เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1153 แผนที่เห็นร่วมกั
บทที่ 1153 แผนที่เห็นร่วมกัน
“ฉันไม่รู้สึกเลยว่าฉันมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเท่าไหร่” หยางหยางไม่ชอบฟังคำสั่งสอนที่พูดมาจากปากของเฉิงเฉิง
“นายไม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีตรงไหนล่ะ ? มีของกินของดื่ม และมีบ้านหลังโตให้อยู่ อยู่ที่โรงเรียนนายก็เคยเห็นพวกคนที่เทียบเราไม่ได้ไม่ใช่เหรอ อีกอย่างพวกเราได้เข้าเรียนโรงเรียนผู้ดี ถ้านายไปเรียนโรงเรียนธรรมดาๆ ก็จะได้เห็นพวกคนเทียบเราไม่ได้เยอะแยะมากมายแล้วล่ะ”
แม้ว่าเมื่อกี้เฉิงเฉิงไม่ได้บอกว่าตัวเองเคยไปเรียนโรงเรียนธรรมดา แต่เขาก็คิดภาพได้ว่าสภาพแวดล้อมนั่นมันเป็นแบบไหน
สำหรับสิ่งที่เฉิงเฉิงพูด เขาก็ยังคงรักษาท่าทีที่สงสัยเอาไว้
นี่ก็เป็นเพราะในตัวของเขามีนิสัยที่ไม่ยอมแพ้แบบหนึ่งอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็นปัญหาของตัวเองจริงๆ ก็เถอะ ก็ยังคงเป็นเช่นนี้เหมือนเดิม แม้ว่าจะถูกบังคับ ปากก็ยอมรับ แต่จิตใจปฏิเสธ
นี่อาจเป็นจิตวิทยาของฝาแฝด
ทั้งที่เหมือนกันทุกสิ่งทุกอย่างเกือบ แต่ทำไมตัวเองต้องแย่กว่าอีกคนด้วยล่ะ ?
ทำเพื่อลูกทั้งสามคน……
พูดให้ถูกกว่านี้คือสองคน……
ถ้ายิ่งพูดให้ตรงก็คือคนเดียว……
นั่นก็คือหยางหยาง
เป่หมิงโม่และกู้ฮอนให้ความสำคัญกับลูกๆ แตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็เน้นให้ความสำคัญกับลูกชายคนเล็กคนนี้
พวกเขารู้ดีว่าไอคิวของลูกชายคนเล็กฉลาดมากพอ เพียงแต่เจ้าตัวเล็กคนนี้มักจะฉลาดไม่ถูกที่ถูกทาง
นานๆ ครั้งจะได้อันดับต้นๆ มาทีหนึ่ง แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้ “การล่อด้วยผลประโยชน์”
แต่หลังจากครั้งนั้นมา เคล็ดลับนี้ก็ไม่ได้ผมกับเขาอีกต่อไป ภายหลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นการสอบย่อยหรือการสอบครั้งใหญ่ เขาก็ไม่พัฒนาเกินนั้น แถมยังลดลงอีกด้วยซ้ำ
ในครอบครัวนี้ หากหยางหยางฟังใครสักคนขึ้นมาจริงๆ นั่นมันเป็นเรื่องที่ยากจะพูด
สำหรับเป่หมิงโม่แล้ว เพียงเพราะว่าเป็นพ่อ จึงต้อง “ยอมแพ้” ด้วยการใช้อำนาจโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่อยู่ในสถานการณ์ที่พ่อลูกไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน แม้ว่าจะยกชื่อเขาขึ้นมา ก็ไม่เห็นว่าหยางหยางจะให้ความร่วมมือ
