เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1047 เกี๊ยวคือเหล้า
บทที่ 1047 เกี๊ยวคือเหล้า
ผู้ที่มาเยือนคือหยินปู้ฝัน วันนี้เขาสวมชุดลำลองสบายๆ : “พรุ่งนี้เป็นวันคริสมาสต์อีฟแล้ว ดังนั้นเมื่อวานนี้ผมเลยประกาศวันหยุดคริสมาสต์ เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมจึงอยู่ในช่วงพักร้อน” เขาพูดพร้อมกับวางกล่องหนึ่งกล่องลงบนโต๊ะ
“พักร้อน?” แอนนิพูดแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา : “ผู้คนพากันบินไปทั่วโลกในวันหยุดพักร้อน แต่คุณกลับมาเรื่อยเปื่อยอยู่ที่นี่”
หยินปู้ฝันเปิดกล่องแบบไม่ใส่ใจนัก : “วันหยุดพักผ่อนไม่ได้กำหนดว่าจะต้องบินอยู่บนท้องฟ้านี่ครับ ขอเพียงรู้สึกมีความสุขที่ไหนก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”
แอนนิมองเขาหยิบจานกระเบื้องสีขาวสองใบและตะเกียบสองคู่ออกมาจากกล่อง และแม้แต่เครื่องปรุงรสประเภทน้ำส้มสายชูและพริกก็ถูกนำออกมา
“เดาได้เลยว่าเป่หมิงโม่และกู้ฮอนกำลังอยู่ดีกินดีที่โรงแรมแล้วล่ะ พวกเราจะกินอะไรแย่ๆมันก็เกินไปใช่ไหม วันนี้เราจะไม่กินข้าวผัดกัน” พูดพร้อมกับยกเกี๊ยวนึ่งร้อนๆสองจานออกมาจากกล่อง
แอนนิรู้สึกตลกกับเขา : “คุณบอกว่าไม่กินของแย่ๆ แต่ที่แท้คือกินสิ่งนี้เนี่ยนะ”
หยินปู้ฝันพยักหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง : “ใช่แล้วล่ะ ประเพณีในประเทศจีนของพวกเรา ข้าวเป็นสิ่งที่กินได้ทุกวัน แต่เกี๊ยวเป็นของกินที่จะต้องมีในช่วงวันปีใหม่โดยเฉพาะนะ”
***
ความคิดเห็นระดับสูงเกี่ยวกับเกี๊ยวของหยินปู้ฝัน ทำให้แอนนิมีความสุขมาก เธอลืมความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขาไปจนหมดสิ้น
แน่นอนว่างานที่กู้ฮอนทำกับเธอมันไม่ได้เปล่าประโยชน์ ที่แอนนิไม่เคยจะพัวพันกับใครเลยแม้แต่น้อยมาโดยตลอด ทั้งหมดเป็นเพราะตัวเธอเอง
คนๆหนึ่งที่ถูกทำร้ายความรู้สึก ดังนั้นในความสัมพันธ์ครั้งต่อไปจึงต้องระมัดระวังให้มาก
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่จำเป็นแล้ว อันที่จริงแล้วมันยังจำเป็น จำเป็นจะต้องปกป้องตนเองจากความสัมพันธ์อื่น
หลังจากที่หยินปู้ฝันจัดจานและตะเกียบเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปยังด้านหน้าของแอนนิแล้วใช้มือทำท่าทางเหมือนกับเชิญคนให้มาร่วมงานเต้นรำ : “คุณแอนนิ ผมทานเกี๊ยวกับคุณได้ไหมครับ?”
