เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1039 หยางหยางที่ถูกเบียดออกจากทุกหนทุกแห่ง
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1039 หยางหยางที่ถูกเบียดออกจากทุกหนทุกแห่ง
บทที่ 1039 หยางหยางที่ถูกเบียดออกจากทุกหนทุกแห่ง
นับตั้งแต่ครั้งที่แล้ว หลังจากที่จินเล่ยเกือบจะก่อเหตุทะเลาะวิวาทที่หน้าประตูโรงเรียน อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนออกมา
เขาก็เกือบจะถูกโรงเรียนไล่ออกไปแล้ว
สุดท้าย สาเหตุที่ไม่ได้ไล่ออกน่ะหรือ หลักๆก็เพราะว่าอาจารย์ใหญ่ได้รับความเห็นอย่างคาดไม่ถึงจากเป่หมิงโม่ว่าไม่ถือสาเอาความกับจินเล่ยในเรื่องนี้
แน่นอนว่าลำดับรองลงมาก็คือคุณพ่อของจินเล่ย ที่สุดท้ายก็ได้รู้ว่าลูกชายของเขาเกือบจะสร้างภัยพิบัติให้กับเขาแล้ว
การถูกโรงเรียนไล่ออกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่กลับล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินมากที่สุด
นับตั้งแต่นั้นก็มอบเงินให้กับโรงเรียนมากมาย หวังว่าอาจารย์ใหญ่จะสามารถพูดเรื่องดีๆแทนเขาต่อหน้าเป่หมิงโม่สักหลายประโยคได้
สรุปได้ว่า ดูแล้วทางโรงเรียนได้กลายเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในเรื่องนี้
สำหรับในภายหลัง จินเล่ยยังคงเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ เหล่าคุณครูก็แทบจะใช้วิธีการจับตามองเขาเกือบจะทุกฝีก้าว
***
การพ่ายแพ้ของจินเล่ย ทำให้ชื่อเสียงของหยางหยางเพิ่มขึ้นในทันที ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นจอมอันธพาลตัวน้อยคนใหม่ในโรงเรียนไปแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หยางหยางรู้สึกปวดหัวมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
ไม่พูดถึงเรื่องอื่น หยิบเรื่องเที่ยวเล่นมาพูดแล้วกัน ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ล้วนสามารถเที่ยวเล่นกับคนกลุ่มหนึ่งได้
ส่วนในตอนนี้ล่ะ นอกจากหวูเสี่ยวเอ๋อ และยังมีพวกจินเล่ยที่พยายามประจบประแจงทุกวิถีทางแล้ว ไม่ว่าไปที่ไหน คนอื่นๆล้วนเดินหลบเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะเล่นด้วยกันเลย
เรื่องนี้ทำให้หยางหยางผู้ที่ชื่นชอบความครึกครื้นเป็นอย่างมากนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะดีอยู่บ้างจริงๆ
ช่วงเวลาพักผ่อนของทุกวัน เขาทำได้เพียงแค่นั่งอยู่บนสนามหญ้าเหมือนกับเฉิงเฉิง มองเด็กๆเหล่านั้นที่หัวเราะและเล่นกันอย่างสนุกสนานในสนามได้
แต่ในตอนนี้ ช่วงเวลาพักผ่อนหลังจากทานอาหารกลางวัน
กระทั่งสนามหญ้าก็ถูกหิมะปกคลุมไปหมดแล้ว
เด็กหลายคนกำลังแบ่งเป็นสองทีม เริ่มเตรียมตัวที่จะเล่นปาหิมะกันในสนามแล้ว
