เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1122 ครอบครัวเดียวกันอย่างแท้จริง
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1122 ครอบครัวเดียวกันอย่างแท้จริง
บทที่ 1122 ครอบครัวเดียวกันอย่างแท้จริง
ความรู้สึกเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้เขานึกย้อนไปถึงวัยเด็ก ฉากแบบนี้ดูเหมือนจะเคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จดจำได้ในตอนนั้นกลับไม่ใช่รอยยิ้มจางๆของพ่อหรือแม่ แต่เป็นรอยฝ่ามือที่ร้อนผ่าวอยู่บนแก้มเล็กๆของตนเอง
เป็นเพราะเหตุนี้ ชีวิตตั้งแต่นั้นมาจึงอยู่ในความโศกเศร้าตลอดเวลา จนกระทั่งการปรากฏตัวของเธอ ความโศกเศร้านั้นก็ค่อย ๆหายไป
โน้มตัวลง หยิบชิ้นส่วนหนึ่งคลี่ออกพันไว้รอบร่างกายของกู้ฮอนและจิ่วจิ่ว
“ขอบคุณ คุณก็รีบสวมเถอะ” กู้ฮอนเหลือบไปมองเขา “ดูแลพวกเขาสามคนฉันเหนื่อยพออยู่แล้ว คุณก็อย่ามาเพิ่มความวุ่นวายให้กับฉันอีก”
เป่หมิงโม่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำ เอาผ้าห่มอีกผืนหนึ่ง จากนั้นก้มหน้ามองลงไปที่ลูกชายสองคน “มองฉันทำไม ยังไม่มาอีก ตัวเล็กอย่างพวกนาย ก่อเรื่องให้น้อยลงหน่อยให้แม่ของนายได้ผ่อนคลายบ้าง”
พูดจบ และนั่งยองลงไป ยื่นผ้าห่มให้เฉิงเฉิง จากนั้นมือแต่ละข้างก็จับตัวลูกชายทั้งสองไว้แน่นและค่อยๆลุกขึ้นยืน
เฉิงเฉิงขยิบตาให้หยางหยาง เด็กทั้งสองก็คลี่ผ้าห่ม ที่พ่อได้ห่อตนเองเอาไว้
ภายใต้แสงจันทร์ นั่นคือครอบครัวที่แท้จริง
*
เช่นเดียวกัน ในวิลล่าแห่งนั้น ยังมีคนชราอยู่คู่หนึ่ง พวกเขากำลังมองตนเองอยู่ไม่ไกล พร้อมกับใบหน้าที่เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ปลาบปลื้มใจ
ในฐานะคนชรา ทำไมจะไม่อยากเห็นภาพที่มีความสุขแบบนี้ล่ะ ครอบครัวสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“จิ่งเฉิง คุณว่าในครั้งนี้พวกเด็กๆจะอยู่ด้วยกันได้ไหม” หางตาของหวีหรูเจี๋ยที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ ได้หลั่งน้ำตาออก
โม้จิ่งเฉิงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมา แล้วค่อยๆเช็ดมันออก “ลูกหลานก็มีทางรอดของเขาเอง พวกเขาไม่ใช่เด็กแล้ว อีกทั้งยังมีลูกเป็นของตัวเอง ผมคิดว่าพวกเขาคงเข้าใจแล้วว่าใครสักคนมาอยู่บนโลกใบนี้ อะไรที่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของตนเอง ก็จะต้องเป็นที่หวงแหนยิ่งขึ้น ปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระเถอะ”
พูดจบ เขาจึงสวมกอดหวีหรูเจี๋ยและหันหลังออกจากหน้าต่าง
ภายใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางหมู่ดาวที่ส่องแสง ชายหญิงและเด็กสามคน ก็ยืนอยู่ที่นั่น มองดูเมืองที่อยู่ข้างล่าง