แอนนิเองก็ให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี เธอค่อยๆยื่นมือข้างหนึ่งมาให้เขา : “ตกลงค่ะ ในชีวิตนี้ไม่เคยมีใครเชิญฉันกินเกี๊ยวแบบนี้เลย คุณเป็นคนแรก”
“โอ้? ถ้าอย่างนั้นผมต้องรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติถึงจะถูก”
ใบหน้าของเธอเป็นสีแดงระเรื่อ และนั่งอยู่ที่โต๊ะตรงข้ามหยินปู้ฝัน
*
หลังจากเพลงจบ เป่หมิงโม่และกู้ฮอนก็ได้รับเสียงชื่นชมจากแขกทุกคนอย่างไม่ขาดสาย
“อารอง กู้ฮอน พวกคุณเต้นได้สวยงามสมบูรณ์แบบจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกู้ฮอน คิดไม่ถึงเลยว่าทักษะการเต้นของคุณจะพัฒนาอย่างมาก แก้วนี้ผมขอดื่มเพื่อยกย่องเพื่อคุณ”
เป่หมิงยี่เฟิที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาพูดพร้อมกับหันไปหยิบแก้วไวน์ที่บริกรเดินยกถาดผ่านมาขึ้นดื่ม
เป่หมิงโม่มองเขาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย : “มองเห็นงานในวันนี้แล้ว ดูเหมือนว่านายยังคงสามารถดำรงตำแหน่งประธานของบริษัทเป่หมิงต่อไปได้ ทำงานให้ดีนะ เหมือนที่นายพูดว่าจะขยายมันต่อไป”
พูดพร้อมกับยกไว้ขึ้นดื่มหนึ่งแก้ว
“ยี่เฟิง ขอบคุณนะคะที่เมื่อสักครู่คุณประเมินฉันต่อหน้าทุกคนไว้อย่างสูง อันที่จริงฉันรู้ตัวเองดีค่ะ บริษัทเป่หมิงเกือบจะถูกทำลายในมือฉัน ฉันไม่มีคุณสมบัติอะไรที่จะนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นต่อไปจริงๆ ตอนนี้มองเห็นคุณพัฒนามันให้มีชีวิตชีวาแล้ว ฉันมีความสุขกับคุณมากจริงๆค่ะ มาค่ะ พวกเรามาชนแก้วกันเถอะ”
กู้ฮอนหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและชูขึ้นสูง
“ไชโย…”
“ไชโย”
สุภาพบุรุษทั้งสองคนก็ชูแก้วขึ้นด้วย
เสียงกระทบกันของแก้วที่ดังกังวาน มันกระตุ้นหัวใจของเป่หมิงยี่เฟิงในขณะนี้
คิดไม่ถึงเลยว่าบรรยากาศงานเลี้ยงค็อกเทลในวันนี้จะมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขนาดนี้
แม้แต่เป่หมิงยี่เฟิงเองก็รู้สึกประทับใจเล็กๆ
*
“ชนแก้ว…” หยินปู้ฝันยกแก้วไวน์ขึ้นตรงหน้าตนเอง ข้างในเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงก่ำ
แอนนิเองก็หยิบแก้วตรงหน้าเธอขึ้นมา : “ฉันไม่เคยเจอแบบนี้เลยจริงๆ กินเกี๊ยวพร้อมกับทฤษฎีขั้นสูงชุดใหญ่ แล้วยังมีชนแก้ว คุณเชื่อมโยงสิ่งที่ไม่เข้ากันแบบนี้ได้ยังไง?”
การพูดอย่างมีหลักการอาจจะเป็นจุดแข็งของหยินปู้ฝัน : “คุณเคยได้ยินคำนี้หรือเปล่า ที่พูดว่า : เกี๊ยวก็คือไวน์ ยิ่งกินยิ่งมีความสุข นี่หมายความว่าของสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ผสมผสานกันได้ดีที่สุด”
เขาจิบเบาๆขณะที่พูด
แอนนิยิ้มและส่ายหัว : “คุณอย่ามาหลอกฉันที่นี่เลยค่ะ ถึงฉันจะอาศัยอยู่ในเมืองซาบาห์ แต่ฉันก็รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศบ้านเกิดอย่างชัดเจนอยู่ไม่น้อยนะคะ ที่คุณพูดถูกต้องค่ะ แต่ดูเหมือนว่าถ้าเกี๊ยวนี้จะเป็นไวน์ ก็ไม่น่าจะเป็นไวน์แดงนะคะ”
หยินปู้ฝันมองไปยังแอนนิด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย : “ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย ว่าคุณวิเคราะห์สำนวนพวกนี้ด้วย ถ้าอย่างนั้นคุณพูดมาสิว่าควรจะสั่งไวน์อะไรถึงจะถูกต้อง?”
