เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 890 แตะโดนเกล็ดย้อน
บทที่ 890 แตะโดนเกล็ดย้อน
เป่หมิงโม่มองไปที่หยางหยางด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่นอกเหนือความคาดหมายอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นมือไปลากหยางหยางมา ตบลงที่ไหลของเขาเบาๆ “ใช่แล้ว พ่อของลูกในตอนที่ยังเด็กนั้นไม่ดุร้ายเหมือนปีศาจแบบนี้ในสายตาของพวกลูกหรอกนะ”
“อย่างนั้นต่อมาล่ะครับ” หยางหยางเอ่ยถามอย่างขี้ขลาดต่ออีกประโยคหนึ่ง เพราะว่าเขารู้สึกอยากรู้มากจริงๆ
เป่หมิงโม่ยักไหล่ “สุดท้ายแน่นอนว่าถูกซัดหนักๆไปยกหนึ่ง”
ความรู้สึกบนใบหน้าของเฉิงเฉิงและหยางหยางเปลี่ยนไปในทันที
หวีหรูเจี๋ยที่ฟังถึงตรงนี้ก็มีหยาดน้ำตาไหลรินอย่างไม่รู้ตัว “ขอโทษนะลูก ที่พวกเราทำให้ลูกได้รับความทุกข์ทรมานตั้งแต่เด็ก”
***
สำหรับเรื่องที่น่าเจ็บปวดในอดีตนั้น เป่หมิงโม่เคยจดจำไว้ในใจมาโดยตลอด แต่หลังจากที่ญาติพี่น้องค่อยๆเสียชีวิตไปแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องราวในอดีตเหล่านั้นไม่ใช่ความเกลียดชังอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นความทรงจำแทน
เขาเช็ดร่างกายเล็กน้อย เหยียดตัวตรงขึ้นพลางพยักหน้าให้กับมารดา “เรื่องพวกนี้ล้วนผ่านไปแล้ว ยังจะมีอะไรต้องคิดเล็กคิดน้อยอีก ยิ่งกว่านั้นตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล เขาก็ขอโทษกับผมแล้ว ผมก็ให้อภัยเขาแล้วเช่นกัน ผมคิดว่า เขาน่าจะจากไปอย่างสงบ”
เขา แน่นอนว่าหมายถึงเป่หมิงเจิ้งเทียนผู้เป็นบิดาของตัวเอง
เป่หมิงโม่หยุดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เขาไม่ได้พูดกับผมเพียงแค่ครั้งเดียว สิ่งที่เขาเคยปฏิบัติกับคุณในอดีตนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เขาหวังเป็นอย่างมากว่าจะได้รับการให้อภัยจากคุณ เพียงแต่ว่า ในตอนนั้นเขายังคงนึกว่าคุณตายไปแล้ว แม้กระทั่งหลุมฝังศพของคุณอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่รู้ ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะเอ่ยพูดกับคุณได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาเสียใจมากที่สุด”
“คนเราในยามใกล้ตายนั้น คำพูดคำจาล้วนเป็นความจริง ในที่สุดเหล่าเป่หมิงก็เข้าใจแล้ว แม้ว่าจะสายไปเสียหน่อย แต่ก็ดีกว่าคนที่ยึดมั่นในความคิดของตัวเองอย่างไม่ยอมเปลี่ยนแปลง” โม้จิ่งเฉิงพูดไปก็กวาดตามองไปทางหลี่เชินแวบหนึ่ง
คำพูดเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้หลังจากที่ตัวเองฟังจบ อีกส่วนหนึ่งก็ถือว่าพูดให้หลี่เชินฟัง
เพียงแต่ว่าหลี่เชินนั้นไม่ได้ใส่ใจ