ส่วนกู้ฮอน แม่ลูกนั้นได้อยู่ด้วยกันตลอดตั้งแต่เล็กจนโต แม้ว่าจะต้องห่างกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่หลายปีที่ผ่านมา ท่าทีของเธอที่มีหยางหยางก็มีเพียงแต่การเอาใจ
คนเป็นแม่จะรู้สึกไม่ได้ได้อย่างไร เพียงแต่รักลูกเกินไป เพราะอยากให้ลูกมีความสุข ดังนั้นก็เลยปิดตาข้างหนึ่งทำเหมือนไม่รู้
คนที่ทำให้หยางหยางเชื่อฟังที่สุดก็คือโล่ฮาน ภายใต้การให้คำแนะนำของเขา หยางหยางจึงไม่ค่อยได้อะไรที่เกินขอบเขต และดูเหมือนจะมีระเบียบวินัยมากขึ้น
แต่สภาพแบบนี้เป็นได้เพียงไม่นาน โล่ฮานมีภารกิจต้องจากไป จึงไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย ดังนั้นข้อผูกมัดที่มีกับหยางหยางจึงหายไปตามธรรมชาติ
ส่วนเฉิงเฉิงผู้เป็นพี่น้องฝาแฝด หยางหยางยิ่งไม่เห็นในสายตา มากไปกว่านั้นคืออิจฉาและไม่ยอมอยู่บ้าง
นั่นเป็นเพราะเฉิงเฉิงเป็นนักเรียนชั้นแนวหน้า เป็นเด็กฉลาด และเป็นเด็กดีในสายตาของพ่อแม่และทุกคนรอบข้าง
นอกจากนี้ยังมักจะเอาเรื่องต่างๆ ของเขามาเปรียบเทียบกับตัวเอง ซึ่งมันเป็นที่ทำให้หยางหยางโมโหมาก
ตัวเองใช้ชีวิตเหมือนเงา
หรือพูดได้ว่าฝาแฝดคนหนึ่งเป็นคนที่ดีเลิศ ส่วนอีกคนต้องเป็นเพียงแค่เงางั้นเหรอ จะมีวิถีชีวิตและความคิดแบบอื่นไม่ได้เลยหรือ ?
ดังนั้นสิ่งที่หยางหยางต้องการมากที่สุดก็คือการเป็นอิสระ ตัวของตัวเองอย่างอิสระและมีนิสัยใจคอได้อย่างอิสระ
ดังนั้น ตั้งแต่เด็กจนโตเขาจึงได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อแสดงตัวตน
เขาไม่ต้องการใช้ชีวิตเป็นเงาของเฉิงเฉิง แม้ว่าจะไม่ฉลาดเท่าเขาก็ควรจะได้รับความสุขเช่นกัน
รอคอยวันที่ทุกคนมองที่ตน ไม่ใช่เห็นเป็นเงาของเฉิงเฉิงในสายตา แต่เป็นหยางหยาง
“คุณตั้งกฎให้ลูกทั้งสองเสร็จแล้วเหรอ ?”
กู้ฮอนจัดการกับจิ่วจิ่วเรียบร้อยนานแล้ว กลับไปยังห้องของตัวเองได้ไม่นาน เป่หมิงโม่ก็ผลักประตูเข้ามา
เห็นเขาขมวดคิ้วขึ้น ราวกับว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“ผมไม่ห่วงเฉิงเฉิง แต่มองเห็นท่าทางของหยางหยางดูเหมือนไม่ใส่ใจ วันนี้ก็เลยเตือนเขาซะหน่อย ถ้าวันหลัง……”
“วันหลังอะไรอีก หยางหยางเป็นลูกชายแท้ๆ ของคุณนะ” เหมือนกู้ฮอนจะเดาออกว่าคำพูดต่อไปของเขาคืออะไร
แม้ว่าบางครั้งลูกๆ อาจจะทำให้พวกเขาโกรธ แต่พวกเขาก็ยังเป็นเด็ก เป็นเด็กก็ควรจะให้อภัยโดยไม่ถือสา
“วิธีที่การใช้ความรุนแรงแบบคุณ ใช้กับผู้ใหญ่บางคนบางทียังรับไม่ได้ นับประสาอะไรกับลูกๆ คุณคิดว่าลูกๆ ของคุณเป็นเหล็กหรือยังไง ?”
