เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1126 เพื่อนน้อยจริงๆ
บทที่ 1126 เพื่อนน้อยจริงๆ
ถ้าจะให้นับ คนที่ไปมาหาสู่กับพวกเขาต่างแต่งงานกันไปหมดแล้ว แม้แต่หยินปู้ฝันก็มีสาวแต่งเข้าแล้ว ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังมีใครอีกบ้าง
“โม่ หรือว่าคนที่ชื่อชูหยุนเฟิงจะแต่งงานเหรอ?” นอกจากเขา โม้จิ่งเฉิงก็ไม่รู้ว่าจะมีใครแล้ว
เพื่อนของเป่หมิงโม่นั้นน้อยจริงๆ น้อยจนนับนิ้วได้
“มันจะแต่งงาน? บางทีคงต้องรอให้ลูกของป่ายมู่ซีโตจนบวชก่อน มันถึงจะมีความคืบหน้า” เป่หมิงโม่คือคนที่รู้จักสไตล์ของเพื่อนตัวเองดีที่สุด
คนนึงก็หลงหัวปักหัวปำ ส่วนอีกคนก็ปากเจ้าชู้แต่รักเดียวใจเดียว อีกอย่างยังเหมือนกับว่ายังพยายามจะครองตัวเป็นโสดจนถึงที่สุด
*
“สวัสดีคุณเป่หมิง พอได้ยินว่าวันนี้คุณจะมา พวกเราก็เตรียมตัวต้อนรับคุณและครอบครัวของคุณเป็นอย่างดี” พนักงานหลายคน กล่าวต้อนรับอย่างมีมารยาทและโค้งนับ
สำหรับพวกเขา นี่คือแขกที่พวกเขาเคารพที่สุด เป็นแขกระดับพรีเมี่ยม
แต่ว่า สำหรับการเตรียมการนี้หวีหรูเจี๋ยจะไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่: “โม่ จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เหรอ? พวกเขาก็ต้องไปต้อนรับคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ต้อนรับแต่พวกเรานะ”
พนักงานที่คอยต้อนรับพวกเขาโดยเฉพาะเดินนำทางไป เป่หมิงโม่เดินตามอย่างสง่างามและสุขุม แล้วพูดกับคนเป็นแม่: “ไม่ต้องเป็นกังวลแทนเขาหรอกครับ ที่มาที่นี่ก็เพราะว่าที่นี่เราสามารถเลือกซื้อผ้าได้อย่างสบายใจ”
“ใช่แล้วค่ะคุณนาย ท่านวางใจเถอะค่ะ คุณเป่หมิงเป็นแขกคนสำคัญของเรา ที่ได้บริการครอบครัวของท่าน ก็เป็นเกียรติของร้านเราแล้วค่ะ” พนักงานที่นำด้านหน้าเดินพลางพูด
ผู้ใหญ่สามเด็กสามคน พนักงานที่ดูแลแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม เสื้อผ้าที่คัดสรรมาตามแบบที่ต้องการแล้ว พวกเขาแค่ต้องลองดูว่าตัวไหนจะใส่ได้พอดีก็พอแล้ว
สไตล์จีน สไตล์ฝรั่งมีทั้งนั้น มันทำให้เลือกยากจริงๆ
เพื่อครอบครัวนี้ พวกเขาก็ต้องใช้ความพยายามพอตัว
หวีหรูเจี๋ยมองเสื้อผ้า พลางเป็นกังวลเล็กน้อย แต่ทะว่าโม้จิ่งเฉิงมองเธอออก: “หรูเจี๋ย ผ่อนคลายหน่อย” เขาพูดพลาง หยิบชุดกี่เพ้าสีทองให้เธอ: “ฉันว่าเธอใส่ชุดนี้คงเหมาะดี”
ถึงแม้ทั้งชีวิตนี้ของหวีหรูเจี๋ย ที่ผ่านมายี่สิบกว่าปีจะยากลำบาก แต่หลังจากนั้นสิบกว่าปีก็ถือว่ามีกินมีใช้ เรื่องอะไรก็เจอมาแล้ว แต่ว่าความคิดของเธอนั้นค่อนข้างเรียบง่าย ไม่เหมือนกับเจียงฮุ่ยซินที่ประสบความสำเร็จ
เธอเห็น ก็โบกมือปัด: “ชุดนี้จะได้ยังไงล่ะ ฉันอายุปูนนี้แล้ว ถ้าใส่คนอื่นคงหัวเราะเยาะตาย……”
เป่หมิงโม่รับชุดมาดู จากนั้นก็ยื่นไปเทียบกับร่างของแม่: “ผมที่ว่าชุดนี้ก็ไม่เลว แม่ลองใส่ดูก็ได้”
