เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1049 เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน
บทที่ 1049 เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกเขา…” สิ่งนี้ทำให้เป่หมิงยันรู้สึกประหลาดใจ
ในความทรงจำของเขา พวกเขาต่างเหมือนน้ำกับไฟไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ทำไมวันนี้พวกเขาถึงกลับไปที่บ้านหลังเก่า หรือว่าระหว่างพวกเขาเกิดเรื่องอะไรอีกแล้ว?
หรือว่าตะกูลเป่หมิงจะเกิดปัญหาจนต้องแตกแยกกันจริงๆ?
เขาคิดจนเหม่อลอย มือที่ถือคันเบ็ดได้คลายออก บางทีปลาตัวใหญ่ที่อยู่ใต้ผิวน้ำรู้สึกได้ว่าคนด้านบนคลายมือออกแล้ว มันจึงออกแรงอย่างหนักแล้วพุ่งออกไปด้วยความเร็วสุดขีด
คันเบ็ดหลุดออกจากมือของเป่หมิงยันอย่างรวดเร็ว
“ฟึ่บ” ตกไปในทะเลจนเกิดเสียง และในไม่ช้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดีจริงๆ
“ตกลง ฉันจะรีบกลับไป” เป่หมิงยันพูดจบก็วางโทรศัพท์ลง แล้วก้าวขึ้นสะพานไปยังชั้นสองของเรือยอทช์อย่างรวดเร็ว จับหางเสือให้มั่นคง แล้วไปที่แรงม้าระดับสูงสุด
หลังจากนั้นวาดเป็นเส้นโค้งสีขาวบนทะเล ฮ่อตะบึงไปทางชายฝั่ง
***
เป่หมิงเฟยหย่วนเดินกลับไปกลับมาในห้องหนังสือของพ่อด้วยใบหน้าเศร้าหมองไม่มีความสุข
เป่หมิงโม่นั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะอ่านหนังสือ ข้อศอกวางบนโต๊ะ สองมือวางไว้ใต้คาง ใบหน้าของเขานั้นยังดูดีกว่าเป่หมิงเฟยหย่วน
เป่หมิงยี่เฟิงนั่งอยู่กับหลันเนี่ยนผู้เป็นแม่บนโซฟา
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องห้องหนังสือเบาๆ
เป่หมิงยี่เฟิงรีบลุกไปเปิดประตู
แล้วมองเห็นคนรับใช้ยืนอยู่ที่ปากประตู : “คุณชายยี่เฟิง เมื่อสักครู่ฉันโทรศัพท์แจ้งให้คุณชายสามกลับมาแล้วนะคะ ตอนนี้เขากำลังรีบกลับมาค่ะ รบกวนรอสักครู่”
เป่หมิงยี่เฟิงพยักหน้า : “อืม เข้าใจแล้ว”
ในตอนที่เขากำลังจะปล่อยให้คนรับใช้ถอยกลับไปนั้น หลันเนี่ยนก็เดินมาถึงปากประตู : “ฉันให้พวกเธอเตรียมอาหารเป็นยังไงบ้าง?”
