เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 909 ต่อยหมัดใส่กัน
บทที่ 909 ต่อยหมัดใส่กัน
เป่หมิงโม่ดิ้นออกจากฉิงฮัว เดินเข้าไปหาเป่หมิงยี่เฟิง ชี้นิ้วที่จมูกของเขาพูด : “ พ่อของฉันตายยังไง นายถึงยังเอาฆาตกรที่ฆ่าพ่อเข้ามาในบริษัทเป่หมิงของเรา นายพูดจากปากเองว่าท่านรักนายมากที่สุด แต่สุดท้าย สิ่งที่นายทำกลับทำให้ท่านเสียใจที่สุด นายยังกล้ามาพูดว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลเป่หมิงอย่างไร้ยางอายแบบนี้ แต่สิ่งที่นายทำกลับเป็นเรื่องที่ทำร้ายตระกูลเป่หมิงทั้งสิ้น ! ”
ณ เวลานี้ สีหน้าของเป่หมิงยี่เฟิงก็ได้เปลี่ยนไป เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเป่หมิงโม่เลยสักนิด : “ อาพูดให้ชัดเจนหน่อย ผมเป่หมิงยี่เฟิงกล้าพูดจากใจ ว่าผมไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อตระกูลเป่หมิงและคุณปู่เลยสักครั้ง ส่วนผมจะพาใครมาที่นี่ มันก็เป็นสิทธิ์ของผม คุณอาพูดเองว่าnotenเป็นฆาตกรที่ฆ่าคุณปู่ ไหนหล่ะหลักฐาน ? ดูเหมือนว่าตอนนั้นที่สรุปคดี เขาถูกปล่อยตัวด้วยไร้ความผิดนะครับ อารอง รบกวนคราวหลังถ้าจะกล่าวหาใครขอให้มีหลักฐานให้แน่ชัดก่อนด้วย ”
“ ผว๊ะ ………. ”
เสียงหมัดที่หนักดังขึ้น เป่หมิงโม่ได้ต่อยเข้าที่หน้าของเป่หมิงยี่เฟิงอย่างจัง ทันใดนั้นเลือดของเขาก็ได้หลายออกมาทันที
“นายมันลูกหลานอกตัญญูของตระกูลเป่หมิง หมัดนี้ฉันชกเพื่อพ่อของฉัน และท่านปู่ของนายเอง ! ”
***
เป่หมิงโม่ได้ชกเข้าหน้าของเป่หมิงยี่เฟิงจนเขาไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งชกไปอย่างโหด ขนาดเป่หมิงเฟยหย่วนที่นั่งข้างๆเป่หมิงยี่เฟิงยังไม่ทันเข้ามาห้าม
เป่หมิงยี่เฟิงรู้ถึงแต่ว่าในตาเห็นแต่ดาวหมุนไม่หยุด สมองเบลอไปทันที เขาถอยหลังไปสองสามก้าวถึงจะยืนนิ่งได้
เป่หมิงเฟยหย่วนรีบเข้าไปพยุงลูกไว้ ถามอย่างตื่นเต้น : “ ยี่เฟิง นายไม่เป็นไรใช่มั้ย ? ”
เป่หมิงยี่เฟิงราวกับเสือน้อยจ้องหน้าของเป่หมิงโม่อย่างดุร้าย เขาปัดมือของพ่อตัวเองออก หลังจากนั้นก็ใช้หลังมืออีกข้างเช็คเลือดที่ปากออก
หลังจากนั้นก็ถุยฟันออกมาจากปากซีกนึงลงบนพื้น
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอึ้งตามๆกัน ไม่มีใครเคยเห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
โดยเฉพาะที่เห็นเป่หมิงโม่ที่ลงไม้ลงมือแบบนี้ นี่ขนาดลงมือกับคนในครอบครัวยังโหดขนาดนี้ ทำให้คนเห็นแล้วก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
การประชุมวันนี้เห็นทีจะประชุมต่อไม่ได้ซะแล้ว นี่เป็นเรื่องครอบครัวของตระกูลเป่หมิงเอง คนนอกก็อย่าเข้าไปยุ่งจะดีสุด
ต่างก็ลุกจากที่นั่ง เดินหนีออกจากห้องประชุมไปโดยไม่พูดไม่กล่าว
ไม่นาน ในห้องก็หรือแต่เป่หมิงโม่ กู้ฮอน ฉิงฮัว เป่หมิงยี่เฟิงและเป่หมิงเฟยหย่วน