ผู้ชายทั้งสองต่างตัดสินใจว่าเป็นชุดนี้แล้ว แบบนี้หวีหรูเจี๋ยก็ยากที่จะปฏิเสธ จึงทำได้แค่ตามพนักงานไปลองชุด
หวีหรูเจี๋ยออกไปแล้ว ก็เหลือแค่โม้จิ่งเฉิงกับเป่หมิงโม่
ถึงแม้ว่าระหว่างพวกเขาจะไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบังกัน
“โม่ นายพาพวกเรามานี่ ทำซะอลังการแบบนี้ คงไม่ใช่แค่เพื่อไปร่วมงานแต่งคนอื่นหรอกนะ? อีกอย่างที่กู้ฮอนไม่ได้มาด้วยกัน ฉันมองออกว่านายเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย”
เป่หมิงโม่ยิ้มเจื่อนๆ : “เห็นที่ตอนนี้ผมคงปิดอะไรลุงได้ไม่มิดแล้ว ที่กู้ฮอนไม่มาผมแค่รู้สึกว่าขาดเธอไปแล้วรู้สึกผิด แต่ว่าที่เธอไม่มาผมก็คาดไว้แล้ว แบบนี้ก็ลดปัญญาลงไปได้ ถึงตอนนั้นแค่เธอเข้าร่วมพิธีก็โอเคแล้วครับ”
เป่หมิงโม่โดนโม้จิ่งเฉิงมองออกจนถึงไส้ถึงพุง เขาก็ไม่ต้องเสแสร้งอะไรอีกแล้ว เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้: “ลุงโม้ ลุงก็รู้ว่าผมกับกู้ฮอน……”
โม้จิ่งเฉิงยิ้มแล้วตบไปที่บ่าของเขา: “มีอยู่หลายเรื่อง ที่ต้องพยายามเข้าหาก่อนไม่ใช่เหรอ เธอก็ไม่ใช่คนที่ดื้อด้านอะไรขนาดนั้น นั้นก็เป็นเพราะหลังจากที่ต้องเผชิญความยากลำบาก มาหลายปี ถึงจะเป็นตัวเธอในวันนี้ได้ นายก็ต้องเตรียมไหล่ของนายไว้ให้เธอพักพิงและซบนะ”
เป่หมิงโม่พยักหน้า สำหรับความคิดของเขา เป่หมิงโม่นั้นเห็นด้วยสุดๆ
*
กู้ฮอนยุ่งมาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็ได้พักผ่อน โดยเฉพาะวันนี้ เป่หมิงโม่เป็นคนเอ่ยปากจะพาลูกๆ ออกไปเที่ยวด้วยตัวเอง
ในบ้านไม่มีใครเลย จึงสามารถนอนหลับสบายๆ ได้ อาบน้ำเสร็จแล้ว
นี่ถึงจะเป็นชีวิตที่สบาย
ตอนกลางวัน พวกเขาไม่ได้กลับบ้าน แม้แต่โทรศัพท์ซักสายก็ไม่ได้โทรมา
“เป่หมิงเอ้อคนนี้ พาลูกออกไปเล่นจนบ้าไปแล้วใช่มั้ย” เธอมองไปที่นาฬิกา มันเป็นเวลากินข้าวแล้ว
ต่อมาเธอก็นึกขึ้นมาได้ทันที ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านนั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ร่างกายของพวกท่านสามารถรับอะไรแบบนี้ได้มั้ย
พวกเขาถึงกับไม่โทรกลับมาเลยซักสาย งั้นตัวเองก็คงไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้กังวลแล้ว
ทำอะไรกินเองง่ายๆ หลังจากจัดการกับเรื่องท้องแล้ว ก็พลิกหนังสือสองสามเล่มอ่าน เมื่อเวลาผ่านไปนาน เธอก็รู้รู้สึกถึงความเบื่อ
จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า นานแล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยมลั่วเฉียวกับลูกๆ เลย
พวกเขาก็พักอยู่ไม่ไกล
ยุ่งจนอะไรก็ลืมไปหมดจริงๆ
*
ไม่กี่วันมานี้ฉิงฮัวก็ยุ่งๆ อยู่กับอะไรไม่รู้ ลั่วเฉียวอุ้มลูกแล้วจ้องเขาตาเขม็ง ถามอะไรเขา เขาก็ไม่ปริปากพูดสักคำ
ฉิงฮัวคนนี้น่าเบื่อมาก ลั่วเฉียวอยากจะหาเรื่องคุยกับเขาก็ต้องใช้ความพยายามมากๆ