กู้ฮอนกำลังอุ้มจิ่วจิ่วอยู่ ร่างกายก็อยู่ติดกับข้างกายของเป่หมิงโม่และลูกชายทั้งสองคน
หลังจากผ่านค่ำคืนที่เงียบงันไป ขอบฟ้าอันไกลโพ้นในที่สุดก็ส่องแสงสว่างขึ้นมา
พระอาทิตย์สีแดงรอบใหม่เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ
สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งแล้วนี่เป็นเช้าที่ปกติทั่ว ๆไป
คนที่พักผ่อน หรือบันเทิงมาตลอดทั้งคืน ละทิ้งความเหนื่อยล้าและเริ่มต้นทำอะไรในชีวิตประจำวันของวันใหม่
เช้าตรู่ ขณะที่ฉิงฮัวกำลังจะเตรียมขับรถพาลั่วเฉียวและลูกไปหาพ่อแม่ของเธอที่นั่น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
“จริงๆเลย วันเสาร์แล้วจะมีเรื่องด่วนอะไรอีกจะไม่ปล่อยให้คนได้พักผ่อนในวันหยุดอย่างมีความสุขเลยหรือไง ตอนแรกเป่หมิงเอ้อผู้ชายคนนี้จะพาคุณไปด้วย คิดว่าเขาลาออกจากตำแหน่งแล้ว ก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไรมากมายแล้ว ครั้งนี้เป่หมิงยี่เฟิงผู้ชายคนนี้ได้เรียนรู้จากอาเอ้อของเขาอีกครั้งแล้ว คนในตระกูลของเป่หมิงก็เป็นนายทุนรายใหญ่มาโดยตลอดจริงๆ”
ลั่วเฉียวพูดบ่นขณะที่อุ้มลูกอยู่ในรถ
สำหรับการตำหนิของเธอเกี่ยวกับตระกูลเป่หมิงโม่ ฉิงฮัวสามารถพูดได้เพียงแค่นี้ “ผมเองอยู่กับเจ้านายมาตั้งแต่เด็ก ตระกูลเป่หมิงก็ไม่เคยเห็นว่าผมเป็นคนนอก ชีวิตของพวกเราตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพวกเขาให้มาหรอกหรือ พวกเขามีบุญคุณกับพวกเรา แม้ว่าจะต้องทำงานล่วงเวลาหรือมีธุระอะไรก็ตาม มันก็ยังไม่เท่าไหร่เลย”
พูดจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นสายของเป่หมิงโม่
“พอฉันพูดถึง เป่หมิงเอ้อผู้ชายคนนี้ก็มาเลย” ในใจของฉิงฮัวยังไม่ทันพูดอะไร ก็มีความคิดแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ
“คุณก็พูดให้น้อยหน่อยนะ เจ้านายเรียกหาผมจะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่นอน” ฉิงฮัวพูดจบและรับโทรศัพท์
“วันนี้รบกวนคุณหรือเปล่า” เป่หมิงโม่ในตอนนี้ กำลังอยู่ในชุดนอนตัวเมื่อคืน ยืนอยู่ตรงระเบียงชั้นสอง สายตาของเขามองลงไปยังกลุ่มรีสอร์ตที่อยู่ข้างล่าง
“เปล่าครับ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องการจะสั่งผมหรือเปล่า”
ลั่วเฉียวมองไปยังฉิงฮั่วที่ดูเหมือนทาส ในใจก็โกรธมาก ทำหน้ามุ่ยพลางเหลือบไปมองเขาเป็นครั้งคราว
“ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ถ้านายว่าง ก็มาช่วยฉันจัดซื้อการ์ดเชิญ จะต้องเอาที่ดีที่สุด”
