เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1144 สถานการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลัน
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1144 สถานการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลัน
บทที่ 1144 สถานการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลัน
ทั้งหมดได้รวมกันเป็นคำอวยพรอันเป็นนิรันดร์ให้กับพวกเขา
เด็กน้อยทั้งสามคน ใช้มือเล็กๆจับมือเล็กๆ อยู่ข้างคุณย่าหวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิง
พวกเขาดูเหมือนจะเข้าใจบรรยากาศเช่นนี้
แล้วมองไปที่พ่อแม่ของตนเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโตขึ้นด้วย
หยางหยางอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนหน้าของเขา
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เฉิงเฉิงตั้งตารอให้ครอบครัวกลับมาอยู่รวมกันอย่างแท้จริง
สิ่งนี้หมายความว่าเราจะไม่ละสายตาจากกัน จะอยู่ด้วยกันตลอดไปและตลอดไป
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กของตัวเองออกมา รู้สึกอบอุ่นใจพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้น้องสาวไปด้วย
“หม่าม้ากับป่าป๊าจะไม่แยกจากกันอีกแล้วใช่มั๊ยคะพี่ชาย?”
เฉิงเฉิงพยักหน้าอย่างแรง
“ช่างน่าประทับใจจริงๆ ป่ายมู่ซี นายถ่ายรูปพวกเขาไว้แล้วใช่ไหม?” ในตอนนี้ตาของชูหยุนเฟิงก็เป็นสีแดงไปแล้ว
ในขณะนี้เขาพยายามแสร้งปกปิดตัวเอง ทั้งๆที่แทบจะไม่สามารถยับยั้งความประทับใจเอาไว้ได้
ป่ายมู่ซีจับมือของซูยิ่งหวั่นเอาไว้แน่น การได้คบกับคนที่ชอบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงต้องทะนุถนอมสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นง่ายๆนี้เอาไว้ ความรู้สึกนี้อาจจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับจริงใจมากเหลือเกิน
“นายวางใจได้เลย ฉันถ่ายขั้นตอนทั้งหมดนี้ไว้ในกล้องหมดแล้ว ฉันว่านะเอ้อชู เข้าสู่ช่วงต่อไปได้แล้วหรือเปล่า?”
ความประทับใจทั้งหมดนี้ ทำให้เกือบลืมไปแล้วว่ายังมีเรื่องนี้อยู่
ชุหยุนเฟิงกระแอมลำคอกับไมโครโฟนอีกครั้ง : “ตอนนี้พวกเรายังคงต้องทำตามธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ใช่ไหมล่ะครับ? ตอนนี้เข้าสู่ช่วงต่อไปแล้วครับ…”
ดึงเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้ง…
เป่หมิงโม่ลูบกู้ฮอนแล้วยืดตัวขึ้นตรง
แต่ทว่าสายตาของพวกเขายังไงไม่ละออกจากกัน
เป่หมิงโม่เช็ดน้ำตาที่เหลืออยู่บนหน้าให้เธอ : “กู้ฮอน ก่อนหน้านี้ผมมีแต่ความเจ็บปวดให้กับคุณ สำหรับเรื่องนี้ในใจของผมก็ทุกข์ทรมานมาโดยตลอด แต่ยังไงก็ตาม ได้โปรดเชื่อผมเถอะนะ ต่อจากวันนี้ไปคุณจะไม่ต้องโศกเศร้าอีก”
“ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย?” กู้ฮอนมองเขา
ถ้าหากจะพูดว่าเมื่อสักครู่นี้มันเป็นเพียงการซึมซับจากบรรยากาศรอบข้างจนทำให้เกิดความรู้สึกนี้ขึ้น หลังจากที่ริมฝีปากของทั้งสองคนแยกจากกันอารมณ์ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสงบลง
ในฐานะคนที่เคยผ่านมันมาก่อน เธอรู้ดีว่าหลังจากที่ความหลงใหลผ่านไปแล้ว บางทีอาจจะต้องเผชิญหน้าสิ่งที่ไม่อยากเผชิญมาก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ถ้าพูดว่าเมื่อกี้นี้ตนเองได้ฝันไป อย่างนั้นแล้วตอนนี้ควรจะเป็นเวลาที่ตื่นจากฝัน
ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึงหลังจากที่ได้ยินคำถามนี้
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงตั้งคำถามนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
แต่ทว่ามีเพียงแค่เป่หมิงโม่เท่านั้นที่ไม่แปลกใจ
สายตาของเขายังคงนุ่มนวลอย่างมาก เขายกมือขึ้นแล้วค่อยๆดึงปอยผมจากหน้าผากเธอไปยังด้านหลัง : “กู้ฮอน คำถามนี้ของคุณ ผมเองก็เคยถามตัวเองมาก่อน และคำตอบที่ได้รับมันทำให้ผมเชื่อมั่นมากๆ ในฐานะผู้ชายที่เคยทำร้ายคุณ วิธีทีเดียวที่จะพิสูจน์ว่านับจากนี้ไปจะดีต่อคุณก็คือทำให้คุณเห็น ได้โปรดให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะนะ”
“กู้ฮอน เขาพูดอย่างจริงใจขนาดนี้ เธอก็โอกาสเขาเถอะนะ ยังไงตอนนี้พวกเธอก็มีลูกแล้ว มันไม่นับว่าเสียหายหรอก”
พูดตามตรง แม้ว่าลั่วเฉียวจะไม่ได้มองเป่หมิงโม่ในแง่บวกมากนัก แต่เธอยังคงรู้สึกว่าการที่เขาพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนจำนวนมากได้ ก็พิสูจน์แล้วว่าเขายังพอมีทางเยียวยาได้ และควรที่จะเชื่อมั่นในตัวเขาต่อไป
คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือจะเป็นสามีภรรยาครึ่งทาง ทั้งหมดล้วนแต่ไม่มี ‘ต้นฉบับ’ที่ดีไม่ใช่เหรอ?