นี่คือสิ่งที่หยางหยางชอบเล่นมากที่สุด นอกจากการเตะบอล
“ลูกพี่ใหญ่ ทำไมลูกพี่ถึงไม่ไปเล่นล่ะ” หวูเสี่ยวเอ๋อมาถึงข้างกายหยางหยาง เขากำลังเตรียมตัววิ่งไปเข้าร่วมสงครามด้วย
หยางหยางยักไหล่อย่างจนปัญญา แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
“ไอ้หยา……ลูกพี่ไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นแล้ว เรื่องก็ผ่านไปเป็นเวลานานแล้วด้วย ใครจะยังจำได้อีก จะว่าไป พวกเรานั้นจัดอยู่ในพวกป้องกันตัวเองอย่างสมเหตุสมผลนะ จะเอามาพูดถึงพร้อมกันกับจินเล่ย ไอ้หมอนั่นได้อย่างไรกัน” หวูเสี่ยวเอ๋อพูด ฝืนลากหยางหยางเดินไปทางสนาม
“พวกเราก็จะเข้าร่วม……” เมื่อถึงขอบสนามรบ หวูเสี่ยวเอ๋อก็ตะโกนเสียงดังขึ้นสองระดับ
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขารู้สึกตกตะลึง ระหว่างที่เด็กๆทั้งสองฝ่ายเห็นว่าหยางหยางมาปุ๊บ ก็หยุดหัวเราะเฮฮาเหมือนว่าได้พบกับเทพแห่งโรคระบาด จากนั้นแต่ละคนก็พากันวิ่งหนีไปอย่างหวาดกลัวแทบไม่ทัน
“นายดูสิ ฉันไม่ได้พูดผิดนะ” หยางหยางพูดกับหวูเสี่ยวเอ๋อด้วยความโศกเศร้า
จากนั้นเขาก็พูดกับเด็กๆที่ยังวิ่งหนีไปไม่หมดว่า “พวกนายกลับมาเล่นเถอะ ฉันจากไปก็พอแล้ว” เขาพูดพลางก้มหน้าเดินไปทางตึกเรียน
เท้าเล็กๆของเขาย่ำอยู่บนพื้นหิมะ จนส่งเสียงสวบ สวบ ดังขึ้นมา นี่เคยเป็นเสียงที่เขาชอบฟังมากที่สุด กระทั่งตอนที่เห็นเกล็ดหิมะทั่วท้องฟ้าในยามเช้าก็ยังคงรู้สึกอารมณ์ดี
แต่เมื่อสักครู่นี้ อารมณ์ดีๆนี้ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
ในตอนนี้เองที่มีคนสามคนเดินตรงเข้ามา ทั้งสามคนล้วนสูงใหญ่กว่าหยางหยาง
หลังจากที่คนที่เดินนำหน้าเห็นหยางหยางแล้ว ก็โบกมือให้กับเขาอย่างประจบประแจง “ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง!”
นี่คือเสียงของจินเล่ย
ในไม่ช้าทั้งสามคนนั้นก็วิ่งมาถึงหน้าหยางหยาง “หิมะตกหนักขนาดนี้ ทำไมลูกพี่ถึงไม่ไปเล่นล่ะ”
หยางหยางมองพวกเขาสามคนแล้ว ช่างเป็นการที่มีความทุกข์แต่พูดออกมาไม่ได้จริงๆ
“นี่ก็ไม่ใช่เพราะว่าพวกนายสามคนหรือ” ในที่สุดเขาก็อดทนไม่ไหว เอ่ยออกมา
“พวกเราหรือ” จินเล่ยรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง หลังจากวันนั้น อาศัยมโนธรรมมาพูด พวกเราไม่ได้ไปหาเรื่องลูกพี่หรือว่าพี่ชายของลูกพี่ กระทั่งพี่สะใภ้ของลูกพี่เลยนะ”
“พี่สะใภ้ฉันหรือ” หยางหยางได้ยินคำพูดของจินเล่ยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกไม่สบอารมณ์แบบนี้
“ก็คนที่ชื่อว่าจ้าวจิงอี้ไง ไม่ใช่ว่าเธอมักจะอยู่ด้วยกันกับพี่ชายของลูกพี่บ่อยๆหรือ” จินเล่ยยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