“การ์ดเชิญงั้นหรือ เจ้านาย คุณต้องการให้ผมแจ้งใคร ผมจะได้ไปบอกต่อโดยตรงให้ก็ได้แล้ว ไม่เห็นจำต้องทางการขนาดนี้เลย” ฉิงฮัวรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเป่หมิงโม่ต้องการจะทำอะไร
หลังจากที่เขาออกไปจากตระกูลเป่หมิงแล้วต้องกลับมาอีกครั้ง ทุกอย่างก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกล่าวประชุมหรือจะเป็นงานเลี้ยงอะไรก็ตาม ทุกอย่างที่ดูเรียบง่ายก็ไม่ได้เรียบง่ายอีกต่อไป”
“เรื่องครั้งนี้ จำเป็นจะต้องส่งการ์ดเชิญ และเป็นการ์ดงานแต่ง” เป่หมิงโม่ยังพูดเฉพาะเจาะจงถึงการ์ดงานแต่งอย่างชัดเจน “จำไว้ว่า อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร รวมถึงภรรยาของนายด้วย”
ฉิงฮัวพยักหน้าอย่างจริงจัง “ได้ครับ ได้ครับ คุณวางใจเถอะ” พูดจบ ฉิงฮัวก็วางสายโทรศัพท์
“เจ้านายคุณเอาปัญหาอะไรมาให้คุณอีกล่ะ” บทสนทนาระหว่างพวกเขานั้นลั่วเฉียวซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งด้านข้างของคนขับไม่ได้ยินสักประโยคเดียว
“ไม่มีอะไร ผมจะไปส่งคุณกลับบ้านแม่” ฉิงฮัวพูดจบ ก็สตาร์ทรถ
สำหรับความสามารถของฉิวฮัว เป่หมิงโม่วางใจได้เต็มร้อย หลังจากที่เขาวางสายโทรศัพท์ ตนเองก็ได้เริ่มทำงานต่อไป
ตอนค่ำ ฉิงฮัวขับรถไปยังในรีสอร์ตของปานซานโดยลำพัง
“ลุงหัวฟู คุณไม่ได้มาเล่นกับพวกเรานานแล้ว ทำไมไม่พาน้องชายตัวน้อยมาด้วยล่ะ ป้าเฉียวเฉียวล่ะ” เจ้าเด็กน้อยสามคนมาอยู่ล้อมรอบตัวเขา ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พวกหล่อนไปบ้านคุณยายแล้ว ครั้งหน้าฉันจะให้พวกหล่อนมาเล่นกับพวกเธอดีไหม ตอนนี้ฉันมีบางเรื่องที่จะต้องคุยกับพ่อของเธอ” ฉิงฮัวพูดไปพร้อมกับถือซองเอกสารที่ใส่การ์ดเชิญเอาไว้มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือของเป่หมิงโม่
ขณะที่ฉิงฮัวเดินตามเป่หมิงโม่เข้าไปที่ห้องหนังสือ บังเอิญได้พบกับโม้จิ่งเฉิงที่กำลังประคองหวีหรูเจี๋ยซึ่งกลับมาจากการเดินเล่นข้างนอก
“คุณหญิง คุณโม้คุณชายรองสวัสดีครับ” ฉิงฮัวหยุดฝีเท้าลง และทักทายพวกเขาด้วยความเคารพ
คนชราทั้งสองก็ได้พยักหน้าและส่งยิ้มให้เขา “ฉิงฮัว นายไม่ได้มานานแล้วนะ มาวันนี้มีธุระอะไรหรือ”
“แฮะๆ ก็ไม่ได้มีธุระอะไรอื่นหรอกครับ ก็แค่เรื่องของบริษัทนิดหน่อยที่จำเป็นต้องให้เจ้านายเซ็น” ฉิงฮัวรู้ดีว่าตอนนี้เจ้านายไม่ต้องการที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปก่อน
พูดจบก็รีบเดินตามเข้าไป
จากคำตอบของฉิงฮัว ทำให้คนชราทั้งสองไม่จำเป็นต้องเข้าไปในนั้น
“เจ้านาย คุณหนูกับนายน้อยล่ะ” ฉิงฮัวเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ปิดประตูเสร็จจึงถามออกไป