เขาหัวเราะเสียงเบา “คำพูดง่ายๆแบบนี้ใครก็พูดได้ทั้งนั้น เหล่าโม้ คุณไม่ต้องตีวัวกระทบคราดหรอก เหล่าเป่หมิงคนนี้เป็นคนเช่นไรกันแน่ ในใจพวกเราสองคนชัดเจนมากที่สุด ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น เขาเย็นชาไร้จิตใจมาโดยตลอด แม้ว่าเขาจะพูดคำพูดเหล่านั้นออกมาตอนที่ใกล้จะตาย ผมก็สามารถทำได้เพียงแค่เอ่ยประโยคเดียว สันดอนขุดได้ แต่สันดานขุดไม่ได้ ถ้าหากว่าเขารู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ล่ะก็ เขาก็คงจะไม่พูดคำพูดแบบนี้ออกมาหรอก จะว่าไปนะเหล่าโม้ คุณแต่งผู้หญิงแบบนี้มาเป็นภรรยานั้นมีข้อดีอะไรกัน ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น ผมรู้ว่าพวกคุณกำลังจะลงเอยกันแล้ว แต่แล้วอย่างไร เหล่าเป่หมิงมีเงิน แต่คุณในตอนนั้นไม่มี ตอนนี้พูดแล้วก็เป็นแค่นักเลงหัวไม้คนหนึ่ง เธอกลับแต่งให้กับเหล่าเป่หมิงทั้งยังให้กำเนิดลูกด้วย แล้วในภายหลังยังทำลูกของผมหายไปด้วย ถัดมาต้องหนีตายเพราะไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเป่หมิงต่อไปได้…….”
หลี่เชินพูดจาไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย อีกทั้งน้ำเสียงก็สูงเป็นอย่างมาก นี่ทำให้เป่หมิงโม่ที่อยู่ข้างๆนั้นฟังต่อไปไม่ไหว แม้เขาจะพูดว่าบิดาของตัวเองปฏิบัติกับมารดาของตัวเองไม่ดี ไปจนถึงการเป็นคนรักของโม้จิ่งเฉิงก่อนจะมาลงเอยกับบิดาของเขาล้วนเป็นความจริง แต่เมื่อปัดเรื่องเหล่านี้ทิ้งไปแล้ว สิ่งที่พูดก็แทบจะเป็นความจริงที่ถูกบิดเบือน ทั้งยังเป็นคำพูดที่หมิ่นประมาทตั้งแต่ต้นจนจบด้วย นี่ทำให้เป่หมิงโม่ที่อยู่ด้านข้างยิ่งฟังก็ยิ่งเกิดโทสะ
นัยน์ตาของเขาปรากฏแววเย็นเยียบขึ้นมาอีกครั้งในทันที เย็นเยียบยิ่งกว่าเดิมเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ถลึงตามองไปที่ร่างของหลี่เชินด้วยแววตาแข็งกร้าวดุร้าย
มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่นจนมีเสียงดังกึกๆ บนเรือลำเล็กก็ถูกความเย็นยะเยือกของเขาปกคลุมในชั่วพริบตา
หวีหรูเจี๋ยที่ถูกหลี่เชินพูดใส่เมื่อครู่นี้ก็โกรธจนหน้าขาวหน้าแดง แต่เมื่อเห็นลูกชายเริ่มที่จะมีโทสะ เธอก็ไม่สนใจความรู้สึกของตัวเอง เรียกเหล่าเด็กๆมาหลบด้านหลังตัวเองเสียงเบา แล้วให้โม้จิ่งเฉิงจัดการให้พวกเขาเข้าไปในห้องโดยสาร
คำพูดเมื่อครู่นี้ส่งผลกระทบไม่ดีต่อเด็กๆเล็กน้อย ถ้าหากว่ามีการลงไม้ลงมือขึ้นมาแล้วล่ะก็ นั่นจะทำร้ายเด็กๆมากแค่ไหน
จนกระทั่งเด็กๆถูกจัดให้เข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว เธอก็มองไปที่ลูกชายของตัวเองอย่างตึงเครียด “โม่ อย่าใช้อารมณ์นะลูก วันนี้พวกเรามาทำอะไรกัน อย่าเพิ่มเรื่องอีกเลย”
***
“เหอะ…….” หลี่เชินหัวเราะเสียงเย็น “หวีหรูเจี๋ย คำพูดเมื่อครู่นี้แตะโดนจุดอ่อนของคุณใช่หรือไม่ เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นก็เพราะคุณ ไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นคนดีที่นี่อีก ทำเรื่องเลวร้ายมาตั้งมากมายขนาดนี้แล้ว ทำให้แขนคุณพิการไปข้างหนึ่งก็สมควรแล้ว”