หยางหยางแอบถอนหายใจกับตัวเอง สำหรับเจ้าหมอนี่แล้ว ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรด้วยเลยจริงๆ
“แน่นอนว่าเป็นเพราะเรื่องในคราวที่แล้ว ตอนนี้ฉันกับพวกนายยังคงพัวพันกันไม่ชัดเจน นายดูสิ ตอนนี้ฉันไปที่ไหน เพื่อนนักเรียนที่นั่นก็จะเดินอ้อมฉันไป” หยางหยางบ่น
“นี่ไม่ใช่ว่าดีหรอกหรือ นี่ถึงจะแสดงว่าลูกพี่มีอำนาจ” จินเล่ยเอ่ยชมเชย
***
หยางหยางกลอกตามองบนใส่เขาอย่างอารมณ์ไม่ดี ไม่รู้จริงๆว่าในสมองของเจ้าหมอนี่คิดอะไรอยู่กันแน่
“หรือว่ากระทั่งคนคนหนึ่งก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ตัวเองจะเรียกว่ามีอำนาจหรือ ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ จะมีความหมายอะไร ฉันยอมที่จะไม่ต้องการอำนาจพวกนี้ น่าเบื่อเกินไปแล้วจริงๆ”
หยางหยางพูด พลางหันหน้าไปมองกลางสนาม
ตรงนั้นมีพวกเด็กๆที่วิ่งหนีไปเมื่อครู่นี้ วกกลับมาใหม่ เริ่มต้นเล่นและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอีกครั้ง
ดูถึงตรงนี้ เขาก็มีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
จินเล่ยที่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ของหยางหยาง ก็ยืนโง่อยู่ตรงที่เดิม มองผู้ติดตามทั้งสองคนของตัวเอง จากนั้นก็มองไปที่กลุ่มคนมากมายในสนาม เหมือนกับว่าที่หยางหยางพูดมามีเหตุผล
แต่เขาก็ยังคงสับสนอยู่บ้าง ด้านหนึ่งแน่นอนว่าเขาก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่เรียกว่า โดดเดี่ยว แบบนี้ แต่ในเวลาเดียวกันล่ะ เขาก็ได้ลิ้มรสความสุขที่ ความโดดเดี่ยว นี้นำพามาให้กับตัวเอง
ความสุขที่เห็นผู้คนทั้งหมดมีท่าทางระมัดระวังและเกรงกลัวต่อตัวเองแบบนั้น
เดิมเขาสามารถเพลิดเพลินไปกับความสุขนี้ได้เป็นเวลานานมากกว่านี้ เพียงแต่ว่าเขาล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้า
“ในเมื่อลูกพี่อยากเล่นกับพวกเขา ก็ทำเหมือนกับผมในตอนแรกสิ สั่งพวกเขาก็ได้แล้ว” จินเล่ยดูเหมือนว่าจะไม่เข้าความคิดที่แท้จริงของหยางหยาง
“นายคิดว่าการเล่นแบบนั้นสนุกหรือ”
“ผมคิดว่าไม่มีอะไรแตกต่างกันนะ……อย่างไรก็ตาม ล้วนเป็นการปาใส่กันไปมา” จินเล่ยยักไหล่ แสดงสีหน้าท่าทางไม่แยแส จากนั้นก็หันไปถามผู้ติดตามของเขาว่า “พวกนายว่าใช่หรือไม่”
“ใช่…..”
ในตอนนี้ก็มีคนคนหนึ่งวิ่งมาหาหยางหยางจากทางสนาม
หยางหยางเห็นว่าเป็นหวูเสี่ยวเอ๋อ บนร่างของเขาถูกลูกบอลหิมะปาใส่ไปหลายที บางแห่งหิมะก็ละลายแล้ว จึงทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้น
เขามาถึงข้างกายหยางหยาง ถลึงตาใส่จินเล่ย พลางเอ่ยว่า “นายคิดจะทำอะไรอีก อยากโดนต่อยใช่หรือไม่!”
