เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1146 พ่อที่สมควรได้รับ
บทที่ 1146 พ่อที่สมควรได้รับ
แต่ไหนแต่ไรเป่หมิงโม่ไม่เคยเรียกโม้จิ่งเฉิงว่า ‘คุณพ่อ’ สักครั้ง แต่ในก้นบึ้งของหัวใจเขาก็ยกให้เขาเป็นพ่อของตนเอง และมีหลายๆครั้งที่รูปแบบของการอยู่ร่วมกันก็เป็นแบบพ่อลูก
แล้วตัวฉันเองล่ะ…
แม่ก็เสียไปแล้ว พ่อก็ไม่ได้อยู่ข้างกาย มีลูกสามคน…
สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วนี่เป็นปัญหาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
พออาศัยอยู่ในบ้านของเป่หมิงโม่แล้วมองเห็นครอบครัวพวกเขาเข้ากันได้ดี เธออิจฉามากจริงๆ เธอก็อยากจะรวมตัวเองเข้าไป แต่กลับหาเหตุผลให้กับตนเองมาโดยตลอด
“ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะเหนื่อยมาก” เป่หมิงโม่มองดูพวกเด็กๆที่หลับอยู่บนรถ
ที่ยืนอยู่ข้างๆเขาคือกู้ฮอนแม่ของพวกเด็กๆ และยังมีคุณปู่คุณย่าของพวกเขา หวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิง
ขาไปและกลับนั้นเหมือนกัน พวกเด็กๆและหวีหรูเจี๋ยอยู่บนรถคันเดียวกัน ส่วนเป่หมิงโม่และกู้ฮอนอยู่บนรถอีกคัน
ที่จริงแล้ว ตอนที่กลับมาเธออยากจะอยู่กับพวกเด็กๆ
เพราะว่าเธอยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย ตนเองจึงไม่ได้พูดอะไรกับเป่หมิงโม่ตอนที่อยู่บนรถ
เพราะว่าอะไร ยังต้องพูดอีกงั้นเหรอ วันนี้ทำเรื่องขนาดนี้ ถึงแม้จะรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่ถึงตอนที่ได้อยู่คนเดียวจริงๆ ก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกอื่นๆ
สิ่งนี้มีความหมายจริงๆ
ก่อนที่จะทำลายขอบเขตความสัมพันธ์ เธออยากจะพูดอะไรกับเขาก็สามารถพูดได้ อยากทำอะไรก็ทำได้
แต่เมื่อข้ามขั้นความสัมพันธ์มาแล้ว ก็ควรจะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นถึงจะถูก เพราะไม่มีภาระทางจิตใจแล้ว
แต่มันกลับตาลปัตรเปลี่ยนเป็นเธอรู้สึกอายมากยิ่งขึ้น สำหรับสาเหตุเธอเองก็ไม่สามารถบอกได้
*
เขา กู้ฮอน และยังมีโม้จิ่งเฉิง ต่างแยกกันอุ้มเด็กสามคนที่หลับไปแล้วอย่างระมัดระวัง พอกลับมาถึงด้านในวิลล่าก็ค่อยๆวางพวกเขาลงบนเตียงเล็กๆ
หลังจากที่พวกเขาออกมาจากห้อง ก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง
“กู้ฮอน ยินดีต้อนรับหนูเข้าสู่บ้านของพวกเรา” คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าเมื่อเธอกลับมาที่นี่อีกครั้ง นี่คือคำทักทายสำหรับตัวเธอ
ถึงแม้ว่าฟังแล้วจะมีความรู้สึกแปลกๆ แต่ในใจกลับรู้สึกได้ถึงกระแสน้ำอันอบอุ่น
หวีหรูเจี๋ยมองเธอด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับโม้จิ่งเฉิงที่อยู่ข้างๆ : “ช่วยฉันถอดมันออกมาหน่อยเถอะค่ะ”
โม้จิ่งเฉิงพยักหน้า
มัน?
ดูเหมือนว่าจะมีความหมายบางอย่าง แต่ว่ามันคืออะไรกันแน่?