เป่หมิงโม่โยนซองที่ฉิงฮัวถือมาไว้บนโต๊ะทำงาน “พวกเขาออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว แบบนี้ก็ดี ไม่ต้องคอยหลบซ่อนพวกเขาอีก ต่อไปนายต้องช่วยทำบางสิ่งบางอย่างแทนฉัน……”
ฉิงฮัวเอาหูเข้าไปใกล้ รับฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างตั้งใจ และพร้อมกับพยักหน้า ในตอนท้ายที่สุด เขาพูดด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม “วางใจเถอะครับเจ้านาย ผมจะจัดการให้อย่างถูกต้องเรียบร้อยครับ”
*
หวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ดื่มชาและดูโทรทัศน์ไปด้วย เห็นว่าฉิงฮัวเข้าไปในห้องหนังสือกับเป่หมิงโม่ไม่นานก็ออกมาแล้ว
“ฉิงฮัว นายจะไปแล้วหรือ ไม่ต้องรีบ นั่งลงดื่มน้ำสักหน่อย ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องรีบทำ”
ฉิงฮัวยิ้ม “คุณหญิง ขอบคุณสำหรับน้ำใจของคุณ จริง ๆยังมีเรื่องบางอย่างในมือที่จะต้องรีบไปทำ” พูดจบ เขาก็มุ่งออกไปด้านนอก
ในตอนนี้เป่หมิงโม่ก็ได้เดินออกมา “แม่ของฉันให้นายอยู่นั่งดื่มชา นายก็อยู่ดื่มชายสิ วางเรื่องต่างๆออกไปก่อนไม่เป็นไร”
ในเมื่อเจ้านายพูดมาแบบนี้แล้ว ฉิงฮัวจะบอกปฏิเสธอะไรได้อีก ได้แต่นั่งลงอยู่เป็นเพื่อนคนชราทั้งสอง
เรื่องที่คุยกันระหว่างพวกเขาก็เป็นเรื่องทั่ว ๆไปภายในบ้าน ทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับลั่วเฉียวและลูก สำหรับเรื่องเกี่ยวกับงานนั้น พวกเขาก็หลีกเลี่ยงไปโดยปริยาย
แต่เดิมการพูดคุยกันไม่จำเป็นจะต้องเอาเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากการใช้ชีวิตเข้ามาพัวพัน
กว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมา กู้ฮอนกับพวกเด็ก ๆก็กลับมา
“ลุงหัวฟู!” หยางหยางเห็นฉิงฮัวซึ่งเป็นคนที่สนิทสนมเป็นอย่างมาก วิ่งเหยาะ ๆไปไม่กี่ก้าวก็โผเข้าไปที่อ้อมแขนของเขา “เมื่อไหร่พวกเราจะออกไปเที่ยวกันล่ะ”
“ยังคิดจะเที่ยวอีก เพิ่งจะออกไปเมื่อกี้ยังไม่พออีกเหรอ” กู้ฮอนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เฉิงเฉิงเดินออกไปอยู่ข้างหน้าของฉิงฮัวด้วยท่าทางที่เรียบร้อย และได้ทักทายเขา ความจริงแล้ว เวลาการติดต่อของระหว่างพวกเขาก็ยิ่งยาวนานขึ้น
“ฉิงฮัว วันนี้คุณมาทำอะไรหรือ เจ้านายของคุณเตรียมให้คุณมาแก้ปัญหาอะไรอีกใช่ไหม” กู้ฮอนค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
เป็นเวลานานแล้วที่ระหว่างพวกเขาเจ้านายและลูกน้องไม่ได้เป็นเช่นนี้ เขามักจะมีบางอย่างรู้สึกขึ้นมา เมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ฉิงฮัวจะเป็นเพียงคนปฏิบัติงาน และเป่หมิงโม่คนนี้ ก็เป็นคนที่มีความคิดอะไรแย่ๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังอัดอั้นเรื่องไม่ดีอะไรเอาไว้อีก
