
“ใช่ๆ คนในเมืองนี้อ่อนแอมาก คราวหน้าถ้ารู้สึกคันไม้คันมือก็ไปหาพวกเราแล้วกัน รับรองว่าสนุกแน่ เอ้อญากับโก่ต้าน ต่างสุดยอดทั้งนั้น”
หยางหยางได้ยินอย่างนั้นก็ตาเป็นประกายทันที “ได้เลย วันไหนฉันโดดเรียนจะไปกับพวกนายแน่”
***
“เป่หมิงซีหยาง ถ้านายกล้าโดดเรียน ฉันจะบอกแม่นาย” เฉิงเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆพูด แม้ว่าน้องชายจะมาช่วยเขา ให้เขาได้พ้นจากหายนะ แต่ในฐานะพี่ชาย เมื่อเห็นน้องจะออกนอกลู่นอกทาง เขาก็ต้องห้ามเอาไว้
ความลิงโลดของหยางหยางถูกดับลงทันที เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “รู้แล้วๆ ฉันยังไม่หายอยากเลย” เขาพูด และใช้เท้าเตะไปที่สามคนที่นอนบนพื้นอีกครั้ง “นี่ ฉันยังไม่หายอยากเลย ลุกขึ้นมาก่อน ให้ฉันเล่นอีกแปบนึง ได้ยินมั้ย ไม่ต้องมาแกล้งตายตรงนี้”
จินเล่ยกัดฟันนอนบนพื้น วันนี้เขาถูกตีจนลุกไม่ขึ้น วันนี้มันไม่อำนวยจริงๆ ตอนแรกเขากะจะสั่งสอนเด็กนั่นสักหน่อย จากนั้นเขาก็จะสามารถแย่งจ้าวจิงอี้มาไว้ในมือได้
แต่ที่คิดไม่ถึงเลยก็คือ มันจะมีน้องชายที่เหมือนกันราวกับแกะ แถมเด็กนั่นยังชกตีเก่งมากอีกด้วย
ในตอนนั้นเขาเสียหน้าไปหมด เขาแพ้นักเรียนที่เตี้ยกว่า และอยู่เกรดต่ำกว่าเขา ต่อไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เรื่องนี้ต้องถูกคนทั้งโรงเรียนหัวเราะเยาะแน่
สิ่งที่ทำให้จินเล่ยรู้สึกสั่นใจก็คือ เด็กนั่นยังไม่รู้สึกว่าได้ต่อยตีอย่างพอใจ…
โรงเรียนนี้มีคนที่รุนแรงกว่าเขาได้อย่างไร เขาได้แต่แอบบ่นในใจ
“นักเรียนคนนี้ เจ็บรึเปล่า” คำพูดของหยางหยางเมื่อสักครู่่ ครูหลี่ได้ยินหมดแล้ว เขาก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคุณชายตระกูลเป่หมิงจะเป็นแบบนี้
แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าเย็นชาของเป่หมิงโม่ เขาก็คิดได้ทันที
ในเมื่อพวกเขาไม่ได้รับความเดือดร้อน ก็ควรจะปล่อยให้เรื่องจบเพียงแค่นี้ดีแล้ว อย่าทำให้เรื่องมันใหญ่กว่านี้เลย
ดังนั้นจึงเปิดปากพูด
หยางหยางหันหน้ากลับไป เห็นครูคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา ก็รู้ได้ทันทีว่า ‘เกม’ วันนี้ได้จบลงแล้ว
เขาส่ายมือน้อยๆ “ผมไม่เป็นไร แต่เหมือนว่าสามคนนั้นจะลุกไม่ขึ้นนะครับ ตัวใหญ่ขนาดนั้น แต่กลับสู้ไม่เป็นเลย”
พูดจบหยางหยางก็เตะไปที่ขาของ จินเล่ย อีก “ชกนายไปตั้งนาย ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมต้องหาเรื่องเฉิงเฉิงด้วย”
“ฉัน…” จินเล่ยในตอนนี้ที่อยู่ต่อหน้าครู ก็ไม่กล้าจะเปิดปาก
แต่ลูกน้องของเขาสองคนกลับพูดอย่างสัตย์จริง “ลูกพี่ของเราชอบจ้าวจิงอี้ แต่เธอไม่ยินยอม…”
“อ๋อ ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง หึหึ….” หยางหยางเหลือบมองจ้าวจิงอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆเฉิงเฉิง จากนั้นก็พูดกับ จินเล่ย “ขอบอกพวกแกเลยนะ ต่อไปอย่าไปกวนเธออีก เธอถือว่าเป็นคนของพี่ฉันแล้ว ถ้าครั้งต่อไปฉันเห็นพวกแกยุ่งกับสองคนนี้อีก ฉันไม่ออมแรงให้แบบนี้แล้ว” หยางหยางแกล้งมองจินเล่ยอย่างโหดร้าย
“เข้าใจแล้ว คราวหน้าพวกเราไม่กล้าแล้ว” พวกจินเล่ยรีบตอบ
“เป่ซีหยาง” จ้าวจิงอี้ได้ยินเขาพูดมั่วๆ ตนจึงเดินไปชกที่อกเขาอย่างโมโห