กู้ฮอนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เป่หมิงโม่ก็เช่นเดียวกัน
พวกเขามองเห็นโม้จิ่งเฉิงถอดเชือกสีแดงที่ห้อยคอหวีหรูเจี๋ยออกมาอย่างระมัดระวัง
ที่ด้านล่างของเชือกสีแดงเป็นแหวนสีทองเปล่งประกาย
“ในตอนที่ฉันแต่งงาน คุณย่าของเป่หมิงโม่ได้มอบให้กับฉัน เดิมทีก็ใส่ติดมือไว้ แต่ว่า…” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับกล่าวว่า : “ฉันเคยสวมมันแค่ในพิธีแต่งงานเท่านั้น หลังจากนั้นฉันไม่เคยสวมมันอีกเลย เหตุผลที่ฉันยอมรับเอาไว้ เพราะย่าของเป่หมิงโม่เป็นคนแก่ที่ใจดีและฉันไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ แต่ฉันก็ถอดมันอีก เพราะว่าฉันไม่มีความรู้สึกอะไรเลยต่อพ่อของเขา จากนั้นถึงตอนนี้พวกเธอก็เห็นแล้วว่าฉันไม่ต้องการมันและไม่มีโอกาสที่จะสวมมันอีกแล้ว”
อดีตถูกนำกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกแบบนั้นทำให้คนรู้สึกอึดอัดอย่างมากจริงๆ
มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนรุ่นหลังรู้สึกได้ถึงความเศร้า
หวีหรูเจี๋ยพูดพร้อมกับดวงตาที่เป็นสีแดงและเปียกชุ่ม
โม้จิ่งเฉิงถอดแหวนออกมาและมอบให้กับกู้ฮอน : “ถึงแม้ว่าแหวนวงนี้จะนำความเศร้าโศกมาให้หวีหรูเจี๋ยมากเกินไป แต่ว่าพวกเรายังคงหวังว่ามันจะนำชีวิตที่มีความสุขมาให้พวกเธอในอนาคต” พูดแล้วเขาก็สวมแหวนวงนี้บนมืออีกข้างของกู้ฮอนแทนหวีหรูเจี๋ยด้วยตนเอง
ในช่วงเวลาที่แหวนได้สวมลงบนมือ ใจของกู้ฮอนรู้สึกหนักอึ้งมากขึ้น
มันต้องแบกรับความหวังของตัวเองมากเกินไป รวมไปถึงคำสั่งของพวกเขาด้วย
“คุณป้าหรูเจี๋ยคะ…”
กู้ฮอนอยากจะพูดแต่ก็สะอึกไปชั่วขณะ
“กู้ฮอน ยังจะเรียกป้าหรูเจี๋ยทำไม ควรจะเปลี่ยนชื่อเรียกได้แล้วฮ่าฮ่า” โม้จิ่งเฉิงมองลูกบุญธรรมของตนพร้อมกับรอยยิ้ม
“คุณพ่อ…” กู้ฮอนเรียกโม้จิ่งเฉิงเหมือนกับเสียงออดอ้อน
ในตอนนี้สามารถมองเห็นได้ว่าใบหน้าของเธอแดงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“เป็นอะไร ยังอายอยู่เหรอ? โตแล้วสุดท้ายก็ต้องมีวันนี้ หนูสามารถจากพวกเราไปสร้างครอบครัวของตัวเองได้แล้ว พวกเราแก่แล้ว ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะมอบหนูให้ใครสักคนดูแล เช่นนี้แล้วพวกเราจึงสามารถใช้ชีวิตในวัยชราได้อย่างสบายใจมากขึ้น”
โม้จิ่งเฉิงและหวีหรูเจี๋ยอยู่ด้วยกัน หลายปีแล้วพวกเขาไม่มีลูกของตัวเอง
หวีหรูเจี๋ยนั้นยังดี มีลูกชายที่อยู่ห่างไกลคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากจะพบกับเธอมากมายนัก และยิ่งไปกว่านั้นเขายังคิดว่าตัวเธอได้ตายจากไปแล้ว
แต่ว่าความเป็นแม่ยังคงมีความห่วงใยอยู่ในนั้น
แต่โม้จิ่งเฉิงดูเหมือนจะโดดเดี่ยวกว่ามาก
โชคดีที่กู้ฮอนปรากฏตัวออกมา เธอกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของตน ถึงแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรง แต่ยังคงมีความรู้สึกเหมือนเป็นพ่อลูกกัน
ในตอนที่เขารู้ว่าเป่หมิงโม่ต้องการจะแต่งงานกับกู้ฮอน หัวใจของเขารู้สึกเศร้าอยู่เล็กน้อย เช่นเดียวกับคุณพ่อทุกคนที่ต้องส่งลูกสาวแต่งงานออกไป มีความรู้สึกตัดใจไม่ได้มากเกินไป แต่ตนเองจำเป็นต้องปล่อยวางเช่นนี้ให้ลูกได้เสาะแสวงหาความสุขของตนเองถึงจะเป็นวิธีการแสดงออกความรักที่แท้จริงของพ่อแม่
