เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1109 ความซาบซึ้งในใจลึก ๆ
บทที่ 1109 ความซาบซึ้งในใจลึก ๆ
พวกมันก็เปรียบได้เหมือนกับหมาฝูงหนึ่ง ในตอนที่เขามีอำนาจยิ่งใหญ่นั้น ถึงแม้จะมีความเกลียดชังเก็บเอาไว้ แต่ก็ว่าก็ไม่กล้าแหย่
แต่พอมาวันนี้อำนาจของเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว ก็เลยทำให้พวกมันฉวยโอกาสสามารถแก้แค้นคืนได้แล้ว
สำหรับการรายงานด้านลบของตัวเอง ทำไมเป่หมิงโม่จะมองไม่เห็น
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องทำให้สำนักข่าวพวกนี้ล้มละลายไปให้หมดแน่
แต่ว่าเวลานั้นกับเวลานี้มันต่างกัน และที่สำคัญตอนนี้เขาก็เปลี่ยนเป็นคนที่ยิ่งมีความอดทนมากขึ้นแล้ว อยากจะเขียนอะไรก็ให้พวกเขาเขียนไป ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้เสียเนื้อไปสักก้อน หรือว่าขาดอะไรไปสักหน่อย
เขาจอดรถไว้ที่หน้าประตูโรงเรียน พออ่านหนังสือพิมพ์ในมือหมดแล้ว ก็ลวดโยนมันทิ้งลงไปในถังขยะที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุดอย่างแม่นยำ
ในตอนที่เขาเตรียมตัวจะขับรถออกไปนั้น กระจกหน้าต่างรถของเขาก็ถูกคนเคาะจากข้างนอกเบา ๆ ขึ้นสองครั้ง
อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาที่เอาตัวเองไปเป็นเรื่องตลกพวกนั้นในหนังสือพิมพ์ กระทบต่ออารมณ์ทำให้เขาไม่เห็นว่าที่ข้าง ๆ ได้มีคนมายืนอยู่แล้วคนหนึ่ง
จากข้างในรถ เวลานี้แค่สามารถมองเห็นรูปร่างบางส่วนของคนที่อยู่นอกรถ
มองดูแล้วกลับไม่เหมือนนักข่าวคนหนึ่ง
เขาลดกระจกรถลงมานิดหน่อย เห็นเพียงแต่คนข้างนอกค่อย ๆ โค้งตัวลงมาเล็กน้อย พอดีกับสามารถมองเห็นหน้าคร่าตากับเป่หมิงโม่ได้ “อารอง เราหาที่สักแห่งคุยกันหน่อยดีไหมครับ”
คนที่อยู่ข้างนอกนั้น คือเป่หมิงยี่เฟิงเอง
*
ที่ถนนเส้นหนึ่งที่ดูค่อนข้างสงบเงียบห่างจากโรงเรียนมาไม่มาก มีร้านกาแฟที่ตกแต่งเป็นสไตล์ยุโรปเหนืออยู่ร้านหนึ่ง
โต๊ะที่อยู่ติดหน้าต่างบนชั้นสาม ได้มีผู้ชายสองคนกำลังนั่งหน้าเข้าหากันอยู่
บนโต๊ะกระจกตรงหน้าพวกเขามีกาน้ำที่ทำจากแก้วใส่กาแฟที่ลวดลายสวยงามวางอยู่
ภายใต้ประโยชน์ของเปลวไฟนั้นทำให้ของเหลวสีดำข้างในกำลังเดือดปุด ๆ จนมีฟองน้ำเกิดขึ้นมาไม่หยุด ที่ปากกาน้ำนั้นก็มีกลิ่นหอมที่ทำให้คนผ่อนคลายลอยออกมา
“อารอง ตั้งแต่ที่เรื่องนั้นเกิดขึ้นมาแล้วนั้น เราก็ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้วนะครับ”เป่หมิงยี่เฟิงพูดขึ้น และยื่นมือออกไปยกกากาแฟขึ้นมา แล้วรินให้เป่หมิงโม่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามแก้วหนึ่ง
เป่หมิงโม่พยักหน้า “ใช่ เป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้วที่ไม่ได้เจอกัน แต่ว่าฉันก็ยังสนใจข่าวคราวของบริษัทเป่หมิงมาตลอด ดำเนินการไปได้ไม่เลวเลยนี่ ดูท่าแล้วนายก็เป็นคนที่เหมาะกับการทำงานคนหนึ่งจริง ๆ”