แอนนิคิดขมวดเล็กน้อยและใช้ความคิด : “อืม…ถ้าฉันจำไม่ผิดน่าจะเป็นเหล้าขาวนะคะ”
**
หยินปู้ฝันวางแก้วลงแล้วปรบมือให้กับแอนนิเบาๆ : “ต้องมองคุณในมุมที่แตกต่างออกไปเสียแล้ว เดิมทีผมคิดว่าจะต้องใช้เวลาสักครู่ที่จะเผยแพร่ประวัติศาสตร์ประมาณห้าพันปีนี้ให้กับคุณ ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้หลายอย่างเลย”
“มันเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่จะสามารถได้ยินคุณพูดจาสรรเสริญคน แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง คนที่ได้รับประโยชน์ก็คือฉัน ดังนั้นฉันจึงขอแสดงคำขอบคุณมา ณ ที่นี่” พูดแล้วแอนนิก็เอาแก้วในมือไปเคาะกับแก้วของหยินปู้ฝันเบาๆ
“คุณฟังใครมาว่าผมไม่ชอบสรรเสริญคน นิสัยของผมดีมากเลยนะครับ” หยินปู้ฝันดื่มอีกครั้งแล้วเริ่มแก้ตัว
“แน่นอนว่าเป็นที่สามารถฟังคำบ่นร่ายยาวของคุณได้ตลอดทั้งวัน เธอเอามาบ่นกับฉันทุกครั้งแหล่ะค่ะ”
“นี่มัน…” เมื่อได้ยินหยินปู้ฝันรู้ทันทีว่าคือใครที่โจมตีเขาด้วยการขี้ฟ้องแบบนี้ : “อันที่จริงแล้ว ผมจะพูดยังไงดีล่ะ ผมเป็นคนที่ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ค่อนข้างที่จะเข้มงวด พอมองเห็นอะไรที่ไม่เข้าตาแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกไปสักสองสามคำ เพียงแต่ว่ากู้ฮฮนไม่เข้าใจผมเลยเกิดความเข้าใจผิดเท่านั้นเอง”
ข้อนี้ แอนนิยังพอรับได้ นอกเหนือจากที่กู้ฮอนบอกว่าบางครั้งเค้าก็เหมือนพระถังแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ
แล้วก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาคุยกันอยู่สักพัก ต่างฝ่ายต่างพูดคุยกัน
จนกระทั่งลืมเรื่องกินไปเลย จนท้องเริ่มร้องประท้วงขึ้นหลายครั้ง นี่เองถึงได้เริ่มกินเกี๊ยวที่เย็นแล้ว แต่ดูเหมือนว่าสำหรับพวกเขาสองคน ถึงแม้อาหารในปากจะเย็น แต่ในใจก็ร้อนรุ่มแล้ว
*
งานเลี้ยงค็อกเทลของบริษัทเป่หมิงยังดำเนินต่อไป การที่เป่หมิงโม่พากู้ฮอนมาแทนที่เป่หมิงยี่เฟิง ก็ได้กลายเป็นจุดสนใจ
นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพราะพวกเขาต่างเคยเป็นประธานของบริษัทเป่หมิง
โดยเฉพาะเป่หมิงโม่ เขาเคยติดต่อทำงานร่วมกับเหล่าท่านประธานของบริษัทส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ แน่นอนว่าได้พบกับคนรู้จักต้องพูดคุยกันมากกว่าสองสามคำ
ประการที่สองก็คือชุดของพวกเขาในวันนี้เด่นสะดุดตามากจริงๆ งานเลี้ยงค็อกเทลนี้เหล่าท่านประธานต่างพาหญิงสาวมาด้วยอย่างไม่ขาดแคลน
แน่นอนว่าในงานนี้พวกเขาต่างแข่งขันกันในเรื่องความสวยของคนรัก แต่สุดท้ายแล้วไม่มีใครสามารถเอาชนะกู้ฮอนได้
สำหรับข่าวคราวเก่าๆเหล่านั้นระหว่างพวกเขา แน่นอนว่าย่อมดึงดูดสายตาของพวกเขาให้สนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เวลาเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างมาก มันสามารถทำให้คนสองคนที่สนิทสนมกันอย่างสุดใจกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน และทำให้คนสองคนที่ไม่คิดจะสนใจกันมาเป็นคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา
สถานที่จัดงานห่อหุ้มด้วยบรรยากาศแห่งความสุข
สิ่งนี้ทำให้เป่หมิงยี่เฟิงมีความสุขมาก ไม่เพียงแต่เพราะงานเลี้ยงค็อกเทลนี้ประสบความสำเร็จ แต่ยังเป็นเพราะเขารู้สึกว่าตนเองกับเป่หมิงโม่หรือกับกู้ฮอน ความสัมพันธ์ ระหว่างพวกเขาสามคนได้เปลี่ยนเป็นกลมเกลียวต่อกันมากขึ้น
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ปิดกั้นสาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น คนจากตระกูลเป่หมิงเหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้คนนอกมองเป็นเรื่องตลกขบขันในที่สาธารณะเช่นนี้