เธอลูบหัวลูกขอเธออย่างเบามือ เธอทำได้แค่บ่นให้ลูกของเธอที่ยังพูดไม่ได้ฟัง
“ลูกรัก หนูดูพ่อหนูสิ ยุ่งจนลืมเราสองแม่ลูกแล้ว”
เจ้าตัวน้อยราวกับฟังคนเป็นแม่รู้เรื่อง พูดไปพูดมาเบ้าตาก็เริ่มชื้นและก็ร้องโฮออกมาในที่สุด
ขณะนั้น ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น
ลั่วเฉียวก็ยังคงอุ้มเด็กร้องไห้ไปเปิดประตูทั้งอย่างนั้น
แค่เห็นกู้ฮอนยืนอยู่ที่หน้าประตู เธอราวกับเห็นแม่พระมาโปรด ความโศกเศร้าบนใบหน้าก็ได้จางหายไป
“เฉียวเฉียว ลูกร้องแล้วทำไมไม่โอ๋ล่ะ” กู้ฮอนเห็นแบบนี้ก็ตกใจ เธอคิดไม่ถึงว่าจะมาต้อนรับเธอโดยสภาพแบบนี้
ทั้งสองมาที่ห้องนั่งเล่น: “เฉียวเฉียว สีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนะ ลูกทำเอาเหนื่อยเหรอ?”
ลั่วเฉียวโอ๋ลูก พลางถอนหายใจ: “นั่นมันก็เหนื่อยนะ แล้วก็เหนื่อยเพราะพ่อของลูก……”
กู้ฮอนได้ฟัง ก็เหมือนจะจับใจความผิด เธอยิ้มอ่อนให้ลั่วเฉียว: “แหม ทำไมไม้ท่อนนั้นไม่ยอมให้เธอได้พักผ่อนเหรอจ๊ะ ถึงแม้จะเป็นภรรยาของตัวเอง แต่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ หรือว่าเธอให้เขากินของดีเกินไป”
ลั่วเฉียวได้ยิน หน้าก็แดงก่ำ แล้วรีบแก้ตัว: “กู้ฮอน เธออยู่กับเป่หมิงเอ้อคนนั้นนานไป ความคดเธอก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนซะแล้วเหรอ? นั่นเป็นเพราะเขานอนหลับไม่พอ และก็ยุ่งๆ ทั้งวัน ไม่มีเวลาแม้แต่จะคุยกันเลยต่างหาก”
ความโกรธที่ลั่วเฉียวมีต่อฉิงฮัว กู้ฮอนเธอจะไม่เข้าใจได้ยังไง ในบางครั้งเธอก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ผู้หญิงเลี้ยงลูกตัวคนเดียว ไม่ต้องพูดเลยว่าเด็กซนหรือว่าผลาญแรงคนได้ขนาดไหน
ความว่างเปล่าในหัวใจนั้นมันก็มีอยู่ อยู่ที่จะมากจะน้อยแค่ไหน
ลั่วเฉียวกับตัวเธอที่จริงแล้วต่างกันมาก เพราะว่าเธอไม่ใช่คนที่เก็บเรื่องทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง
เพราะงั้นโดนเมินมันยิ่งทำให้รู้สึกแย่ขึ้นไปอีก
แต่ว่าพอมานึกถึงว่าฉิงฮัวทำอะไรลับๆ ล่อๆ ทั้งวัน ก็รู้สึกผิดกับลั่วเฉียว: “เฉียวเฉียว ที่จริงที่ฉิงฮัวยุ่งๆ ก็เพราะว่าเป่หมิงโม่ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไร”
“ไม่เป็นไร ตอนที่ฉันเพิ่งรู้จักเขาก็เป็นแบบนี้ ชินตั้งนานแล้ว แต่แค่เห็นเขา ก็รู้สึกปวดใจนิดๆ” ลั่วเฉียวพูด แต่กู้ฮอนก็มองออกว่าเธอกำลังพยายามฝืนยิ้มต่อหน้าเธอ
*
เมื่อพวกเป่หมิงโม่และผู้ใหญ่กับลูกๆ กลับมาถึงบ้าน ก็ใกล้จะเป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว
“พ่อฮะดูนี่……”
เมื่อมองไปทางที่นิ้วหยางหยางชี้ ก็เห็นว่าบ้านปานซานไม่ได้เปิดไฟสักกระดวง
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ตามหลักมันก็ควรจะเป็นเวลาเปิดไฟแล้ว