จินเล่ยนั้นล่วงเกินหยางหยางไม่ได้ และล่วงเกินหวูเสี่ยวเอ๋อไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะไม่เคยประมือกับเขามาก่อนอย่างจริงๆจังๆ แต่ว่าลูกน้องทั้งสองคนของเขาล้วนถูกหวูเสี่ยวเอ๋อคนเดียวชกคว่ำ
เขาเผยรอยยิ้มไร้อันตรายบนใบหน้า โบกมือไปมา พลางเอ่ย “อย่าหุนหันพลันแล่นๆ ฉันก็แค่กำลังพูดคุยกับลูกพี่ใหญ่เป่หมิงเท่านั้นเอง”
“พูดคุยหรือ” หวูเสี่ยวเอ๋อมองไปทางจินเล่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นก็มองไปที่หยางหยาง “เป็นเช่นนั้นหรือ”
หยางหยางพยักหน้า
หวูเสี่ยวเอ๋อลากหยางหยางไปอีกด้านหนึ่ง “ทำไม ก่อนหน้านี้ลูกพี่รังเกียจพวกเขามากที่สุดไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงได้อยากเป็นพวกเดียวกับพวกเขาแล้วล่ะ”
“มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกันล่ะ นี่ไม่ใช่ว่าฉันในตอนนี้ไม่มีที่ไหนให้ไปหรอกหรือ ประจวบกับที่พวกเขาสองสามคนมาพอดี จึงใช้พวกเขาฆ่าเวลา”
หยางหยางพูด จู่ๆสมองเล็กๆของเขาก็เหมือนกับว่ามีอะไรพาดผ่าน เหมือนกับคิดถึงความคิดอะไรดีๆได้อย่างหนึ่ง
เขามองไปทางพวกจินเล่ย หัวเราะอิอิ
เสียงหัวเราะแบบนี้ทำให้ในใจพวกของจินเล่ยรู้สึกคันยุบยับอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนี้มีแผนร้ายอะไรซ่อนอยู่กันแน่
“ลูกพี่ ลูกพี่ใหญ่เป่หมิงคิดจะทำอะไร” จินเล่ยพูด ถอยร่างไปข้างหลังไม่กี่ก้าวโดยไม่รู้ตัว
ในเวลาเดียวกัน ผู้ติดตามทั้งสองคนของเขาก็ถอยหลังตามไปเช่นกัน
“พวกนายทำอะไรน่ะ อยากจะวิ่งหนีใช่หรือไม่ ฉันไม่ได้จะชกนายสักหน่อย ฉันก็แค่คิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน อยากจะปรึกษากับพวกนาย รีบมาฟังเร็วเข้า”
หยางหยางพูด กวักมือเรียกพวกเขา
พวกจินเล่ยมองกันไปมา ลังเลไม่ยอมเข้ามา
หยางหยางเรียกพวกเขาครั้งสองครั้ง เห็นว่าพวกเขาไม่มีความเคลื่อนไหว ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย เขาเก็บรอยยิ้ม ใบหน้ามึนตึง “ทำไม ขาดผู้นำใช่หรือไม่”
***
“มาแล้วๆ ผมก็มาแล้วไม่ใช่หรือ ลูกพี่ใหญ่เป่หมิงจะมีโทสะทำไมกัน” จินเล่ยเอ่ยรับคำ เขยิบเข้าไปเบื้องหน้าหยางหยาง
เขาก็รู้ว่า แม้ว่าตัวเองจะหนีไปได้ในครั้งนี้ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคืนวันหลังจากนี้ตัวเองจะผ่านไปได้สบายหรือไม่
เขาไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆนะ
“เห็นท่าทางของนายเมื่อครู่นี้แล้ว ฉันอยากจะ…….” หยางหยางพูดด้วยท่าทางดุร้าย ยกกำปั้นขึ้นมาแสดงท่าทางใส่จินเล่ยไปมาครั้งสองครั้ง
“ลูกพี่ใหญ่เป่หมิงใจเย็นๆครับ ใจเย็นๆ เมื่อครู่นี้ผมคิดจะหนีที่ไหน ผมเห็นว่าลูกพี่ยืนอยู่ที่นี่ในวันที่หนาวเย็นแบบนี้ ก็กลัวว่าลูกพี่จะหนาว จึงเตรียมที่จะเอาน้ำร้อนมาให้ลูกพี่”
สมองของจินเล่ย เจ้าหมอนี่ถือว่าไม่ช้า ดีร้ายอย่างไรก็หาข้ออ้างมาทำให้ตัวเองแถผ่านไปได้