เขานั้นกว่าจะชื่นชมคนคนหนึ่งนั้นยากมากจริง ๆ นี่ก็ทำให้เป่หมิงยี่เฟิงแอบรู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อย และเขาก็พูดขึ้นอย่างถ่อมตัวว่า “อารองชื่นชมเกินไปแล้ว ถ้าเทียบกับอาแล้วผมยังห่างไกลอีกเยอะ เพียงแต่ตอนนี้บริษัทเป่หมิงยังไม่ล้มอยู่ในมือของผมก็เท่านั้น”
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอก ช่วงนี้บริษัทเป่หมิงได้รับโครงการใหญ่ของต่างประเทศหลายโครงการ ขอบเขตชื่อเสียงวิศวกรรมทางสากลของบริษัทเป่หมิงก็ยิ่งสูงขึ้นไปไม่น้อย ทำให้ดีต่อไป คุณปู่ของนายจะต้องภาคภูมิใจในตัวนายแน่ ๆ”
พอเอ่ยถึงคุณปู่ เป่หมิงยี่เฟิงที่เมื่อกี้ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่ก็รีบเก็บกลับไปบ้างทันที เหมือนกับว่าเขานั้นนึกถึงเรื่องเก่าบางเรื่องขึ้นมา
เรื่องที่ไม่ดีนั้น มักจะทำให้คนรู้สึกผิดหวังและเสียใจ
เป่หมิงยี่เฟิงนั้นตั้งแต่แรกก็เป็นคนที่โดนความรู้สึกกระทบได้ง่ายมากคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือคนที่ถูกเอ่ยถึงนั้นเป็นคุณปู่
แล้วเป่หมิงโม่ทำไมจะไม่ใช่คนแบบนี้ด้วยล่ะ
ภายนอกดูเป็นคนเย็นชาไม่เห็นแก่ความรู้สึก หรืออย่างน้อยเมื่อก่อนเขาก็เป็นแบบนี้
แต่ว่าเรื่องที่เขาทำทุก ๆ เรื่องนั้น ล้วนมาจากสีสันของความรู้สึกทั้งนั้น เพียงแต่ว่าสีสันของเขาไม่ใช่สีสันสดใสเท่านั้น แต่กลับเป็นสีเทาหม่นทั้งผืน
พวกเขาทั้งสองคนต่างก็เงียบขรึมลงอย่างไม่ได้นัดหมาย
จนสุดท้ายก็เป็นเป่หมิงโม่เปิดที่ปากพูดขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ที่นายมาหาฉันคงไม่ใช่แค่มาระลึกถึงเรื่องเก่าง่าย ๆ แบบนี้หรอกใช่ไหม ทางโน้นของนายเจอปัญหาอะไรเข้าแล้วใช่ไหม ถ้าหากไม่รังเกียจละก็ ฉันยินดีจะช่วยนายในเรื่องของปัญหาเหล่านี้นะ”
เป่หมิงโม่ดูค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ที่จริงเขาก็เคยคิดมาก่อนแล้วไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวว่า บริษัทเป่หมิงนั้นเป็นเครือบริษัทที่ใหญ่โตมากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าดูถูกความสามารถของเป่หมิงยี่เฟิง แต่ว่าถึงแม้จะเป็นช่วงที่ตัวเองดูแลอยู่นั้นก็ยังคงเปลืองแรงไปพอประมาณเลยเหมือนกัน และยิ่งไปกว่านั้นแล้วเขาล่ะ ก็จะต้องพบเจอกับปัญหาบ้างเหมือนกันแน่นอน
“อารอง อาอย่าดูถูกผมนะ ถึงแม้ผมทำงานจะถือได้ว่ายากลำบากอยู่บ้าง แต่ว่าก็ยังถือว่าพอสามารถรับมือไหว ถ้าหากว่าไม่ไหวแล้วจริง ๆ ผมจะมาขอให้อาช่วยเอง แต่ครั้งนี้ที่มาหาอาเพราะว่ามีเรื่องอื่น” พูดแล้ว เขาก็หยิบข้อความข่าวที่ตัดมาจากหน้าหนังสือพิมพ์พวกนั้นออกมาจากกระเป๋าพกของตัวเอง
เป่หมิงโม่มองทีเดียวก็รู้แล้วว่านี่เขาหมายความว่ายังไง