“นี่ เจ็บนะ เธอตอบแทนผู้มีพระคุณแบบนี้หรอ ถ้ารู้อย่างนี้ไม่ยุ่งแต่แรกก็ดี” หยางหยางแกล้งทำเป็นเจ็บมาก จากนั้นก็ส่งสายตาบางอย่างให้หวูเสี่ยวเอ๋อ “พวกเราไปเถอะ ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ ครูครับรบกวนแหวกทางให้ผมหน่อย”
ครูหลี่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยความตะลึง ลูกชายของเป่หมิงโม่เป็นถึงขนาดนี้เลยหรือ ไม่เห็นหัวเขาเลย
ช่างเถอะ ทำเป็นนิ่งไปดีกว่า
แต่สุดท้ายเขาก็ระบายความโกรธทั้งหมดที่ได้จากหยางหยางลงที่จินเล่ยและพวก สามคนนี้ชอบสร้างปัญหาให้เขาจริงๆเลย
***
ตอนเย็น ฉิงฮัวก็ไปรับหยางหยางกับเฉิงเฉิง และจ้าวจิงอี้ก็กลับมาด้วยอย่างเคย
ตอนกินข้าว กู้ฮอนเห็นว่าเด็กทั้งสามคนเอาแต่ก้มหน้ากินไม่พูดไม่จา ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต้องเจอเรื่องอะไรสักอย่างแน่
แม้ว่าเธอจะถูกทำให้มืดมนจากเรื่องของตระกูลเป่หมิง แต่เมื่อกลับบ้านเธอก็ยังต้องทำหน้าที่ของแม่
“เฉิงเฉิง หยางหยาง ใครจะเป็นคนบอกว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่โรงเรียน”
เมื่อเฉิงเฉิงกับหยางหยางได้ยินคำถาม ทั้งคู่ก็ก้มหน้าลงไปอีก อย่างไม่ยอมเปิดปาก
“เป็นอะไรกัน ปกติพูดคุยเยอะแยะไม่ใช่หรอ โดยเฉพาะหยางหยาง ทำไมวันนี้ถึงเงียบได้ ไม่ใช่ว่าไปก่อเรื่องอะไรที่โรงเรียนอีกแล้วนะ” สำหรับการคาดเดานี้ กู้ฮอนรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มาก แต่ทำไมเฉิงเฉิงก็ไม่ยอมพูดเหมือนกันล่ะ
“คุณป้ากู้ เรื่องมันเป็นแบบนี้…..” จ้าวจิงอี้กำลังจะพูด และเพิ่งจะเกริ่นออกมา ก็เห็นหยางหยางขยิบตาให้ สื่อให้รู้ว่าเธอห้ามพูด
การกระทำนี้ของหยางหยาง กู้ฮอนก็เห็นเช่นกัน “หยางหยาง ทำอะไรน่ะ” เธอพูด และหันหน้าไปมองเขาอย่างรวดเร็ว
หยางหยางกลัวจึงก้มหน้าลง ไม่พูดไม่จาอย่างตอนแรกทันที
“จิงอี้ ป้ากู้รู้ว่าหนูว่าง่ายที่สุด หนูบอกป้ามาเถอะว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน ไม่ต้องสนใจหยางหยาง ถ้าเขารังแกหนูให้มาบอกป้าได้ทันที ป้าจะให้เขามาขอโทษเอง” เมื่ออยู่กับแขก ก็แน่นอนว่าเธอต้องทำหน้ายิ้มแย้ม
“คุณป้าคะ หยางหยางไม่ได้รังแกหนูค่ะ แต่ว่าวันนี้ตอนที่อยู่ในโรงเรียน….” จากนั้นจ้าวจิงอี้ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนให้กู้ฮอนฟัง
แต่เรื่องที่หยางหยางกับหวูเสี่ยวเอ๋อคุยกันเรื่องโดดเรียนนั้น เธอไม่ได้เล่าออกไป เพราะเธอรู้สึกว่าหยางหยางอุตส่าห์ช่วยเธอแก้ปัญหาใหญ่ขนาดนี้ เธอก็ไม่ควรตอบแทนแบบนั้น
หยางหยางก้มหน้าลง ตอนแรกก็คิดว่า ถ้าแม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะโดดเรียน ต้องไม่เป็นการดีแน่
คิดถึงขนาดว่า ในเธอมนี้ตัวเองอาจจะได้แค่เรียน และก็ไม่ได้ออกไปทำอะไรอย่างอื่นอีกเลย
คิดไม่ถึงจริงๆว่า จ้าวจิงอี้จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ และช่วยเขาปิดบังเรื่องที่จะโดดเรียนไว้ มันดีมากจริงๆ
กู้ฮอนฟังจ้าวจิงอี้พูดจบ ก็หันหน้ามาถามเฉิงเฉิง “เรื่องเป็นแบบนี้เองหรอ มีอะไรจะบอกเพิ่มไหม”
เฉิงเฉิงเองก็เข้าใจดีว่า จ้าวจิงอี้ตั้งใจจะช่วยหยางหยาง และเขาเองก็ไม่อยากให้หยางหยางโดนอะไรเพราะเรื่องนี้เช่นกัน
แม้เขาจะเป็นคนปากพร่อย แต่ก็เป็นคนจิตใจดีทีเดียว