หยางหยางก็เหมือนกับเปลี่ยนหน้ากาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นมาในทันที “ฉันจะปรึกษากับนายสักเรื่อง……..” เขาพูด ยื่นมือออกไปพาดอยู่บนไหล่ของจินเล่ย แสดงท่าทางคุ้นเคยมากออกมา
ร่างกายของจินเล่ยนั้นก้มลงมาเล็กน้อยในเสี้ยววินาที ใบหน้าตึงเครียดเป็นอย่างมาก “ลูกพี่ใหญ่เป่หมิงมีเรื่องอะไรก็สั่งออกมาก็ได้”
“อย่างนั้นก็ดี ฮิฮิ ที่จริงแล้วในใจของฉันก็ชัดเจนมาก หลายวันมานี้นายก็น่าจะผ่านไปได้อย่างไม่สบายนัก เดิมสามารถเรียกได้ว่าเป็น จอมอันธพาล แต่กลับถูกฉันทำพังแล้ว”
“ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง ผมจะกล้าคิดอย่างนั้นได้อย่างไร ครั้งแรกผมยอมรับว่าไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่หลังจากครั้งที่สองแล้ว ผมก็ยอมรับแล้วจริงๆ”
“ใช่แล้ว ยอมแล้วๆ…….” ผู้ติดตามสองคนของจินเล่ยก็เอ่ยเหมือนกันไม่หยุด
หยางหยางมองพวกเขาสามคน “พวกนายอย่ามาปากอย่างใจอย่าง ฉันน่ะ ไม่ได้อยากจะเป็นลูกพี่ใหญ่อะไรนั่น ดังนั้นในจุดนี้พวกเราจึงไม่มีความขัดแย้งใดๆต่อกัน ตอนนี้ฉันมีวิธีหนึ่ง สามารถทำให้นายกับฉันสามารถกลับไปอยู่ในตำแหน่งของแต่ละคนตอนก่อนที่พวกเราจะเกิดเรื่องขัดแย้งกันได้ นายว่าเป็นอย่างไร”
ตอนที่เขาพูด ก็มองไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของจินเล่ยบ่อยๆ สามารถมองออกว่า เขาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความคิดใดๆต่อข้อเสนอแนะนี้เสียทีเดียว
แม้ว่าจินเล่ยจะพูดเต็มปากเต็มคำว่า “ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง หลังจากนี้พวกเราจะติดตามลูกพี่แล้ว”
นั่นก็ใช่ ไม่ต้องพูดถึงว่าหยางหยางชกต่อยได้เก่งกว่าพวกเขา เขายังมีคุณพ่อเป่หมิงโม่ที่มีชื่อเสียงมากด้วย ถ้าหากสามารถกอดต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เอาไว้ได้ล่ะก็ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกน้อง ก็จะไม่ถูกใครหัวเราะแน่นอน
“ช่างมันเถอะ เล่นมุกนี้กับฉันให้น้อยๆหน่อย สายตาของนายขายตัวนายเองว่า ยังคงอยากเป็นลูกพี่ใหญ่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ดังนั้นฉันก็จะเติมเต็มความปรารถนาของนาย ตอนนี้ พวกนายสามคนมาต่อยฉัน”
ประโยคนี้ของหยางหยางทำให้อีกสี่คนที่เหลือล้วนตะลึงค้าง
“ลูกพี่บ้าไปแล้วใช่ไหม” คนที่เอ่ยปากก่อนคนแรกก็คือหวูเสี่ยวเอ๋อ เมื่อครู่เขาได้ยินว่าในคำพูดของหยางหยางมีความหมายแฝงอยู่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นวิธีการแบบนี้
ถัดมาพวกจินเล่ยก็ต่างคนต่างแย่งกันพูด “ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง ลูกพี่ปล่อยพวกผมไปเถอะนะ ถ้าหากว่าลูกพี่ยังระบายอารมณ์ไม่พอ ก็ต่อยพวกเราสักรอบก็ได้ พวกเราไม่กล้าที่จะลงไม้ลงมือกับลูกพี่อีกแล้ว…….”
พวกเขาสามคนพูดไปพูดมาก็แทบจะลงไปคุกเข่าแล้ว