“รายงานคุณนายไหญ่ค่ะ ในครัวด้านหลังกำลังจัดเตรียมค่ะ คาดว่าอีกสักครู่ก็เสร็จแล้ว ถึงเวลาฉันจะมาแจ้งให้ทุกท่านทราบ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปทำงานก่อนค่ะ”
หลันเนี่ยนพยักหน้า : “เธอไปทำงานของเธอเถอะ”
พูดจบเป่หมิงยี่เฟิงก็ปิดประตูห้องหนังสืออีกครั้ง
เมื่อประตูปิดแล้ว คนรับใช้คนนั้นก็ถอนใจยาว เธอใช้มือตบที่หน้าอกของตัวเองเบาๆ
ช่างน่ากลัวจริงๆ ตอนที่ประตูห้องอ่านหนังสือเปิดออกเมื่อกี้นี้ ตนเองมองเห็นอย่างคลุมเครือว่าด้านในมีคุณชายใหญ่เป่หมิงและคุณชายรองเป่หมิงท่าทางแบบนั้นมันช่าง…
ทั้งห้องมีกลิ่นดินปืนกระจายอยู่ทั่ว มีความรู้สึกว่ามันจะระเบิดในอีกไม่กี่นาที
*
หลังจากที่เป่หมิงเฟยหย่วนเดินวนไปมาหลายรอบแล้ว ในที่สุดก็หยุดเดิน เขาวางมือทั้งสองข้างค้ำไว้บนโต๊ะ และพูดกับเป่หมิงโม่ว่า : “น้องรองคิดว่าเรื่องนี้ต้องเรียกน้องสามมางั้นเหรอ? ถึงแม้ว่าเขาจะมา นอกเหนือจากจะมีคนวิตกกังวลเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้วก็คงไม่มีผลอะไรอีก”
เป่หมิงโม่หลับตาคิ้วของเขาไม่เคยเหยียดออกเลย เขาพูดช้าๆว่า : “เรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลเป่หมิงของพวกเรา ถึงแม้ว่าน้องสามจะช่วยอะไรไม่ได้แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาเป็นสมาชิกของตระกูลเป่หมิง จึงมีสิทธิ์รู้ ในอดีตคุณพ่อและป้าซินปกป้องดูแลเขาเป็นอย่างดีเขาแทบไม่ต้องกังวลเรื่องของตระกูลเป่หมิงเลย แต่ว่าในตอนนี้เขาควรจะกลายเป็นสมาชิกที่แท้จริงของตระกูลเป่หมิงเสียที”
“ในกรณีนี้ ฉันคิดว่าอีกสักครู่น้องสามคงกลับมาแล้วล่ะ วันนี้ที่งานเลี้ยงพวกคุณยังไม่ได้ทานอะไรเลย ทำไมพวกเราไม่ไปทานข้าวกันก่อนล่ะคะ กินไปรอเขาไป”
ในเวลานี้หลันเนี่ยนแสดงความคิดของตนเองออกมา
“เลิกยกเรื่องงานเลี้ยงค็อกเทลมาพูดได้แล้ว พูดอีกคำเดียวผมจะโกรธ” ยังไม่ทันที่เป่หมิงโม่จะพูดอะไร เป่หมิงเฟยหย่วนก็เริ่มโมโหก่อน เขาจ้องมองเป่หมิงยี่เฟิงอย่างเหี้ยมโหด : “สิ่งเหล่านี้คือเรื่องดีๆที่แกทำ ถ้าหากไม่ใช่เพราะแกอยากจะกลับไปที่ตระกูลเป่หมิงอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าคงไม่มีสิ่งกระตุ้นให้เกิดเรื่องขึ้น”
เห็นสามีดุลูกชายแล้ว ในฐานะของแม่จะทนมองต่อไปได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป่หมิงยี่เฟิงที่เป็นที่เป็นดั่งเนื้อส่วนหนึ่งของหัวใจ : “คุณด่าลูกชายแล้วได้ประโยชน์งั้นเหรอ เรื่องมันเกิดไปแล้ว หรือว่าจะมีที่ให้เสียใจภายหลังงั้นเหรอ? นอกจากนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณลูกจะกลายเป็นแบบนี้ไหมล่ะ ตอนนี้คุณยังโชคดี เกิดเรื่องแล้วก็ปัดไปที่ลูกทั้งหมด มีคนแบบคุณเป็นพ่อด้วยหรอ?”
เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เป่หมิงยี่เฟิงเห็นแม่เข้าประจันหน้ากับพ่อ ก่อนหน้านี้พวกเขาสองสามีภรรยามีท่าทีเป็นมิตรต่อกัน และเคารพให้เกียรติกันมาโดยตลอด
ไม่สามารถที่จะทำลายความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาเพราะเหตุการณ์นี้
“พ่อแม่ หยุดเถียงกันได้หรือเปล่า ผมยอมรับเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของผมมากที่สุด ตอนแรกผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะมีผลลัพธ์อย่างนี้” พูดแล้วเป่หมิงยี่เฟิงก็กัดฟันดูเหมือนว่าเขาได้ตัดสินใจอย่างหนึ่งแล้ว เขาหมุนตัวแล้วดึงประตูห้องหนังสือเพื่อจะเดินออกไปข้างนอก
***
“ไอ้ตัวเหม็น แกกลับมาเลยนะ จะออกไปทำไม เกิดปัญหาวุ่นวายก็คิดจะวิ่งหนีสินะ บอกแกไว้เลยนะ ถ้าแกก้าวผ่านประตูนี้ไปก็ไม่ต้องกลับมาอีก!”
เป่หมิงเฟยหย่วนเห็นพฤติกรรมของลูกชายเป็นเช่นนี้แล้วก็รู้สึกโกรธจนหายใจติดขัด
“ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ในเมื่อเรื่องนี้ผมเป็นคนก่อ อย่างนั้นแล้วผมถึงจะออกไปหาพวกเขาเพื่อให้เรื่องมันยุติ พวกคุณไม่จำเป็นต้องมาเป็นกังวลในเรื่องนี้เพื่อผมอีกแล้ว” ในตอนนี้เลือดในตัวของเป่หมิงยี่เฟิงเริ่มที่จะเดือดพล่านขึ้นมา
ดวงตาของเขากลอกไปมา เส้นเลือดที่อยู่ข้างขมับทั้งสองข้างก็เหมือนจะระเบิดออกด้วย เคยเห็นเป่หมิงยี่เฟิงโกรธมาก่อนแต่ก็ไม่เคยเห็นเขามีปฏิกิยาแบบนี้
ในตอนที่เขาก้าวออกจากประตูไปเพียงก้าวเดียว เสียงหนึ่งได้หยุดก้าวต่อไปของเขา
“หยุดเถอะ นายคิดว่าแรงกระตุ้นเช่นนี้คือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแล้วอย่างนั้นเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่ต้องรอให้นายไปหรอกนะ ฉันสามารถลงมือจัดการที่งานเลี้ยงค็อกเทลตั้งแต่แรกแล้ว นายไปตอนนี้เป็นได้แค่ตายเปล่า แน่ล่ะ ถ้านายโชคดีก็คาดการณ์ได้เลยว่าพอถึงตอนนั้นพวกเราก็ได้จะไปเยี่ยมนายที่คุก”
เป่หมิงโม่พูดแล้วในที่สุดเขาก็ลืมตา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาอีกครั้ง เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง แล้วเดินไปรอบๆโต๊ะทีละก้าวไปทางเป่หมิงยี่เฟิง
ในตอนที่มาอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาที่เบิกกว้างของเป่หมิงยี่เฟิงเห็นได้ชัดว่าเขากำลังเย้ยหยันตนเอง : “บางทีการที่นายเข้าคุกไปซะอาจจะเป็นวิธีหลบหนีที่ดีที่สุด เช่นนี้แล้ว นายก็จะมีข้ออ้างมากพอที่จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่นายก่ออีกต่อไป แล้วพวกเราก็จะจัดการเรื่องเละเทะนี้ให้นายจนกว่านายจะออกมา”
