เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1140 อย่างนั้นก็พลิกแพลงตามสถานการณ์ก็แล้วกัน
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1140 อย่างนั้นก็พลิกแพลงตามสถานการณ์ก็แล้วกัน
บทที่ 1140 อย่างนั้นก็พลิกแพลงตามสถานการณ์ก็แล้วกัน
เพียงแต่เคราะห์ดีที่ผู้ที่มาในตอนนี้ล้วนเป็นเพื่อน นี่ก็ไม่ได้ขัดกับความตั้งใจเดิมของตัวเอง
ในเมื่อคนก็มาแล้ว ถ้าหากไม่ให้พวกเขาทำอะไรสักหน่อย ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สไตล์ของเป่หมิงโม่
เรียกใช้ผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่เขาชำนาญมากที่สุด
อย่างนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว ใครใช้ให้เจ้าพวกนี้ล้วนเป็นพวกโยนตัวเองเข้ามาในแหกัน
เมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เป่หมิงโม่ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที “ในเมื่อพวกคุณมาเพราะกู้ฮอน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทของเธอด้วย…….” เขาพูดแล้วตาก็มองไปที่มือของลั่วเฉียวและแอนนิ
ไม่ต้องพูดเลยว่า ไม่มีสักคนที่มือเปล่า
“เป่หมิงโม่ คุณคิดจะทำอะไรพิเรนทร์ๆอีกกัน” ลั่วเฉียวมองเขาอย่างระแวดระวังเล็กน้อย คล้ายกับรู้สึกถึงเจตนาไม่ดีของเจ้าหมอนี่
เธอพูด พลางกระชับลูกน้อยที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนแน่นขึ้น เหมือนกับกลัวว่าเขาจะถูกแย่งไป
ยากนักที่เป่หมิงโม่จะพุ่งเป้ามาที่พวกเธอ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
ลั่วเฉียวเห็นท่าทางของเขาแล้ว ก็สาบานเลยว่า นี่จะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้กระดูกสันหลังของตัวเองหนาวเหน็บมากที่สุดในชีวิตนี้…….
*
ในเสี้ยววินาทีนั้นกู้ฮอนก็คล้ายกับไม่รู้ว่าตัวเองจะเลือกอย่างไร
แม้ว่าเธอจะเคยมีความคิดแบบนี้มาตั้งนานแล้วก็ตาม
เพียงแต่ว่าในตอนนั้น บทสรุปที่ให้กับตัวเองก็คือ จะเป็นไปได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่อาจจะทำให้ตัวเองกับเขาได้อยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน…….
แต่ว่าในวันนี้ เหมือนกับความฝันตื่นหนึ่ง ความจริงวางอยู่เบื้องหน้า ทั้งยังจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
“ฮอน ป้ารู้ว่าสิ่งที่โม่ทำในวันนี้ ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง หรือไม่ ป้าก็สามารถพูดกับโม่ได้ว่า ให้เวลาครุ่นคิดพิจารณากับเธออีกสักหน่อย”
หวีหรูเจี๋ยมองกู้ฮอนที่ขมวดคิ้วเป็นปมอย่างกังวล เธอรู้ปัญหานี้เป็นอย่างดีว่า การให้ผู้หญิงคนหนึ่งเผชิญหน้าด้วยตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ลำบากมากขนาดไหนเรื่องหนึ่ง
สำหรับหยินปู้ฝันและโม้จิ่งเฉิง พวกเขาไม่มีความคิดที่จะพูดอะไรในตอนนี้ เป็นการหลีกเลี่ยงที่จะกำหนดความคิดของกู้ฮอน
ภายในเวลาสั้นๆ 5-6 นาทีนั้น กู้ฮอนก็เหมือนกับว่าได้เกิดใหม่
สีหน้าท่าทางที่จริงจัง ขบฟันเข้าหากันเล็กน้อย
สุดท้ายเธอก็เหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว
เธอหันหน้าไปมองอีกสามคนที่มีสีหน้าท่าทางจริงจังเหมือนกัน พวกเขาเป็นญาติและเพื่อนของตัวเอง
“ขอบคุณที่พวกคุณเป็นห่วงฉัน ฉันมีคำพูดบางอย่างอยากจะพูดกับเขา…….”
ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสักอย่าง นั้นทำให้ผู้คนรู้สึกยากที่จะเข้าใจได้
แต่ก็ปกปิดเอาไว้ไม่เอ่ยถาม
ในเมื่อเธอตัดสินใจเลือกแล้ว อย่างนั้นก็ควรจะเคารพการตัดสินใจของเธอถึงจะถูก
เหล่าผู้ใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เด็กทั้งสามคนที่เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจจะยังสามารถพูดอะไรได้อีก เดิมหยางหยางนั้นอยากรู้อยากเห็นจริงๆ แต่ว่าถูกเฉิงเฉิงห้ามเอาไว้
*
“เป่หมิงโม่คนนี้ ไม่เห็นพวกเราเป็นคนนอกจริงๆ” ลั่วเฉียวแบกลูกน้อยแจกจ่ายชามและตะเกียบไป บ่นไป
คนที่อยู่เป็นเพื่อนกับเธอก็คือฉิงฮัว
เดิมฉิงฮัวเพียงแค่ให้เธอดูแลลูกน้อยก็พอแล้ว แต่ลั่วเฉียวคิดว่าในเมื่อวันนี้เป็นวันแต่งงานของเพื่อนสนิทตัวเอง ตัวเองก็ควรจะออกแรงสักหน่อยถึงจะถูก
แอนนิก็ถูกเจ้าหมอนั่นใช้ให้ไปทำอาหารกับซูยิ่งหวั่นแล้วไม่ใช่หรือ
ป่ายมู่ซีวางแก้วไวน์อันเป็นที่รักของเขาวางลงบนโต๊ะตัวยาวที่ด้านบนมีผ้าปูโต๊ะสีเปลือกไข่ลายดอกไม้ผืนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างไม่ไกลนักอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ข้างโต๊ะยังมีไวน์ชั้นดีที่เขานำมาด้วยอีกหลายลัง วันนี้เขาจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
จำเป็นต้องพูดว่า เป่หมิงโม่ เจ้าหมอนี่ในตอนนี้นั้นไม่เห็นแก่หน้ากันเลย
พวกเขาที่มาร่วมแสดงความยินดีก่อนโดยไม่มีส่วนร่วมใดๆก็ไม่ปล่อยไปสักคน ล้วนเป็นการใช้ทุกสิ่งทุกอย่างได้คุ้มค่ามากที่สุด กระทั่งลั่วเฉียวที่อุ้มลูกอยู่ก็ไม่ละเว้น
สำหรับซูหยุนเฟิง เขากับผู้คนที่เขาพามานั้น กลายเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยและบริกรทั้งพิธีไปแล้ว
นี่ทำให้ป่ายมู่ซีที่รับผิดชอบหน้าที่บาร์เทนเดอร์ดีใจอย่างสุดซึ้ง
หลังจากที่เป่หมิงโม่จัดการตำแหน่งหน้าที่ให้กับทุกคนเสร็จ เตรียมตัวจะไปรับพวกกู้ฮอนมานั้น
ก็เห็นมาเธอปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าตัวเองแล้ว
“ไอ้หยา นางเอกในวันนี้ของพวกเราปรากฏตัวขึ้นแล้ว” ชูเอ้อที่รู้สึกเบื่อหน่าย กำลังถือไม้ตีกลองขนาดใหญ่กว่าข้อมือที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากไหนอยู่ในมือ เดินกลับไปกลับมา
ตอนที่เขาเห็นกู้ฮอนปรากฏตัวขึ้น ดวงตาก็เป็นประกาย
ในเวลาเดียวกัน ฉากใต้ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าก็ทำให้กู้ฮอนรวมไปถึงคนอื่นรู้สึกตะลึงค้าง
เหมือนกับว่าคนมากมายขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น
แต่ทุกคนล้วนเป็นคนคุ้นเคยจนไม่สามารถจะคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
เพื่อนซี้แน่นปึ้กของเป่หมิงโม่ ยังมีเพื่อนของตัวเองด้วย…..