มุมมองนี้ของลั่วเฉียว ในฐานะของแอนนิแล้ว นอกเหนือจากความคิดเห็นเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการพูดของเธอแล้ว แต่ทัศนคติโดยรวมก็ยังเห็นด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอได้ยินเพียงคำไม่กี่คำเกี่ยวกับเป่หมิงโม่ กระทั่งหลังจากที่เธอได้สัมผัสเขาจริงๆ ก็ค้นพบว่าเขาไม่ใช่คนที่สุดจะทนอย่างที่ถูกพูดถึงเลย
เป่หมิงโม่คุกเข่าลงอีกครั้ง ตรงหน้ากู้ฮอน “กู้ฮอน พวกเราแต่งงานกันเถอะนะ”
“แต่งงาน…แต่งงาน…”
เสียงร้องขอนี้ สลับกับเสียงดังซ้ำๆของคนทั้งหมดในสถานที่จัดงาน
ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีใครอยากเห็นพวกเขาสองคนต้องแยกจากกันอีกแล้ว
กู้ฮอนลดสายตาลงมองไปยังเป่หมิงโม่ แล้วยิ้มให้เขาเล็กน้อย จากนั้นหันไปโบกมือให้กับชูหยุนเฟิง ส่งสัญญาณให้เขานำไมโครโฟนมาให้ตนเอง
มองเห็นรอยยิ้มเล็กๆของเธอ ไม่เพียงแค่เป่หมิงโม่ ทุกคนที่อยู่ในงานรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ
ยังจะต้องพูดอีกเหรอ ต้องตอบตกลงแน่นอนอยู่แล้ว
กู้ฮอนหยิบไมโครโฟนแล้วมองทุกๆคน และมองไปที่เป่หมิงอีกครั้ง : “เนื่องจากคุณพูดอย่างนี้แล้ว ฉันก็จะตอบตกลงคุณ…พวกเราจะทดลองอยู่ก่อนแต่งกันสักพัก”
……
ทดลองอยู่ก่อนแต่ง!
เคยได้ยินว่าก่อนแต่งงานคนหนุ่มสาวบางส่วนจะมีการทดลองอยู่ก่อนแต่งงานกัน นั่นเป็นเพราะมันคือการแต่งงานครั้งแรกของพวกเขา แต่เป่หมิงโม่กับกู้ฮอนที่มีลูกแล้วสามคน ทำไมยังต้องทดลองอยู่ก่อนแต่ง?