“หลี่เชิน…….คุณ คุณอย่ารังแกคนอื่นมากเกินไปนะ!” หวีหรูเจี๋ยที่เมื่อครู่ยังอยากจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง แต่หลี่เชินกลับบีบคั้นผู้อื่นมากเกินไปแล้ว ทำให้เธอโกรธจนพูดออกมาได้สั้นๆไม่กี่ประโยคก็รู้สึกมีอาการเวียนหัว ร่างกายโอนเอนไปมาเล็กน้อยก็ล้มลงไป
โชคดีที่เป่หมิงโม่อยู่ข้างกายเธอ จึงสามารถประคองไว้ได้ทันการณ์ ตอนนี้เองที่โม้จิ่งเฉิงจัดการกับเด็กๆเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าผู้หญิงของตัวเองถูกทำให้โมโหจนเป็นแบบนี้ ตัวเองก็เกิดโทสะขึ้นมาอย่างเลี่ยงได้ยาก
พื้นเพของเขานั้นถูกหลี่เชินเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนแล้วเมื่อครู่นี้ เพียงแต่นับจากที่ตัวเองเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้วก็ตัดขาดความสัมพันธ์แต่ก่อนไปแล้ว อย่างน้อยก็มอบสิ่งในอดีตเหล่านั้นให้กับลูกน้องตัวเองไปหมดแล้ว
กลิ่นอายบ้าเลือดที่ถูกเขาเก็บเอาไว้ค่อยๆแผ่ออกมาอย่างชัดเจน นัยน์ตาของหลี่เชินที่มองอยู่ค่อยๆหรี่ลงเล็กน้อย นี่คือการกระทำอันคุ้นชินในอดีตก่อนที่เขาจะลงมือ
“หลี่เชิน ในเมื่อพวกเราล้วนเป็นคนรู้จักเก่าแก่กันมา อย่างนั้นคุณน่าจะค่อนข้างชัดเจนกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นของผมนะ”
ถังเทียนจื๋อที่ยืนมองสถานการณ์สองรุมหนึ่งอยู่ด้านข้างอาจารย์นั้น ก็เห็นได้ชัดว่าฝั่งตัวเองเสียเปรียบ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร ทั้งร่างพุ่งเข้าไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าของอาจารย์
หลี่เชินเป็นผู้มีพระคุณของตัวเอง ไม่ว่าในอนาคตจะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องอะไรล้วนต้องต่อสู้แทนเขา
ถังเทียนจื๋อไม่ใช่คนที่กลัวเรื่องกลัวราว หลี่เชินยิ่งไม่ใช่ เขามองท่าทางของโม้จิ่งเฉิงพลางหัวเราะเสียงเบา “เหล่าโม้ ทำไม คุณจะลงไม้ลงมือหรือ พวกเราไม่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือของคุณจะถอยหลังหรือไม่ ผมรู้ว่าพูดถึงผู้หญิงของคุณแบบนั้นทำให้คุณรู้สึกเป็นทุกข์ แต่ว่าผมก็หวังดีต่อคุณ อยากให้คุณมองผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามคุณว่าหลายปีมานี้เธอเป็นคนแบบไหนกันแน่”
“หรูเจี๋ยเป็นคนแบบไหน ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะพูดมากกว่าคุณนะ ไม่ผิด เธอเคยจากผมไปในช่วงเวลาหนึ่ง แต่นั่นก็เพราะเธอถูกเป่หมิงเจิ้งเทียนแย่งไป ไม่ใช่จากไปเพราะเงินเหมือนอย่างที่คุณพูด สำหรับเรื่องที่เธอทำฮอนหายไปนั้น ก่อนหน้านี้ผมก็เคยพูดกับคุณแล้วว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันเรื่องหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นคนบงการเรื่องนี้ไม่ใช่หรูเจี๋ย แต่เป็นเจียงฮุ่ยซินต่างหาก!”