เป่หมิงโม่ขมวดคิ้วขึ้น ไม่ว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด แต่บางทีมันก็เป็นการแสดงความรักที่มีต่อลูกอย่างหนึ่ง
มีเงื่อนไขว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ ดังนั้นจึงไม่ยอมให้ลูกของตัวเอง “ขาดตกบกพร่อง”
กู้ฮอนค่อยๆ เดินไปข้างๆ เขา มือคู่หนึ่งวางบนไหล่ของเขาเบาๆ แล้วนวดไหล่ของเขา “โม่ ฉันรู้ว่าคุณหวังดีกับลูกๆ ฉันก็มีความคิดที่เหมือนกับคุณ แต่บางทีฉันก็คิดว่าสมัยนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว พวกเขาเป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าจะบังคับกดดันพวกเขา แต่มันก็อาจจะไม่ได้ผลตามที่เราต้องการเสมอไป ยิ่งไปกว่านั้นอาจส่งผลตรงกันข้ามด้วยซ้ำ”
ต้องบอกเลยว่าเทคนิคการนวดของเธอชำนาญมากขึ้นเรื่อย ๆ
การนวดช่วยให้คนจิตใจสงบ และยังใช้ได้กับเป่หมิงโม่
เขาพยักหน้า “ผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด แต่เด็กคนนั้นก็โตขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีความพัฒนาขึ้นสักนิด คุณก็บอกแล้วนี่ว่าสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเขายังเป็นแบบนี้ต่อไป กลัวว่าในอนาคต……”
หัวใจของพ่อแม่บนโลกใบนี้ยากลำบากเท่ากัน ในตอนนี้เหมือนเป่หมิงโม่จะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่ในตอนนั้นแล้ว
แม้ว่าตัวเองในตอนนั้นจะไม่ได้เกินไปเหมือนหยางหยางขนาดนี้ แต่ก็มักจะทำให้พวกเขากังวลอยู่เช่นกัน
ทุกคนต่างก็เหมือนกัน ถ้าหากตัวเองไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกของคู่กรณี
เพียงแต่น่าเสียดายที่ถึงจะเข้าใจและตระหนักแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายไป
หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง สิ่งที่ผ่านไปก็ไม่สามารถนำกลับมาได้ มากไปกว่านั้นคือไม่มีแม้กระทั่งความเป็นไปได้ที่จะชดใช้ แต่สิ่งที่อยู่ต่อหน้านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นมากไปอีก
เธอพูดถูกแล้วล่ะ วัยเด็กจะมีปัญหามากมายเช่นเดียวกับวัยเด็กของตัวเอง
กู้ฮอนนวดไหล่ของเขา และดูเหมือนจะรู้สึกถึงความโกรธของเขาที่ค่อยเหือดหายไป “ฉันมีความคิดเช่นเดียวกับคุณมากระยะหนึ่ง คุณก็รู้ว่าหยางหยางเป็นเด็กที่ซนไปบ้าง ซึ่งทำให้ฉันปวดหัวมาก นี่มันก็เป็นสิ่งฉันทำขึ้นเองนั่นแหละ ในตอนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำ และอยู่ในสภาวะไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อเทียบกับคุณแล้ว มันทำให้ฉันรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขามากกว่า”
“ดังนั้นคุณก็เลยเริ่มปล่อยเขาไปเลยตามเลยอีกแล้ว ?”
กู้ฮอนพยักหน้าพยักหน้าแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
เป่หมิงโม่ยกมือขึ้นไปจับมือของเธอไว้ จากนั้นพาเธอมาอยู่ต่อหน้าเขา แล้วมองเธอด้วยความรัก “กู้ฮอน คุณไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะ ประสบการณ์ของพวกคุณผมก็เป็นคนสร้างเองกับมือ ผมเป็นหนี้บุญคุณของพวกคุณสองคนแม่ลูกถึงจะถูก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา กู้ฮอนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงน้ำตาในดวงตาของตัวเอง แม่ว่าจะเป็นคำพูดที่เรียบง่าย แต่ก็สามารถฟังออกได้ว่าพูดมาจากใจของเขา
เป่หมิงโม่ดึงเธอมาไว้ในอ้อมอก แล้วค่อยๆ เช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงของเธอเบาๆ
บทบาทของเด็กในครอบครัวนั้นวิเศษมาก ในบางครั้งเขาก็อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คนสองคนเลิกกัน แต่บางทีก็เป็นพลังที่ทำให้ใจสองดวงประสานกันเช่นกัน