ตัวกู้ฮอนเองก็เป็นแม่คนแล้ว ทำไมเธอจะไม่เข้าใจ ความประทับใจของลูกที่มีต่อพ่อแม่นั้นไม่อาจจะบรรยายได้
แม้แต่เป่หมิงโม่ที่อยู่ข้างๆเองก็รู้สึกได้ถึงความประทับใจ
“คุณโม้ ผมจะดูแลเธอเป็นอย่างดีครับ” นี่คือเสียงที่มาจากใจของเป่หมิงโม่ เขาเคยแอบสัญญาเอาไว้ แต่นั่นเป็นเพียงคำสัญญากับตัวเอง และในวันนี้ ตอนนี้ได้นำมันออกมาต่อหน้าผู้อาวุโสที่เคารพมากที่สุด สิ่งนี้ได้กลายเป็นคำประกาศและรับประกัน
หวีหรูเจี๋ยพยักหน้าทั้งน้ำตาพร้อมกับพูดเสียงดังว่า : “ลูกแม่ แม่เชื่อมาตลอดว่าลูกสามารถทำได้ เป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดี กู้ฮอนคนนี้ได้รับความทุกข์ทรมานมามาก ลูกไม่อาจทำให้เธอต้องถูกรังแกใดๆได้อีก”
เป่หมิงโม่จะไม่เข้าใจได้อย่างไร ภายในใจของเขารู้แน่ชัดอย่างมาก ทุกความเจ็บปวดของเธอ เกือบทั้งหมดเกิดจากตัวเขาเอง เขามีความรู้สึกผิดต่อเธออยู่ในก้นบึ้งของหัวใจมาโดยตลอด
บางคนรู้สึกละอายใจต่อคนๆหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายกับผู้หญิง มีหลายสถานการณ์ที่ไม่กล้าเผชิญหน้าอีก คิดว่าการหลบเลี่ยงเป็นการปกป้องที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
และยังมีอีกสถานการณ์หนึ่ง นั่นคือการแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ใช้การกระทำพื้นฐานของตนเอง รักเธอ ดูแลเธอ ทำให้บาดแผลเรียบขึ้นทีละนิดด้วยมือของตัวเอง เป็นการดำเนินการไถ่บาปที่สมบูรณ์ด้วยตัวเอง
ความรู้สึกของทั้งสองคนก็จะเปลี่ยนเป็นดียิ่งขึ้น
สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
โม้จิ่งเฉิงเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา ยกมือขึ้นแล้วตบไหล่เขาอย่างแรง
เป่หมิงโม่รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของเขา
สิ่งนี้คือความไว้ใจอันหนักหน่วงที่จะมอบลูกสาวให้กับชายอื่น
ไม่จำเป็นต้องพูดสักคำแต่มันก็หนักแน่นและมีพลังมากกว่าคำพูดใดๆ
จากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับเป่หมิงโม่เบาๆ : “ยังเรียกฉันว่าคุณโม้อยู่อีก แต่งงานกับลูกสาวของฉันแล้ว ควรจะเปลี่ยนชื่อได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
อันที่จริง สำหรับเป่หมิงโม่นั้นควรจะเปลี่ยนนานแล้ว เพราะว่าแม่ของตนใช้ชีวิตอยู่กับโม้จิ่งเฉิงมานานหลายปีแล้ว แม้กระทั่งอาจจะนานกว่าเวลาที่อยู่กับพ่อผู้ให้กำเนิดตัวเขาเสียอีก
สำหรับชื่อที่เป่หมิงโม่เรียกตนเองนั้น ตลอดเวลาโม้จิ่งเฉิงไม่ได้สนใจเลย มันเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้นเอง
แต่ว่าหวีหรูเจี๋ยกลับไม่คิดเช่นเดียวกันกับเขา และคิดว่าเขาอยู่กับตนเองเป็นระยะเวลานานขนาดนี้โดยไม่ได้คิดเสียใจภายหลังเลย
แต่ตนเองกลับไม่มีความสามารถที่จะมอบลูกชายหรือลูกสาวให้กับเขาได้ ดูแล้วมันไม่ยุติธรรมต่อเขามากเกินไป
พวกเธอเคยพูดคุยถึงหัวข้อที่คล้ายคลึงกันมาแล้ว เธออยากพูดเกี่ยวกับปัญหานี้กับเป่หมิงโม่ด้วยซ้ำ แต่ก็ถูกเขาขวางเอาไว้
เขาคิดว่าปัญหาของชื่อเรียก ถึงจะไม่มีชื่อ แต่ในความเป็นจริงเป่หมิงโม่ก็ยังคงเคารพตนเอง