“เหล่าโม้ คุณไม่จำเป็นต้องพยายามเถียงข้างๆคูๆเพื่อเธออีกแล้ว ตอนนี้เจียงฮุ่ยซินเข้าคุกไปแล้ว คุณล้วนผลักข้อกล่าวหาทั้งหมดไปให้เธอ ผมไม่ถือว่ากลยุทธ์เล็กน้อยแบบนี้จะเป็นเรื่องจริงหรอกนะ ถ้าหากว่าคุณ…..”
“พอได้แล้ว! หรือว่าในวันแบบนี้พวกคุณยังจะพูดจาไร้สาระทะเลาะกันไม่เลิกราอีกคะ จะต้องทะเลาะให้กันวิญญาณของคุณแม่ฉันบนสรวงสวรรค์อยู่อย่างไม่สงบ ให้เธอจากไปอย่างไม่สงบอย่างนั้นหรือคะ!”
ในที่สุดกู้ฮอนที่ประคองกล่องบรรจุอัฐิของลู่ลู่ไว้ในมือนั้นก็หันกลับมา สีหน้าของเธอนั้นไม่น่าดูเป็นอย่างมาก ถมึงตามองมายังคนทั้งสองฝ่าย
นับตั้งแต่เป่หมิงโม่ขับเคลื่อนเรือออกมาจากท่าเรือ กู้ฮอนก็ยืนมองแผ่นดินที่ค่อยๆห่างออกไป มองน้ำทะเลบริเวณข้างกราบเรือมาตลอด ในสมองพยายามนึกถึงความทรงจำทุกๆวันตั้งแต่ช่วงที่เริ่มพบกับคุณแม่จนถึงตอนที่คุณแม่จากไป
เธอแทบจะสามารถจดจำทุกๆวันได้ รวมไปถึงว่าพวกเธอทานอะไร ทำอะไรด้วยกันไปบ้าง……
แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกเหล่านี้ก็ค่อยๆถูกบรรยากาศที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงมารบกวน เธอไม่อยากสูญเสียความทรงจำที่มีต่อคุณแม่เหล่านั้นไป และเพราะถูกพวกเขารบกวนจนทำให้ทนไม่ไหวแล้วจริงๆถึงได้เอ่ยห้ามออกมา
***
กู้ฮอนมองคนทั้งสองฝ่าย นอกจากโม้จิ่งเฉิงแล้ว ที่เหลืออีกสามคนล้วนเป็นคนที่เธอไม่อยากพบในวันนี้ เพราะเมื่อเห็นหน้าพวกเขาแล้วก็รู้ว่าจะต้องไม่มีเรื่องดีอะไร
เพียงแต่ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเพราะตัวเอง แต่เพราะคุณแม่ ล้วนมาเพื่อส่งคุณแม่ในช่วงหนึ่ง อาศัยจุดนี้ เธอจึงไม่ได้ไล่หรือว่ากระทำหลบเลี่ยงไปตั้งแต่ตอนที่พวกเขามาถึง
เดิมคิดว่าสถานการณ์ภายในวันนี้คงจะไม่มีการทะเลาะโวยวายอะไรขึ้นมา แต่ว่ามีประโยคหนึ่งที่เอ่ยเอาไว้ว่า “กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น”
นี่อย่างไรเล่า เพิ่งจะพูดคุยกันดีๆได้ไม่กี่ประโยค คนไม่กี่คนเหล่านี้ก็สู้กันอีกแล้ว อีกทั้งแก่นเรื่องยังเป็นเรื่องเก่าแก่นมนานที่ไม่มีประโยชน์อะไรด้วย
“ฉันไม่สนใจจะฟังความขัดแย้งระหว่างพวกคุณ ยิ่งไม่มีความสนใจอยากรู้ ดังนั้นขอให้พวกคุณอย่าลากฉันเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องพวกนั้นอีก เรื่องในอดีต ฉันคิดว่าผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป หรือว่ายังมีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้อีกกัน เรื่องก็เกิดขึ้นไปแล้ว แม้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในพวกคุณทั้งสองฝ่าย จะสามารถย้อนเรื่องราวใหม่ได้อีกหรืออย่างไรกัน ถ้าหากพวกคุณพูดว่าได้ อย่างนั้นก็ดี รอจนกลับไปแล้วพวกคุณค่อยสู้กันอีก ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ขอเพียงแค่ไม่ต้องมาให้ฉันได้เห็นอีกก็พอ แต่ว่าตอนนี้ ฉันมีคำขอร้องง่ายๆเพียงหนึ่งข้อ นั่นก็คือให้คุณแม่ของฉันจากไปอย่างสงบได้หรือไม่”