“พวกเธอมาเมื่อไรกัน ทำไมถึงได้แบกลูกทำพวกนี้ไปด้วยกัน ลั่วเฉียว เธอจะให้ฉันพูดอะไรกับเธอดี” กู้ฮอนเดินไปถึงข้างกายลั่วเฉียวอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าขอโทษ เพื่อให้เธอหยุดมือ จากนั้นก็มองเด็กน้อย
โชคดีที่เด็กคนนี้กำลังหลับสนิท ทั้งยังไม่ได้รับการรบกวนใดๆ
ลั่วเฉียวเห็นว่าผู้ช่วยชีวิตมาแล้ว ก็แสดงท่าทางได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างแรงออกมา “เรื่องนี้เธอต้องไปถามเป่หมิงโม่ของเธอแล้วล่ะ นักลงทุนไม่มีใครดีสักคน บีบคั้นโอทีแรงงานอย่างโหดร้าย”
เอ่ยแล้วก็ส่งสายตาแหลมคมดั่งมีดไปทางเป่หมิงโม่ที่มือยืนล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย
“เฮ้ เป่หมิงโม่ คุณทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน” กู้ฮอนขมวดคิ้วมองไปทางเขา
เมื่อถูกเอ่ยถามเช่นนี้ เป่หมิงโม่ก็แสดงออกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาแบมือทั้งสองข้าง “พวกเธอพุ่งเป้ามาที่คุณ ล้วนเป็นเพื่อนของคุณ ตอนแรกคุณช่วยเหลือพวกเธอขนาดนั้น วันนี้ถ้าไม่ทำอะไรเพื่อคุณสักหน่อยล่ะก็ ในใจพวกเขาก็จะรู้สึกผิด ผมน่ะ ก็แค่ปรารถนาดีอยากจะให้พวกเขาได้เติมเต็มคำร้องขอนั้น ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีรายชื่ออยู่ในแผนการของผม อีกอย่างที่นี่ก็ขาดคนจริงๆ แบบนี้ก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
ซูหยุนเฟิงเอนตัวพิงอยู่ที่ข้างโต๊ะไวน์ของป่ายมู่ซี ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ป่ายมู่ซี นายว่าพวกเราทำไปเพื่ออะไรกันนะ มาก็เพราะความปรารถนาดี กลับถูกเป่หมิงโม่ทำเหมือนว่ามันควรจะเป็นแบบนี้”
“เฮ้อ ช่างมันเถอะ ใครใช้ให้พวกเราปากเสียในตอนแรกกัน ครั้งนี้พวกเราล้วนต้องจริงจังแล้วล่ะ…….” ป่ายมู่ซีพูดไป ก็เปิดจุกก๊อกขวดไวน์แดงเทเข้าไปในดีแคนเตอร์
เมื่อได้ฟังความในใจของคนกลุ่มนี้แล้ว
นี่ทำให้กู้ฮอนรู้สึกเกรงใจจริงๆ
“แอนนิ เธอมาหรือยัง” หลังจากที่มองหาไปรอบๆแล้วก็ไม่เห็นเงาร่างของแอนนิ
“เธอถูกใช้ให้ไปทำอาหาร” ลั่วเฉียวชี้นิ้วไปยังห้องสีขาวด้านหลัง
“ไม่มีวิธีอื่น คนเยอะเกินไป แม่ครัวคนเดียวไม่พอ ในเมื่อเธอเปิดร้านอาหาร แน่นอนว่าต้องให้เธอลงมือแล้ว” เป่หมิงโม่เอ่ยเสริม
“เป่หมิงเอ้อ แม่ครัวอะไร นั่นเป็นภรรยาของฉันเข้าใจไหม” ป่ายมู่ซีรู้สึกไม่ชอบฟัง แม้ว่าซูยิ่งหวั่นจะเป็นภรรยาของตัวเอง แต่กลับถูกปฏิบัติเป็นเหมือนกับเทพธิดามาโดยตลอด แต่ใครจะรู้ว่ามาถึงที่นี่แล้วต้องมาจุดไฟทำกับข้าวกัน……