มีคำกล่าวไว้ว่า : อยู่กับใครมาเป็นระยะเวลานานๆ ความคิดและพฤติกรรมจะเหมือนคนๆนั้นไม่มากก็น้อย
ก่อนหน้านี้มีคนเชื่ออยู่ไม่มาก ในตอนนี้ที่ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เชื่อ ตอนนี้กู้ฮอนก็แปลกเหมือนกับเป่หมิงโม่
สิ่งที่กู้ฮอนคิดทำให้ทำให้ทุกคนในที่นี่รู้สึกเหมือนติดกับดัก
ในที่สุดลั่วเฉียวก็ทนไม่ไหว เธอเอนตัวไปข้างๆแล้วพุ่งไปที่ข้างหูเธอ : “มีบางอย่างผิดปกติในสมองของคุณหรือว่าคุณโกรธเป่หมิงโม่คนนี้อยู่ ถ้าหากไม่พอใจที่เขาขอเธอแต่งงานวันนี้ งั้นก็บอกอย่างไปตรงตรงมา ฉันไม่เชื่อว่าเธอไม่เห็นด้วย เขายังจะบังคับเธอยอมรับต่อหน้าพวกเราด้วยนะ”
กู้ฮอนเหลือบมองเธอ : “ลั่วเฉียว เธอกำลังพูดอะไร ไม่น่าฟังเลย ฉันพูดอย่างนี้ย่อมต้องมีเหตุผล”
“นี่ พี่ใหญ่ เธอไม่ดูเลยว่าตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว? ยังจะเล่นสนุกกับการอยู่ก่อนแต่ง แล้วตอนนั้นเขาเพลิดเพลินกับสิทธิของเขา แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับไม่ทำตามหน้าที่รับผิดชอบ ก็เสียเปรียบเขาแล้วน่ะสิ นอกจากนี้พวกเธอยังมีลูกด้วยกันแล้วสามคนนะ…” ลั่วเฉียวไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่ว่าเธอยังคงเอาเรื่อง ‘ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย’ มาพูดกับเธอ ว่ากันว่ามีลูกหนึ่งคนจะโง่ไปสามปี แต่ว่าตอนนี้ความเชื่อเช่นนี้จะดูล้าหลังอย่างมาก
“ใช่แล้วล่ะ กู้ฮอน เวลานี้เธอต้องคิดให้รอบคอบนะ อันที่จริงไม่ว่าจะยังไงก็ตามเป่หมิงโม่ในระยะนี้ก็ดีกับเธอและลูกๆทั้งสามคนมากๆเลยนะ” แอนนิเองก็เดินเข้ามาแล้วแสดงออกถึงความสงสัยเช่นเดียวกัน
สำหรับเป่หมิงโม่ เขายิ่งรู้สึกไม่เข้าใจแม้แต่น้อย คนที่มั่นใจในตัวเองและฉลาดอย่างเขา จะมองความคิดเธอไม่ออกได้ยังไง แต่มันก็ปรากฏออกมาเช่นนี้
ในช่วงระยะเวลาสิบวินาที เขาพยายามคาดเดาตรรกะของเธอ แต่ว่ากลับไม่พบเบาะแสใดๆ
เฮ้อ…
ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะล้มเลิกความพยายาม การกระทำเช่นนี้มันช่างน่าเบื่อจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเหล็กที่ดีต้องใช้เป็นดาบ
การทดลองอยู่ก่อนแต่งหรือแต่งงาน ไม่ใช่ตนเองที่ตัดสินใจ
สมองของเขากำลังวางแผนอย่างรอบคอบ สายตาของเขาไม่เคยเบนไปจากใบหน้าของกู้ฮอนถึงแม้ว่าลั่วเฉียวกับแอนนิจะพุ่งเข้ามาหาและไม่ได้เดินจากไป
สายตาที่ทำให้คนไม่อาจจะมองผ่านทะลุได้คู่นั้นยังทำให้พวกเธอสองคนรู้สึกกดดันเล็กน้อย
ในเวลานี้ชูหยุนเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว จึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับเป็นเครื่องปั้นดินเผาหรืองานไม้แกะสลัก
จนกระทั่งป่ายมู่ซีมาปรึกษาเขาว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ภายในหูไม่ได้ยินอะไรสักคำ
“เฮ้ เฮ้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต้องแลกแหวนและตัดเค้กอยู่อีกหรือเปล่า?”
**
ครั้งนี้สามารถใช้คำว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลันมาอธิบายได้
เด็กๆทั้งสามคน เธอมองมาที่ฉัน ฉันมองไปที่เธอ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะดีกับรูปแบบที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ในดวงตาทั้งคู่ของเฉิงเฉิงสามารถมองเห็นได้ว่ามันเหลือไว้แต่ความผิดหวัง
ปรากฏว่ากลับเป็นหยางหยางที่ค่อนข้างโอเค เขากอดอกด้วยมือทั้งสองข้าง : “ฉันคิดว่า ที่คุณแม่บอกว่าทดลองอยู่ก่อนแต่งหรือว่าแต่งงานมันแทบไม่ต่างกันเลย ไม่ว่ายังไงพวกเราก็อยู่ด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันยุคไหนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการแต่งงานหรอก แม้แต่การอยู่ก่อนแต่งก็คุ้นเคยจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว”
จิ่วจิ่วกระพริบตาโต ใบหน้ามีความสงสัย
เมื่อกี้นี้เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างดีมาก แต่ว่าหลังจากที่หม่าม้าพูดคำว่า ‘ทดลองอยู่ก่อนแต่ง’
สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
ท้ายที่สุดแล้วเธอไม่เข้าใจจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย
“พี่เฉิงเฉิงคะ ที่หม่าม้าพูดว่าทดลองอยู่ก่อนแต่งกับแต่งงานมันต่างกันตรงไหนเหรอคะ? พวกเขาเป็นอะไรเหรอ?”