แน่นอน ความคิดแบบนี้มันเกิดขึ้นเพราะเธอรู้ความเลวร้ายนั้นของเป่หมิงโม่ บ่อยครั้งที่ล้วนแต่มักจะสะท้อนเข้ามาหาตนเอง
ฉิงฮัวยิ้มอย่างเขินอาย “คุณหนู คุณพูดอะไรอย่างนั้น ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยของบริษัท ตอนนี้ได้จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ฉันไม่เชื่อหรอก หากเป็นเรื่องเล็กน้อยจะต้องให้คุณวิ่งมาคุยกับเขาต่อหน้าหรือ แค่คุยทางโทรศัพท์ก็แก้ได้แล้ว……”
“ฮอน ไม่ต้องไปซักไซ้ให้มากแล้ว อย่าไปทำให้ฉิงฮัวเขาต้องลำบากใจเลย” โม้จิ่งเฉิงมักจะรับบทเป็นคนผู้แสนดีเสมอ เขารู้จักอารมณ์ของลูกสาวบุญธรรมของตนเองเป็นอย่างดี
***
ถึงแม้ว่าจะมีพ่อบุญธรรมที่คอยรับแทนฉิงฮัวและเป่หมิงโม่ให้จบลงด้วยดี แต่กู้ฮอนก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจนัก
จริงๆในความคิดของเธอทั้งหมดก็ทำไปเพื่อลั่วเฉียว เธอรู้ดีว่าเป่หมิงโม่คนนี้สามารถที่จะก่อเรื่องที่ไม่ดีขึ้นมาได้มากมาย
ฉิงฮัวก็เป็นอีกคนที่เชื่อฟังคำพูดของเขา เธอไม่ต้องการให้ปล่อยลั่วเฉียวอยู่กับลูกเพียงคนเดียว วันเวลาแบบนี้เป็นอะไรที่ลำบากมาก ตอนแรกที่ตนเองพาหยางหยางไปต่างประเทศคนเดียวที่ ช่วงเวลานั้นล้วนแต่ไม่อยากจะคิดถึงมันอีก
ฉิงฮัวไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปอีก เรื่องที่เจ้านายได้มอบหมายให้ตนเองนั้นยังต้องรีบจัดการ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ตนเองต้องมาถูกกักไว้ระหว่างเจ้านายและคุณหนู ความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นอะไรที่ทนไม่ไหวจริงๆ
ในที่สุดเขาก็ยกเอาลั่วเฉียวขึ้นมาอ้าง และจากไปในไม่ช้า
หลังจากฉิงฮัวออกไป กู้ฮอนก็ยังไม่เลิกราเพียงแค่นั้น และยังพูดต่อหน้าคนชราและพวกเด็กๆ “เป่หมิงโม่ ฉันจะเตือนคุณนะอย่าเดินกลับไปเส้นทางเดิมก่อนหน้านี้อีก ทำให้สามีภรรยาจะต้องอยู่ด้วยกันน้อยลง อีกทั้งลูกของพวกเขาก็ยังเล็กมาก……”
“อะไรกัน คุณจะจินตนาการถึงผมแบบนี้เลยหรือ วางใจเถอะ ผมก็แค่จัดเตรียมบางอย่างที่เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก แล้วเขาก็ไม่ต้องเหนื่อยด้วย” พูดจบเป่หมิงโม่ก็จงใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้กู้ฮอน “ดูดี ๆสิ จริง ๆแล้วผมก็ไม่ได้ดูชั่วร้ายขนาดนั้นนิ”
หวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิงที่กำลังดูอยู่ด้านข้างอดกลั้นไว้ไม่ให้หัวเราะออกมา
เจ้าเด็กสองคนนี้ยิ่งดูยิ่งเข้ากันได้ หากว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงจะวุ่นวายอลหม่านแล้ว