บ่นไม่พอใจกับกู้ฮอนไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเงาร่างเล็กๆของเด็กทั้งสามคนก็ปรากฏขึ้นในสายตา ชั่วขณะหนึ่งที่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “อ๊ะ ทำไมที่นี่ถึงได้มีตุ๊กตานำโชคตัวน้อยสามตัวเพิ่มขึ้นมากัน”
เด็กน้อยสวมชุดสีแดงสดสามคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าลั่วเฉียว นั้นทำให้คนรู้สึกว่าน่าสนใจและน่ารักมากจริงๆ
“คุณแม่ของพวกหนูเตรียมเสื้อผ้าชุดนี้ให้สินะ คุณพ่อของพวกหนูไม่ได้มีรสนิยมสูงขนาดนี้” ตอนนี้ลั่วเฉียวก็ไม่ลืมที่จะเสียดสีเป่หมิงโม่สักประโยค ใครใช้ให้เขาให้ตัวเองทำงานกัน
กู้ฮอนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ที่จริงแล้วฉันไม่ได้เป็นคนจัดเตรียมเสื้อผ้าของพวกเขา เป็นหยินปู้ฝันที่นำมา ที่จริงแล้วฉันก็แค่คนที่ไม่รู้เรื่องอะไร…….”
“เธอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรหรือ” ลั่วเฉียวรู้สึกไม่อยากจะเชื่อจริงๆ “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขากลับไม่บอกกับเธอ วางแผนใช้ไม้แข็งสินะ!”
“นี่เป็นสิ่งที่เจ้านายเตรียมไว้เซอร์ไพรส์คุณผู้หญิง ดังนั้นเธอ…….” ฉิงฮัวไม่อยากให้ภรรยาของตัวเองเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา
แน่นอนว่าเรื่องสำคัญก็ต้องให้เจ้านายพูดออกมาเองจะดีที่สุด
พูดแล้ว ก็กระตุกปลายเสื้อของภรรยาตัวเองเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้เธอพูดให้น้อยลงสักสองประโยค
เพียงแต่ว่าลั่วเฉียวคล้ายกับเข้าใจผิดไป เธอกลอกตามองบนใส่เขาอย่างรำคาญไปครั้งหนึ่ง “ทำไม ฉันพูดอะไรผิดไปหรือ”
เดิมเรื่องในวันนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาสองคนมากนัก พวกเขามาที่นี่ก็เพราะมิตรภาพ ถ้าหากว่าสร้างความขัดแย้งอะไรขึ้นมาที่นี่ อย่างนั้นก็จะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ
กู้ฮอนไม่ยินยอมที่จะเห็นผลลัพธ์แบบนี้ “ลั่วเฉียว ฉิงฮัวไม่ได้มีความหมายอะไรอื่น อีกอย่างฉันก็คิดว่าเขาพูดได้ถูกต้อง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่คนคนนั้นทำ ก็ควรจะให้เขาอธิบายคนเดียวถึงจะถูก”
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เป่หมิงโม่ก็รู้สึกว่าถึงเวลาจะพูดแล้วเช่นกัน
แม้ว่าตอนนี้จะขาดบรรยากาศไปสักหน่อย
เดิมควรจะเป็นผู้คนนั่งอยู่รอบโต๊ะ เบื้องหน้ามีอาหารอร่อยมากมายเต็มไปหมด ข้างใบหูมีเสียงนุ่มนวลและงดงามของเสียงเพลง
รินไหวให้ตัวเองแก้วหนึ่งแล้ว
ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง หันหน้าไปหาเธอ ภายใต้การเป็นสักขีพยานของผู้อาวุโสและเด็กๆ เอ่ยพูดคำสาบานตลอดทั้งชีวิตออกมา……