เป่หมิงยี่เฟิงก็พูดออกไปตามตรงเลย “ผมรู้ว่าที่เขียนอยู่ในนี้มันไม่เป็นความจริง และอีกอย่างผมก็สนับสนุนให้อาทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน และยังดีใจมากที่อามีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ผมว่าเจ้าเด็กสามคนนั้นก็คงจะรู้สึกดีใจมากด้วยเช่นกัน” สามารถมองออกได้ว่า เขานั้นสนับสนุนตัวเองจากใจจริงเลย “ขอบใจนะ ดูท่าแล้ววันนี้นายจะตั้งใจมาสนับสนุนฉันโดยเฉพาะเลยนะ ที่จริงไม่จำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ก็ได้ พวกสำนักข่าวพวกนั้นก็แค่นึกว่าหาโอกาสแก้แค้นฉันได้แล้วก็เท่านั้น”
“พูดก็พูดไปแบบนี้ แต่ว่าที่พวกเขาทำแบบนี้ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ต้องกระทบโดนอาหรือครอบครัวของอา หรือไม่อากลับมาเถอะครับ กลับมาบริษัทเป่หมิงอีกครั้ง ถ้าแบบนี้ ก็จะสามารถอุดปากของพวกเขาไว้ได้ด้วย ผมดูออกนะ ถึงแม้อาจะแสดงท่าทีออกว่าไม่สนใจอะไร แต่ว่าในใจอาก็ยังคงสนใจมาก และที่สำคัญบริษัทเป่หมิงก็เป็นเลือดเนื้อของอาด้วยเหมือนกัน”
เป่หมิงโม่หยิบช้อนเล็ก ๆ ข้างแก้วขึ้นมา แล้วคนข้างในกาแฟเบา ๆ และอย่างรวดเร็วก็เกิดเป็นน้ำวนเล็ก ๆ ขึ้นมา “ขอบคุณความหวังดีของนายมาก ฉันรู้ ก่อนที่นายจะตัดสินใจแบบนี้นั้น ก็ต้องทำการต่อสู้กับความคิดมาเป็นเวลาไม่น้อยแล้วอย่างแน่นอน สมมุติถ้าฉันกลับไปที่นั่นใหม่อีกครั้ง ก็คงจะต้องมีผลกระทบต่อนายแน่นอน ในส่วนนี้นายน่าจะต้องชัดเจนมากกว่าฉันถึงจะถูก”
พูดแล้ว ก็มองเป่หมิงยี่เฟิงอย่างมีความหมายลึกซึ้ง เห็นเพียงแต่ปฏิกิริยาบนใบหน้าของเขาดูอึดอัดนิดหนึ่ง
“อารอง ที่อาพูดมาผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะ แต่ว่าผมรู้สึกว่าพวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน หนึ่งขีดไม่สามารถเขียนคำว่าเป่หมิงออกมาได้ ผมมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง และก็ยังมีความเป็นห่วงแบบที่อาพูดมาเหมือนกัน กาลเวลานั้นมักจะบีบให้คนคนหนึ่งเติบโตขึ้น เรื่องราวที่อาทำทั้งหมดตั้งแต่ออกจากบริษัทเป่หมิงมาจนถึงตอนนี้ ผมล้วนมองเห็นหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะทำอะไรเพื่ออาบ้าง”
เป่หมิงยี่เฟิงพูดอย่างจริงใจมาก มองออกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนออกมาจากใจจริงของเขา
จากบนตัวของเขาเป่หมิงโม่ก็เหมือนจะเห็นเงาเมื่อก่อนของตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่ว่า สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกชื่นใจคือ ตัวเขาในตอนนี้นั้นมีน้ำใจมากกว่าตัวเองเมื่อหลายปีก่อนเยอะเลย
พอคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มอ่อน ๆ ให้เป่หมิงยี่เฟิง
อาหลานสองคนของตระกูลเป่หมิงนั่งอยู่ใสร้านกาแฟ ดื่มกาแฟและพูดคุยกันไป ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่พบได้น้อยมากเลยทีเดียว
เป้าหมายที่เป่หมิงยี่เฟิงมาในครั้งนี้ เป่หมิงโม่ก็เข้าใจชัดเจนหมดแล้ว
ความซาบซึ้งมันพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