และวันนี้ สถานการณ์นั้นต่างออกไปแล้ว ถึงแม้ว่ากู้ฮอนจะเป็นลูกสาวบุญธรรมของตนเอง แต่ก็ได้แต่งงานออกไปจากบ้านเขา และให้เธอแต่งออกไปในฐานะพ่อด้วย ทั้งความรักและเหตุผล เป่หมิงโม่ควรจะเรียกเขาอย่างจริงจังสักครั้ง
สำหรับเป่หมิงโม่แล้ว เขารู้สึกขอบคุณโม่จิ่งเฉิงจากใจที่ดูแลแม่ของตนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่ว่าอย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชายแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่มีฐานะและตัวตนอย่างเขา จู่ๆจะต้องเรียกผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรงเลยสักนิดว่าพ่อนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ
เขาแสดงความเคารพและขอบคุณมาตลอดด้วยวิธีการแสดงออกของเขาเอง
แต่ในสำหรับวันนี้ เป็นวันพิเศษ…
มันคือการกลับคืน เป็นขั้นตอนหนึ่ง ขั้นที่ทำให้เป่หมิงไม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนมากนัก
สายตาของหวีหรูเจี๋ยและแม้กระทั่งกู้ฮอนก็จับจ้องไปที่ตัวของเป่หมิงโม่
ในขณะที่คิด สามารถรู้สึกได้ถึงการเอ่ยชื่อว่ามันควรเป็นเรื่องง่ายขนาดไหน คำง่ายๆหนึ่งหรือสองคำที่ไม่เคยลืมที่จะพูดเกือบทุกวันมาตั้งแต่เด็ก
แต่พอถึงเวลาที่จะต้องเรียกชื่อนี้ออกมากับ ‘คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย’ แล้ว มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยจริงๆ
เมื่อพูดออกมาจากปากของตัวเอง ก็มีความหมายว่ายอมรับในตัวคนๆนี้ หลังจากนี้ก็จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในแบบเครือญาติ
ช่วงเวลาสั้นๆห้านาทีได้ผ่านไป สำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่มันเหมือนกับผ่านไปนาน…
ตั้งตารอคอย…
ท้ายที่สุดโม้จิ่งเฉิงก็ทำลายความลำบากใจนี้ เขายิ้มให้กับเป่หมิงโม่ : “ไม่เป็นไรหรอก สำหรับครอบครัวของเรา จะเรียกหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ขอเพียงนายดีกับกู้ฮอนไปนานๆก็พอแล้ว”
พูดพร้อมกับเอามือของตัวเองลงจากไหล่ของเขา แล้วหันหน้าไปหวีหรูเจี๋ย แล้วก็มองไปที่กู้ฮอน
ในชั่วขณะที่เขาหันหน้าไปนั่นเอง เป่หมิงโม่สามารถมองเห็นร่องรอยของการสูญเสียในดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดอย่างผ่อนคลายและสบายใจเพราะไม่อยากให้คนที่นี่ต้องเคร่งเครียดก็ตาม
“พ่อ…”
ตอนที่เสียงของโม้จิ่งเฉิงได้หยุดลง ในที่สุดเป่หมิงโม่ก็เรียกชื่อนั้นออกมา
นี่คือการรวบรวมความกล้าที่ยอมจำนนจากก้นบึ้งของหัวใจตัวเองต่อผู้ชายที่ดูแลแม่ของตนมาเป็นเวลาหลายปี และขอบคุณผู้ชายคนนี้ที่ได้มอบภรรยาและแม่ที่แสนดีของลูกให้กับเขา
หลังจากบิดาผู้ให้กำเนิดของตนเองได้ตายไป การเรียกคำนี้กับผู้ชายอีกคน ทำให้รู้สึกได้เหมือนกับว่าเขาเป็นพ่อของตนเอง
ความอบอุ่น ใจดี เข้าอกเข้าใจ และมีเหตุผล…
ทำให้ตนเองได้รับความรู้สึกมากมาย ที่แม้แต่พ่อผู้ให้กำเนิดของตนก็ไม่เคยมอบให้
เขาเป็นพ่อที่สมควรจะได้รับมันจริงๆ
“เด็กดี” โม้จิ่งเฉิงหันหน้าไปมองเขาอีกครั้ง
เป่หมิงโม่มองเห็นในดวงตาของชายชราคนนี้เหมือนกับมีหยอดน้ำตารวมอยู่ด้วย
ดูเหมือนว่าความยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านจะได้รับผลตอบแทนอันคุ้มค่าในที่สุด
แม้ว่าจะเป็นชื่อๆหนึ่งเท่านั้น แต่มันกลับเป็นความหมายที่แท้จริงที่ตนเองได้รวมเข้าเป็นครอบครัวเดียวกัน