ในขณะที่ฟัง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเป่หมิงยี่เฟิงกระตุกเล็กน้อย มือทั้งสองบีบเป็นกำปั้นแล้ว แล้วมีเสียง “เอี้ยดอ้าด” ดังขึ้นด้วย
เห็นเขาเป็นอย่างนี้แล้ว ดูเหมือนเป่หมิงโม่จะยังไม่จบ และพูดต่อไปว่า “ถึงตอนนั้นนายอาจจะโชคดี ถ้าเรื่องนี้ฉันกับพ่อแม่นายตกลงกันได้ แต่คาดได้เลยว่าพวกเราจะเหลือลมหายใจแค่เพียงครึ่ง นายสามารถเป็นประธานของบริษัทเป่หมิงต่อไป แล้วก็สามารถเป็นลูกกตัญญูต่อหน้าพ่อแม่ต่อไปได้ แต่ว่ากลับมาที่ประเด็นหลัก เรื่องดีๆขนาดนี้จะรอนายอยู่ที่ไหนล่ะ ผลลัพธ์อย่างอื่นดูจะเป็นไปได้มากกว่า สิ่งนั้นก็คือถึงแม้ว่าพวกเราจะช่วยนายแก้ไขปัญหาแต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะสูญเปล่าไม่ได้อะไรอยู่ดี กลุ่มคนพวกนั้นของถังเทียนจื๋อ นายไม่ควรที่จะรู้จักพวกเขาดีกว่าพวกเรา ดีแล้วล่ะ ที่เรื่องนี้ทำไม่สำเร็จ พวกเราสามารถถอนตัวได้ สำหรับฉันแล้วเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบอะไรเลย ฉันสามารถอยู่วงนอกของเรื่องนี้ได้ แต่ว่าพ่อแม่ของนายล่ะจะถูกคนอื่นขนานนามให้ว่า : ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน น่าอัปยศอดสูที่สั่งสอนลูกไม่ได้ จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นไม่ได้จนกว่านายจะกลับมา จากนั้นคนในครอบครัวก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตน ต้องไปหลบซ่อนอาศัยอยู่ในที่ที่ไม่มีคนรู้จัก แน่ล่ะว่า ตระกูลเป่หมิงสำหรับนายแล้วเป็นที่ที่นายดำรงเป็นประธานไม่ถึงครึ่งปี นายไม่ต้องรู้สึกเศร้ามากมายขนาดนั้น แต่ว่าพ่อแม่ของนายล่ะพวกเขาไม่สามารถก้าวผ่านการล้มลงของตัวเองได้ พวกเขาจะตกต่ำเพราะเรื่องนี้ตลอดไป ถึงแม้เป็นเวลาช่วงสุดท้ายก่อนตาย พวกเขายังต้องกังวลในที่จะเผชิญหน้ากับคุณปู่ที่ตายไปแล้วเมื่อไปถึงที่นั่น เป่หมิงยี่เฟิง นายสมกับเป็นลูกกตัญญูจริงๆ แล้วยังเป็นหลานที่ดีของคุณปู่ เป็นหลายชายคนโตของตระกูลเปหมิงตามที่ควรจะเป็น…”
***
หลังจากที่เป่หมิงโม่พูดจบแล้วก็เอื้อมมือมาตบไหล่เป่หมิงยี่เฟิงเบาๆ : “เรื่องที่ควรพูดฉันพูดจบแล้ว ที่เหลือย่อมเป็นนายที่ต้องตัดสินใจ”
พูดจบแล้วเขาก็ยืดเส้นยืดสายให้ตนเอง : “จู่ๆก็รู้สึกหิวแล้ว ตอนนี้มีข้าวให้กินหรือเปล่า?”