หลังจากเป่หมิงโม่คิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจว่าบางทีควรจะให้เขาได้รับ “ความลำบาก” บ้าง มันอาจส่งผลดีต่อเด็กคนนี้มากขึ้นก็ได้
เขามีแผนไว้แล้วว่าจะใช้วิธีไหน
แต่แน่นอนว่าต้องบอกกู้ฮอนก่อน
ไม่เช่นนั้นหยางหยางยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่สวนหลังบ้านใหม้ไปก่อนแล้ว
เพราะแม่คนไหนจะไม่รักลูกกันล่ะ
อย่างแรกแน่นอนว่าต้องตกลงกับกู้ฮอนก่อน นี้เป็นการแก้ปัญหาในขั้นแรก
“ผมอยากส่งหยางหยางออกไป”
“หือ ?” กู้ฮอนมองเขาด้วยความแปลกใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าจู่ๆ ทำไมเขาถึงได้พูดคำนี้ออกมา “คุณจะทำอะไรอีก ทำไมต้องมาบอกฉันในเมื่อตัดสินใจแล้ว”
เธอรู้ว่าการที่เป่หมิงโม่ทำแบบนี้ก็มีเหตุผล แต่เธอก็เป็นแม่ของเด็ก
ทำไมถึงไม่บอกตนก่อนตัดสินใจ แต่เลือกที่จะใช้วิธีประกาศแบบตอนนี้
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของกู้ฮอน เป่หมิงโม่รู้ได้ทันทีว่าติ่งหูของตัวเองจะต้องเจ็บอีกแล้ว
แต่เรื่องก็ได้พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องพูดต่อไป “กู้ฮอนจ๋า คุณอย่าเพิ่งรีบร้อนทะเลาะกับผมน้า ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของหยางหยาง”
เพื่อผลประโยชน์ของเด็ก นี่มันข้ออ้างชัดๆ
กู้ฮอนจึงมองไปที่เขา แล้วหัวเราะเยาะอย่างไม่รู้ตัว “ถ้าเห็นแก่ผลประโยชน์ของเด็ก ก็คงไม่ส่งเขาออกไปหรอก ฉันอยากจะถามคุณในฐานะพ่อหน่อยนะ เขาทำอะไรให้คุณเดือดร้อน หรือว่ามันเกะกะคุณถึงต้องทำแบบนี้ ?”
ตามที่คาดไว้ เป่หมิงโม่คิดไว้แล้วว่าต้องเกิดสถานการณ์แบบนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังต้องคุยกับกู้ฮอนอย่างอดทน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจอะไร คนข้างๆ ก็มีเพียงแค่ฟังและทำตามเท่านั้น
“หยางหยาง เด็กคนนี้เป็นแบบไหน ใจของเราต่างก็รู้ดี ซุกซนบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ว่าผมก็ไม่อยากให้เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรสักอย่าง แต่ก่อนโล่อานเคยจัดการเขา ถึงแม้จะยังชอบเล่นเหมือนเดิม แต่ก็ยังได้เรียนรู้บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว เด็กคนนี้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว”
ตอนแรกกู้ฮอนก็โกรธเล็กน้อย แต่หลังจากฟังคำพูดพวกนี้ ความโกรธก็หายไปบ้างแล้ว
สิ่งที่เป่หมิงโม่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผลไปซะหมด แต่สำหรับเรื่องที่จะส่งลูกออกไป ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
“อยู่ที่บ้านหยางหยางก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้าไปข้างนอกจะขนาดไหนเนี่ย นี่คุณกำลังคิดอะไรอยู่ คือจะทิ้งเขาไปหมดใจเลยเหรอ ?”
“แน่นอนว่าหวังจะให้เขาได้ดี ไม่เช่นนั้นผมยังจะทำร้ายเขาลงได้ด้วยเหรอ ?”
พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แผนที่เห็นร่วมกัน
ในตอนแรกคิดว่าหลังจากพูดเรื่องนี้กับหยางหยางแล้ว เขาจะต้องโวยวายแน่นอน
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากเขาได้ยินแล้วก็แทบกระโดดด้วยความตื่นเต้น
นี่เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจอยู่บ้าง
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้ากันได้ทั้งสองฝ่าย จึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ต่อไปก็คงเหลือแค่การเตรียมการ
การส่งลูกออกไปนั้นพูดง่าย แต่เวลาทำเข้าจริงๆ ก็รู้สึกหดหู่ กู้ฮอนจึงช่วยลูกชายเก็บเสื้อผ้าทีละชิ้นๆ
ส่วนหยางหยางก็นั่งมองอยู่ข้างๆ อย่างดีใจ ในใจของเขาเริ่มมีความฝันมากมายต่อวันบินเดี่ยวที่กำลังจะมาถึง
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในที่สุดก็ได้ออกจากบ้านหลังนี้แล้ว ในที่สุดก็จะไม่มีใครมายุ่งกับตัวเองได้อีกแล้