เธอพยายามหาคำตอบนี้จากเฉิงเฉิง
แต่ว่าเฉิงเฉิงในตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์อธิบายถึงความแตกต่างให้กับน้องสาวฟังอีกต่อไป ใจของเขาในตอนนี้เรียกได้ว่ามันเย็นเยียบไปแล้วจริงๆ
เดิมทีพิธีที่ควรจะเป็นงานแต่งงาน ดำเนินการมาถึงตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้ยากเล็กน้อย
ในเวลานี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะมีใครสักคนหนึ่งช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี้อีกครั้ง
แต่ว่าในเวลานี้จะมีใครสามารถเข้ามาจัดการสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ล่ะ ดูเหมือนจะไม่มี
หวีหรูเจี๋ยมองดูลูกชายด้วยความสงสาร ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงออกด้วยท่าทีสงบดังเช่นปกติ แต่ในฐานะคนเป็นแม่ จะไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาได้อย่างไร
เขามีนิสัยแบบนี้ แต่ก็ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเยาว์ ตราบใดที่เขาไม่แสดงออกอาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครรู้ว่าภายในใจของเขาเป็นเช่นไร
แต่เมื่อต้องเจอเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะผู้ชาย ที่เป็นคนมีชื่อเสียงและมีสิทธิ์เช่นเขา สถานการณ์เช่นในตอนนี้เหมือนเป็นการตบหน้าเขาต่อหน้าทุกคน
ถึงแม้ว่า ‘การทดลองอยู่ก่อนแต่ง’ จะยังคงเป็นการใช้ชีวิตร่วมกันต่อไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อยต่อกู้ฮอน…
เมื่อกลายเป็นพ่อแม่แล้ว ล้วนแต่ห่วงใยลูกของตน ถึงแม้ว่าลูกจะโตแล้ว ยิ่งไปว่านั้นยังเป็นพ่อแม่แล้วด้วย…
โม้จิ่งเฉิงมองเห็นถึงความกังวลของเธอในเวลานี้ ในตอนที่ได้ยินข่าว เขาเองก็เกิดความกังวลในช่วงระยะเวลาสั้นๆ สำหรับลูกทั้งสองคน
แต่ว่าไม่นาน เขาก็เบนความสนใจไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างตนเอง
ลูกหลานก็มีลูกหลานของตัวเอง…
คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น หลายคนและหลายสิ่งไม่สามารถที่จะทำตามความคิดและการตัดสินใจของตนเองได้ในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลง
สิ่งเดียวที่ตนเองจะควบคุมได้ก็คือตนเอง
หลังจากที่ได้เดินร่วมทางกับหวีหรูเจี๋ย เพียงสิ่งเดียวที่คิดได้คือมีเวลาไม่มากแล้ว
เขาเอื้อมมืออกมาจับมือที่เย็นเฉียบของเธอเอาไว้แน่น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้สึกจากการสัมผัส แต่พลังที่มองไม่เห็นนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกได้
เธอมองเห็นความหนักแน่นในดวงตาของเขา และมุมปากที่ปรากฏออกมาเป็นรอยยิ้มจางๆ
นี่คือสิ่งที่เขาพยายามใช้ใจบอกตัวเองให้ปล่อยวาง ขอเพียงให้เวลากับพวกเด็กๆสักพัก เพียงแค่ใช้เวลาให้เพียงพอ พวกเขาจะเปลี่ยนเป็นดีมากขึ้น
“ตอนนี้พวกเราควรดำเนินการต่อไปดีหรือเปล่า?”
ขณะที่ทุกคนต่างรู้สึกถึงความกังวลใจในอนาคตของพวกเขา เป่หมิงโม่กลับปรากฏท่าทีผ่อนคลายอย่างมาก
เขาขยิบตาให้ชูหยุนเฟิงพร้อมกับพูดว่า : “นายเป็นพิธีกรที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย เกิดเรื่องแค่นิดหน่อยก็ทำให้นายเสียสมาธิแล้ว” พูดจบเขาก็มองไปทางป่ายมู่ซีที่อยู่ข้างๆ : “ป่ายมู่ซี อยากจะพูดสักหน่อยไหม?”
พูดสักหน่อย? จะพูดอะไรได้ล่ะ หรือว่าจะอวยพรขอให้พวกเขาทดลองอยู่ก่อนแต่งกันอย่างมีความสุขงั้นเหรอ