กู้ฮอนพูดไปพูดมา หยาดน้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นคลอหน่วยตา
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เห็นหยาดน้ำตาของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเป่หมิงโม่หรือว่าหลี่เชิน ในใจของพวกเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาชั่วขณะ
พวกเขานั้นอยู่ในสถานะที่ไม่เหมือนกัน แต่ภายในจิตใจของพวกเขานั้นมีเป้าหมายเดียวกันก็คือกู้ฮอน
ในจุดนี้สำหรับพวกเขาล้วนเหมือนกัน แต่ว่าพวกเขากลับมองไม่เห็นจุดนี้ แล้วคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในตอนนี้ก็เกิดจากเรื่องราวเหล่านั้นจริงๆ
กู้ฮอนเห็นว่าทั้งสองฝ่ายไม่พูดอะไรแล้ว อารมณ์โกรธก็ลดลงไปเล็กน้อย
“คุณแม่ ขอโทษจริงๆค่ะ ที่ทำให้คุณแม่ต้องมาเห็นเรื่องราวที่ไม่น่ายินดีตลอดตอนที่คุณแม่จะจากไป แต่ว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะต้องมาพบเจอเรื่องเหล่านี้ คืนวันหลังจากนี้ก็ไม่ต้องหนักใจเพราะเรื่องราวพวกนี้อีกแล้ว คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหนู หนูมีลูกๆอยู่เป็นเพื่อน อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีพวกเขา”
คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะพูดกับคุณแม่เพื่อลาจากกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นหลี่เชินหรือเป่หมิงโม่ พวกเขาล้วนรู้สึกว่ากำลังพูดถึงตัวเอง
นัยน์ตาของพวกเขาล้วนมองไปทางกู้ฮอน เห็นเพียงแค่หลังจากที่เธอเอ่ยพูดจบแล้วก็ค่อยๆเอนร่างไปทางทะเล
ในตอนนี้หวีหรูเจี๋ยที่ถูกลมทะเลพัดผ่านอยู่ชั่วครู่ก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา เด็กๆก็เดินออกมาจากห้องโดยสาร
เรื่องราวเมื่อครู่นี้ทำให้พวกเขาตกใจแล้ว ไม่ว่าจะฝ่ายไหน พวกเขาล้วนไม่สามารถเอนเข้าข้างได้ เรื่องราวของผู้ใหญ่ พวกเขาไม่มีหนทางในการจัดการ ยิ่งไม่มีพลังในการพูดอะไร
“หม่ามี๊……” จิ่วจิ่ววิ่งเหยาะๆมาถึงข้างกายกู้ฮอน มือเล็กๆกอดหมับเข้าที่ขาของเธอแน่น “เมื่อตะกี้นี้จิ่วจิ่วกลัวมากเลย”
ถัดมาก็เป็นเฉิงเฉิงและหยางหยางที่มาถึงข้างกายเธอ
กู้ฮอนหันหน้าไปมองเด็กๆสามคน “ลูกรัก ไม่ต้องกลัวนะคะ มีคุณแม่อยู่ พวกลูกจะต้องได้กินอิ่ม พวกเรามาส่งคุณยายเดินทางไกลด้วยกันเถอะนะ”