นี่ก็คือการประคับประคองระหว่างคนในครอบครัว ไม่ว่าตัวเองจะประสบกับสถานการณ์ยังไง อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ที่ข้างหลังยังไงก็ยังมีมือคู่หนึ่ง หรือว่าอีกหลาย ๆ คู่มาประคับประคองตัวเองไว้
“บริษัทเป่หมิงได้หลอมรวมเลือดเนื้อของคนตระกูลเป่หมิงไว้เยอะมาก ในฐานะของคนที่เคยผ่านมา ฉันขอเตือนนายว่า อย่าเอาความสนใจไปสนใจกับเรื่องอื่น ๆ มากเกินไป สำหรับทางฉันนี้ นายวางใจเถอะ จะเป็นคนที่แกร่งกล้า ก็จะต้องมีใจที่กล้าแกร่งดวงหนึ่งก่อน” พูดแล้ว เป่หมิงโม่ก็กำหมัดทุบลงที่หน้าอกตัวเองหลายที
แผลงอกโดนทุบจนเป็นเสียงขรึมดัง “ตุ๊บ ตุ๊บ……”
เสียงขรึมหนักหน่วง แต่ว่ามีพลังมากมาย
“ที่ตรงนี้ของฉันแข็งแกร่งเพียงพอ ใครตีก็ไม่ล้ม” เป่หมิงโม่พูดไป บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มเชื่อมั่นในตัวเองสุด ๆ ออกมาด้วย
พอมองเห็นอย่างนี้ เป่หมิงยี่เฟิงก็ยิ้มตามไปด้วย “สมแล้วที่อารองเป็นไอดอลของผมมาตั้งแต่เด็ก”
“ฉันเนี่ยนะ เป็นไอดอลของนาย” เป่หมิงโม่ฟังมาถึงตรงนี้รู้สึกแปลกใจขึ้นเล็กน้อย “หลายปีมานี้ นายไม่ได้สู้กับฉันซึ่ง ๆ หน้าน้อยไปเลยนะ หาเรื่องยุ่งยากมาให้ฉัน ทำไมมองไม่ออกสักนิดเลยว่านายนับถือฉัน”
เป่หมิงยี่เฟิงยักคิ้วของตัวเองอย่างเขินอาย จากนั้นก็หยิบช้อนเล็กขึ้นมาคนกาแฟที่ดื่มไปกว่าครึ่งแล้ว “เรื่องของเมื่อก่อนอย่าเอ่ยถึงเลย มันผ่านไปหมดแล้ว”
ฟังออกได้ว่า เขามีเรื่องเก็บไว้ในใจไม่อยากจะพูดออกมา
เป่หมิงโม่ดื่มกาแฟที่เหลือนิดหน่อยของตัวเองจนหมดทีเดียว จากนั้นก็เทให้ตัวเองและเป่หมิงยี่เฟิงจนเต็มแก้ว “นายไม่พูดฉันก็รู้อยู่ดี สำหรับผู้ชายคนหนึ่งมาพูดแล้ว ความแค้นที่ฆ่าพ่อ กับความเกลียดที่แย่งเมียนั้นจะอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันไม่ได้ เรื่องอดีตระหว่างนายกับกู้ฮอน ฉันก็พอรู้มาบ้าง พูดตามตรง ในใจของฉันก็รู้สึกผิดต่อนายอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ว่า……”
เขาพูดมาถึงตรงนี้ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอามือไปจับที่กระเป๋าเสื้อขึ้นมา
เป่หมิงยี่เฟิงเห็นก็รีบหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าตัวเองหนึ่งซอง แล้วเอาออกมาจากในซองหนึ่งม้วนยื่นไปให้
เป่หมิงโม่มองดู จากนั้นก็ยื่นมือไปรับมา เอามาไว้ใต้จมูกตัวเองแล้วดมมันเบา ๆ แต่ว่ากลับไม่ได้คาบมันไว้ในปาก
จากนั้นเป่หมิงยี่เฟิงก็เอาไฟแช็กยื่นเข้าไปใกล้
“ขอบใจ แต่ฉันเลิกสูบบุหรี่แล้ว” เป่หมิงโม่พูดขึ้น แล้วเอาบุหรี่ม้วนนั้นคืนให้เขา
คราวนี้กลับเป็นเป่หมิงยี่เฟิงรับกลับมา แล้วจุดไฟให้กับตัวเอง
ต่อจากนั้น ควันบุหรี่จาง ๆ ก็ถูกพ่นออกมาจากจมูกของเขา
“คุณผู้ชาย ที่นี่เราห้ามสูบบุหรี่นะ”
ผ่านไปไม่นาน พนักงานบริการคนหนึ่งของร้านกาแฟก็มายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของพวกเขา
“ขอโทษครับ” เป่หมิงยี่เฟิงพยักหน้าแสดงความขอโทษ จากนั้นก็เอาบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปคำเดียวทิ้งลงบนถาดอาหารที่อยู่ในมือของพนักงานบริการ
เป่หมิงโม่นั้นดูออก ว่าพอตอนที่หัวข้อสนทนาพูดมาถึงกู้ฮอน ก็เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเป่หมิงยี่เฟิงนั้นสั่นไหว
พอเห็นพนักงานบริการเดินไปแล้ว เป่หมิงยี่เฟิงก็เปิดปากพูดอีกครั้ง “อารอง พูดตามจริง ตอนนั้นตอนที่รู้ว่ากู้ฮอนคลอดลูกให้อานั้น ผมรู้สึกว่ามีความโกรธเกลียดในแบบที่พูดไม่ออก และนี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่ผมต่อสู้กับอา เพียงแต่ว่าเมื่อเวลานานไป ผมก็มีความคิดเห็นอื่นกับอาแล้ว ที่จริงคือยิ่งถึงตอนหลังก็ยิ่งรู้สึกว่าอากับเธอเหมาะสมกันมากกว่าผมกับเธอซะอีก เวลาและสถานที่ที่ผิดแต่กลับเจอคนที่ถูก นี่คือความคิดเห็นที่ผมมีต่อพวกคุณ”
“นายแน่ใจนะว่าสิ่งที่พูดมาเมื่อกี้ไม่ได้ฝืนใจ?” ดวงตาของเป่หมิงโม่จดจ้องเขาไว้ เหมือนกับว่าอยากจะอ่านความคิดที่แท้จริงจากปฏิกิริยาของเขา
ฝืนใจหรือว่าไม่ฝืนใจนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นขั้นตอนหนึ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นเท่านั้น
ระยะสั้นก็คงไม่กี่วินาที ระยะยาวก็อาจจะหลายชั่วโมง หลายวัน หลายเดือน หรือกระทั่งหลายปี…….
เป่หมิงยี่เฟิงนั้นได้ผ่านขั้นตอนนี้มาอย่างยาวนานแล้ว
ดีที่ตัวเองนั้นได้ก้าวออกมาได้อย่างแท้จริงแล้ว
นี่ถือว่าเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานจริง ๆ
จากที่ไม่เห็นด้วย จนมาถึงการเผชิญหน้ากับความจริง และมาถึงวันนี้ที่ตัวเองสามารถเผชิญหน้ากับพวกเขาได้อย่างแท้จริง
“อารอง ถ้าหากอายังจะถามต่อไปอย่างนี้อีกละก็ รับประกันได้ยากว่าผมจะเสียดายไหม เหอ เหอ” เป่หมิงยี่เฟิงยิ้มขึ้น เขาได้วางใจลงอย่างแท้จริงแล้ว “ตอนนี้ผมเป็นคนเสนอคำเชิญให้อา จะกลับไปบริษัทเป่หมิงไหมครับ ถึงแม้ว่าตำแหน่งประทานอาคงนั่งไม่ได้แล้ว แต่นอกเหนือจากนั้นตำแหน่งอื่น ๆ แล้วแต่อาจะเลือกเลย ผมกำลังเตรียมจะขยายกิจการให้ใหญ่โตขึ้น และก็ต้องการคนมาช่วยจริง ๆ อาก็รู้ ความสามารถของพ่อผมนั้นมีจำกัด ส่วนอาสามก็ไม่ยอมมาแทรกแซงเรื่องพวกนี้ ผมตัวคนเดียวมันยุ่งไม่ไหวจริง ๆ”
หลังจากที่เป่หมิงโม่ขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้ว ก็พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ถ้าหากนายแค่ทำเพื่อความหวังดีแล้วละก็ ฉันไม่มีทางตกลงหรอก แต่ถ้านายแน่ใจว่าที่เชิญฉันเพราะว่าต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ แล้วละก็ ฉันยินดี”
เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ ที่ไม่ต้องการรับความเห็นใจที่คนอื่นมีต่อตัวเอง ถึงแม้จะเป็นนิดเดียวก็ไม่ต้องการ นี่เป็นสันดานที่เขาแก้ไขไม่ได้แล้วจริง ๆ
แต่ว่าสิ่งที่เขาเปลี่ยนแปลงไปแล้วคือ การหลอมรวม