“โอ้ ฉันสั่งพ่อครัวให้เตรียมเอาไว้แล้วค่ะ ตอนนี้น่าจะเตรียมเกือบเสร็จแล้ว” หลันเนี่ยนตอบอย่างรวดเร็ว
เป่หมิงโมเดินอ้อมเป่หมิงยี่เฟิงออกมาจากห้องหนังสือ จากนั้นก็หันกลับมาพูดกับพวกของเป่หมิงเฟยหย่วนว่า : “เป็นอะไรไป พวกคุณไม่หิวเหรอ? ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าสามจะกลับมาเมื่อไหร่ ผมไม่รอเขามากินด้วยกันนะ” พูดจบแล้ว เขาก้เดินไปที่ห้องกินข้าวอย่างไม่เร่งรีบ
“พวกเราจะรีบตามไป” เป่หมิงเฟยหย่วนตอบ จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าภรรยาและลูกชาย อารมณ์ของเขาในตอนนี้คนที่เป็นพ่อแม่จะเข้าใจได้ง่ายที่สุด
หลันเนี่ยนยื่นมือออกมาจับสองมือของลูกชายไว้แน่น : “ลูกแม่ พวกเราเข้าใจความรู้สึกของลูกดี และเช่นเดียวกัน กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้พวกเราไม่เคยคิดที่จะตำหนิลูกอะไรลูกเลย เพราะฉะนั้น ลูกก็ไม่ต้องเอาเรื่องนี้ไปถือไว้เป็นภาระหรอกนะจ๊ะ”
“ใช่แล้วล่ะลูก ทำใจให้ผ่อนคลายเถอะนะ เรื่องนี้มันยังไม่ใช่จุดที่แย่ที่สุดไม่ใช่เหรอ ดังนั้นพวกเรายังมีช่องที่จะพอกอบกู้กลับมาได้ แน่ล่ะว่าความประมาทและความหุนหันพลันแล่นเป็นเรื่องเลวร้าย มีเพียงการสงบสติอารมณ์เท่านั้นที่จะทำให้เราพบวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวกัน” หลังจากที่เป่หมิงเฟยหย่วนปลอบใจลูกชายแล้ว ก็จับมือของภรรยา แล้วทั้งคู่ก็ออกจากห้องหนังสือ
ภายในห้องหนังสือไม่มีใครแล้ว เหลือเพียงแต่เท้าข้างหนึ่งของเป่หมิงยี่เฟิงที่อยู่นอกห้องและอีกข้างอยู่ภายในห้อง
หลังจากที่ความหุนหันพลันแล่นถูกเป่หมิงโม่ตีแสกหน้าไปเมื่อกี้นี้ เขาก็สงบลงโดยสมบูรณ์
*
ในห้องกินข้าว เป่หมิงโม่และคู่สามีภรรยาเป่หมิงเฟยหย่วนนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรส
“พวกคุณสองคนยังนิ่งอึ้งอะไรอีก ถ้าไม่กินอาหารมันจะเย็นนะ” เป่หมิงโม่พูดพร้อมกับยกชามว่างเปล่าแล้วตักน้ำซุปให้ตนเองก่อน
หลังจากนั้นก็จิบจากช้อนหนึ่งคำแล้วพยักหน้าไม่หยุด : “รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ พวกคุณก็ลองชิมด้วยสิ”
มองไปยังเป่หมิงโม่แล้ว เป่หมิงเฟยหย่วนและหลันเนี่ยนต่างมองหน้ากันและกัน แล้วค่อยๆยกชามของตนเองขึ้นมาช้าๆ
“พวกคุณสองคนยังกังวลอะไรอยู่ เด็กยี่เฟิงคนนั้นใช่ไหม? นี่เป็นทางที่เขาเลือกเอง จะเดินยังไงต่อไปเป็นเรื่องของเขาแล้วล่ะครับ” เป่หมิงโม่กล่าวขณะดื่มน้ำซุป
“กินข้าว กินข้าว” ดูเหมือนว่าเป่หมิงเฟยหย่วนเองก็จะคิดตกได้บ้างแล้ว จึงเรียกภรรยาให้กินน้ำซุป
ในตอนที่พวกเขาสามคนกำลังจะกิน เป่หมิงยี่เฟิงก็เดินก้มหน้าเข้ามา
ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรสักอย่าง กลับถูกเป่หมิงโม่ตัดบทว่า : “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคิดว่าจะไม่ได้กินมื้อนี้อีกต่อไปแล้ว”