“ทำไมแม่ไม่อยู่บ้าน? แม่ไม่ได้พักผ่อนอยู่บ้านหรอกเหรอ?” เฉิงเฉิงก็รู้สึกได้ถึงความแปลก
“คงไม่ใช่ว่าแม่ฉวยโอกาสตอนเราไม่อยู่ แอบออกไปเดทหรอกนะ”
。。。。。。
หยางหยางเด็กปากเสีย ที่จริงมันไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่ก็พูดให้มันมีอะไร
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ และแน่นอนว่ามันคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ทุกคนต่างรู้ดี ที่เขาพูดมาหลายครั้งที่ทำเป็นว่าเขาแค่ตดออกมา
แต่เป่หมิงโม่ดันเป็น ‘คนคิดเล็กคิดน้อย’ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เขาก็จะเก็บไปใส่ใจ
แน่นอน ว่าเป็นแค่เรื่องที่เกี่ยวกับกู้ฮอนเท่านั้นที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
นี่มันก็ชัดเจนมากกว่าเธออยู่ระดับไหนในใจเขา
“พี่หยางหยาง หม่ามี๊ไม่ออกไปเดทหรอก ถ้าหากพี่ไม่ขอโทษละก็ อีกแป๊บนึงพอเจอหม่ามี๊หนูจะเอาไปฟ้องหม่ามี๊”
ทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็ออกตัวปกป้องรักษาหน้าให้คนเป็นแม่
แน่นอนว่า นอกจากเธอ หวีหรูเจี๋ยก็เอ็ด หลานที่ทำให้คนอื่นปวดหัวอยู่บ่อยๆ : “หยางหยาง ต่อไปนี้อย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยนะ ถึงแม้แม่จะออกไปข้างนอก แต่ก็ไม่ได้ออกไปเดทนะ แม่ต้องมีเรื่องอื่นที่ต้องทำแน่ๆ รู้มั้ย”
พูดพลางส่งสายตาไปให้เขา แล้วมองไปทางเป่หมิงโม่ ความหมายก็คือ พูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าพ่อให้มันน้อยๆ หน่อย
หยางหยางคนนี้ความสามารถในการรับรู้สถานการณ์เป็นเลิศ เมื่อตัวเองตกเป็นเป้าหมาย จะไปต่อได้ยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเห็นว่า สีหน้าของคนเป็นพ่อเปลี่ยนไป แบบไม่อยากจะได้ยินคำนี้
“ฮี่ๆ พวกนี้คิดกันไปถึงไหนเหนี่ย คุณแม่ออกไปเดทจำเป็นต้องไปกับคุณลุงเหรอ? ผมไม่ได้พูดผิด แต่เป็นเพราะพวกคุณๆ คิดลึกไปต่างหาก”
คำแก้ตัวแบบนี้มันแถจริงๆ ฟังได้ไม่รื่นหูนัก
แต่ว่าเมื่อเป่หมิงโม่ได้ยินคำอธิบายแบบนี้ สีหน้าก็เหมือนจะให้อภัยและยอมรับได้ ตอนนี้เขาไม่อยากฟังใครพูดถึงกู้ฮอนในทางที่ไม่ดีทั้งนั้น
*
เปิดประตูมา ในห้องนั่งเล่นก็ยังคงมืดอยู่ และก็ไม่มีแม้แต่เสียงอะไรเลย มันเงียบมากๆ
“บางทีคุณแม่อาจจะยังไม่ตื่น……” เฉิงเฉิงพูดพลางส่งสายตาให้หยางหยางกับจิ่วจิ่ว: “พวกเราไปเรียกแม่ลงมากันเถอะ”
เฉิงเฉิงพูดจบ ก็ลากหยางหยางกับจิ่วจิ่ววิ่งขึ้นชั้นบนไป
แน่นอนว่าก็รู้ดี
“หม่ามี๊ไปไหนนะ? ดึกแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน?”
“ฮี่ๆ พวกนายเห็นแล้วใช่มั้ย คุณแม่แอบออกจากบ้านลับหลังพวกเรา จนตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย ถ้าไม่ใช่เดทแล้วจะเป็นอะไร เมื่อก่อนแม่ก็เคยออกไปกับพ่อปู้ฝันไม่ใช่เหรอ?” หยางหยางมองดูพลางเคาะประตูแต่ก็ไม่มีใครเปิด ร่างเล็กพิงลงไปที่ผนัง