แต่ว่าแผนการไม่ได้เปลี่ยนไปเร็วนัก สิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายก็คือมีหลายคนที่โผล่มาทำให้แผนการนี้วุ่นวายไปหมด
นี่จะไม่ทำให้เป่หมิงโม่ที่ชำนาญในด้านการวางแผนและดำเนินแผนการรู้สึกอึดอัดได้อย่างไรกัน
ยากที่จะทำลายกฎเกณฑ์พวกนี้สักครั้งหนึ่ง เหมือนกับในตอนนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อย่างนั้นก็พลิกแพลงตามสถานการณ์ก็แล้วกัน
เขามาถึงโต๊ะไวน์ด้านหน้าป่ายมู่ซี “ขอไวน์ให้ฉันสองแก้วสิ”
“นายโชคไม่เลวเลย วันนี้ฉันนำของล้ำค่าในร้านของฉันมาด้วย จะให้นายได้ลิ้มรสชาติไวน์แดงสองแก้วก่อน อีกครู่หนึ่งค่อยมาสั่งไวน์ขาว”
ในตอนนี้เป่หมิงโม่จะมีกะจิตกะใจไปพิจารณาว่าไวน์นี้ดีมากขนาดไหนที่ไหนกัน ในสมองเต็มไปด้วยการขอกู้ฮอนแต่งงานต่อหน้าผู้คนเท่านั้น
โดยเฉพาะการขอต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ยังรู้สึกไม่เป็นตัวเองอยู่บ้างจริงๆ
“หลบไปหน่อยๆ…….”
ตอนที่เป่หมิงโม่กำลังตั้งใจรวบรวมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอยู่นั้น ก็เห็นในมือของบริกรหลายคนยกถาดอาหารมา ด้านในมีอาหารที่ร้อนกรุ่นอยู่สี่จาน
เดินยาวเป็นแพมุ่งหน้าไปยังโต๊ะกลม
เบื้องหน้าหัวแถวของพวกเขาคือซูยิ่งหวั่น ส่วนแอนนินั้นตามอยู่ด้านหลังสุด
“ดูท่าทุกคนจะมากันครบแล้ว ฉันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวทางด้านนอกค่อนข้างดัง เพียงแต่ว่าในมือมีสิ่งที่ต้องทำ จึงไม่สะดวกที่จะออกไป โชคดีที่ในภายหลังมีคุณแอนนิมาช่วย อย่างอื่นไม่พูด ฝีมือของคุณแอนนิไม่เลวเลย ใครแต่งเธอไปนั้นก็ลาภปากแล้ว”
ซูยิ่งหวั่นหัวเราะฮาๆ พลางเอ่ยพูด เดินไปถึงข้างโต๊ะกลม ชี้นิ้วสั่งบริกรให้วางอาหารเหล่านี้ลงบนโต๊ะตามลำดับเหมือนกับผู้ดูแลบ้าน
“ป่ายมู่ซี นายก็อย่ายืนมัวแต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เตรียมไวน์เสร็จแล้วก็ส่งมา”
อารมณ์ความรู้สึกที่เพิ่งจะรวบบรวมเสร็จของเป่หมิงโม่นั้นถูกทำลายลงไปในทันที
เพียงแต่ว่าเขาก็สามารถปิดบังความกระอักกระอ่วนในตอนนี้ของตัวเองได้เป็นอย่างดี
เขาหยิบแก้วไวน์มาสองไป เดินไปถึงข้างโต๊ะ มองไปยังอาหารที่มีควันร้อนลอยกรุ่นอยู่ “อืม ดมแล้วหอมมาก สีสันก็ดูไม่เลว แค่ไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร”
พูดแล้วเขาก็ยื่นแก้วในมือให้กับซูยิ่งหวั่นแก้วหนึ่ง “ลำบากคุณแล้ว”
“ขอบคุณ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับความเห็นที่ดีขนาดนี้จากคุณ นับว่าเป็นบุญวาสนาแล้ว” ซูยิ่งหวั่นรับแก้วไวน์มา พลางยิ้มน้อยๆ