และคนที่มีความสุขเช่นเดียวกันกับเป่หมิงยี่เฟิง ยังมีเป่หมิงเฟยหย่วนอีกคน
เมื่อสักครู่นี้ เป่หมิงโม่หยิบแก้วไวน์ และเป็นฝ่ายเริ่มพากู้ฮอนไปอยู่ด้านหน้าเขา: “พี่ใหญ่ครับ ผมละอายใจจริงที่เมื่อก่อนทำแบบนั้นกับพี่ สร้างอันตรายให้กับพี่และพ่อ ตอนที่พ่อจะจากไป ผมโชคดีมากที่ท้ายที่สุดแล้วได้รับการให้อภัยจากเขา และครั้งนี้ผมหวังว่าจะได้รับการให้อภัยจากพี่”
เป่หมิงเฟยหย่วนได้ยินคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในดวงตาส่องประกายแวววาว เขาเอื้อมมือมาตบไหล่เป่หมิงโม่อย่างแรง : “ไม่ว่าจะยังไง พวกเราต่างก็เป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะอภัยหรือไม่ ก็ปล่อยให้สิ่งนี้มันผ่านไปเถอะนะ”
*
เป่หมิงโม่พยักหน้า แล้วยกแก้วไวน์ของตนเองขึ้น : “ตกลงครับ จากนี้ปล่อยให้สิ่งไม่ดีผ่านพ้นไป”
พูดจบ เขาและเป่หมิงเฟยหย่วนสองคนก็ชนแก้วกัน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เงยหน้าขึ้นและดื่มไวน์ในแก้วของตนเองจนหมด
ในที่สุดความบาดหมางระหว่างชายทั้งสองคนก็ได้รับการแก้ไข สิ่งนี้ทำให้หลันเนี่ยนที่มาเป็นเพื่อนและยืนอยู่ข้างกายของพวกเขาและกู้ฮอนก็มีความรู้สึกในใจที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
หลันเนี่ยนเป็นลูกสะใภ้คนโตของตระกูลเป่หมิง ความบาดหมางเหล่านั้นระหว่างพวกเขาสองคนพี่น้อง ถึงไม่พูดทุกคนก็รู้กันหมด ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนั่นแหละ
เริ่มตั้งแต่การทำหน้าเย็นชาใส่กัน แย่งหุ้นไปและขับไล่ออกจากบ้านตระกูลเป่หมิง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่สองพี่น้องจะดื่มไวน์ขจัดความแค้น
ความเศร้าโศกนั้นมีราคาแพง แต่บางทีเธอกับเป่หมิงเฟยหย่วนต่างมีข้อสงสัยในใจเหมือนกัน รวมถึงเป่หมิงยี่เฟิง พวกเขาต่างไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเป่หมิงโม่ถึงเปลี่ยนไปมากหลังจากออกจากตระกูลเป่หมิงเหมือนกับเขาเปลี่ยนเป็นคนละคนจากก่อนหน้านี้
ถ้าหากว่าเป็นคนนอก เขาอาจจะตั้งข้อสงสัยว่าจริงๆก็ได้ว่าเขาอาจเป็นฝาแฝดหรืออาจได้รับการกระตุ้นทางจิตใจจนเปลี่ยนเพศไปแล้ว
ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ตาม แต่โดยสรุปแล้วตอนนี้เป่หมิงโม่เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมากแล้วจริงๆ
สำหรับความคลางแคลงใจของพวกหลันเนี่ยน เข้าใจได้อย่างชัดเจนเลยว่าที่เป่หมิงโม่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เป็นเพราะกู้ฮอน เธอสามารถพูดได้ว่ามองเห็นนิสัยเขาเปลี่ยนไปทีละน้อย
เธอควรจะขอบคุณที่เขาหันหน้ากลับมาหากันจริงๆ มันไม่ใช่การฉุกคิดได้ในชั่วขณะหรือมีแผนการชั่วร้ายซ่อนอยู่ แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงที่มาจากหัวใจ
เป่หมิงโม่ดื่มไวน์ในแก้วจนหมด แล้วเขาก็หยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านใน แล้วยื่นให้กับเป่หมิงเฟยหย่วน : “ผมคืนสิ่งนี้ให้คุณ”
เป่หมิงเฟยหย่วนมองเป่หมิงโม่อย่างสงสัย : “มันคืออะไร?”
“เปิดดูก็จะรู้ครับ”
เป่หมิงเฟยหย่วนยื่นมือไปรับจดหมาย หลันเนี่ยนและเป่หมิงยี่เฟิงเดินมาอยู่ข้างๆเขา
เขาเปิดซองจดหมายด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ด้านหน้ามีตัวอักษรขนาดใหญ่ดึงดูดสายตาของพวกเขา
“หนังสือโอนหุ้น…” เป่หมิงยี่เฟิงอ่านออกเสียงด้วยความประหลาดใจ
เป่หมิงโม่พยักหน้า สิ่งนี้ทำให้กู้ฮอนประหลาดใจเล็กน้อย
ครอบครัวของพวกเขายังคงอ่านต่อไป เนื้อหาโดยประมาณก็คือเป่หมิงโม่สมัครใจโอนหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเป่หมิงให้กับเป่หมิงยี่เฟิง ด้านล่างคือลายมือชื่อพร้อมกับตราประทับของเป่หมิงโม่ และตราประทับอย่างเป็นทางการของสำนักทนายควา