ตั้งแต่ที่เป่หมิงโม่ได้ชกเข้าที่หน้าของเป่หมิงเฟิงอย่างจัง ฉิงฮัวก็รู้ว่าจะปล่อยให้เจ้านายตัวเองชกต่อไปแบบนี้ไม่ได้แล้ว เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีห้ามปรามเจ้านายของตัวเองไว้ : “ เจ้านาย มีอะไรคุยกันดีๆก่อนครับ อย่าถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยครับ ยังไงก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน จะได้ไม่กระทบความสัมพันธ์กัน ”
ในเวลานี้ กู้ฮอนเองก็อึ้งไปตามกัน เผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่รู้ควรทำยังไงดี หรือจะพูดว่า ตอนนี้เธอไม่มีความสามารถที่จะช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เลยก็ว่าได้
สำหรับเรื่องการตายของท่านปู่เป่หมิง เป่หมิงโม่แน่ใจมาตลอดว่าเป็นฝีมือของถังเทียนจื๋อแน่นอน และเรื่องนี้เธอเองก็พอรู้บ้าง สุดท้ายก็เป็นเพราะไม่มีหลักฐานที่ชี้ไปทางถังเทียนจื๋อได้ เลยถูกปล่อยตัวออกมาโดยไร้ความผิด
แต่เป่หมิงโม่ก็ยังติดใจกับเรื่องนี้มาตลอด
วันนี้เป่หมิงยี่เฟิงถือว่าโดนหาที่เอง
เป่หมิงโม่ต่อยหน้าของเป่หมิงยี่เฟิง โดยที่ยังไม่หายโกรธ และพอมองหน้าของเขาแล้วยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธมากขึ้น : “ นายอย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ว่าที่นายได้ตำแหน่งผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองของบริษัทมาได้ยังไง คนที่อยู่เบื้องหลังของนายทำไมต้องยอมให้นายขึ้นมานั่งตำแหน่ง ? ส่วนพวกเขาจะมีเป้าหมายอะไร นายรู้งั้นเหรอ ”
คำพูดนี้ ทำให้เป่หมิงเฟยหย่วนจากที่อยากจะช่วยลูกชายแก้ตัวกลับพูดไม่ออก เรื่องทั้งหมดนี้ เขาเป็นตัวจุดชนวน
แต่เป่หมิงยี่เฟิงไม่ยอมเลิกรา : “ พวกเขาจะช่วยผมแล้วยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะอาแย่งหุ้นจากพ่อของผมไป และยังไล่พ่อออกจากตระกูลเป่หมิงไป คุณอาจะได้ขึ้นมานั่งตำแหน่งประธานได้งั้นเหรอ ? ที่ผมต้องทำแบบนี้ ก็เพื่อจะทวงคืนสิ่งที่อาเอาจากพ่อไป ส่วนพวกเขา ก็แค่เห็นความไม่ยุติธรรมเลยคิดช่วยผม ถ้าจะว่าพวกเขาเห็นแก่ผลประโยชน์ งั้นก็คงต้องเป็นเรื่องหลังจากผมทวงคืนบริษัทเป่หมิงมาได้ก่อน”
“ เป่หมิงยี่เฟิง นี่นายอ่านหนังสือมากไปจนโง่ไปแล้วใช่มั้ยเนี่ย นายคิดว่าพวกเขาหวังแค่เงินที่นายแบ่งให้เล็กๆน้อยๆหลังจากที่นายขึ้นนั่งตำแหน่งงั้นเหรอ ? พวกเขาสามารถทำให้นายขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นคนที่สองได้ หลังจากที่นายยืดอำนาจบริษัทได้ พวกเขาก็สามารถทำให้นายตกอับไม่มีเงินติดตัวสักบาทได้เหมือนกัน พอถึงตอนนั้น นายลองคิดดู บริษัทเป่หมิงยังจะเป็นของนายอยู่หรือเปล่า และพอถึงตอนนั้น นายจะไปสู้หน้าบรรพบุรุษได้ยังไง ! ”
คำพูดพวกนี้ ไม่มีคำไหนที่เป่หมิงโม่ไม่ได้พูดจากใจจริงเลย เมื่อก่อน เขาไม่จำเป็นต้องพูดพวกนี้ เพราะมีเขาเป็นคนคุ้มตระกูลเป่หมิงอยู่ เขาจะไม่ปล่อยให้คนพวกนั้นได้สมหวังแน่
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาไม่ได้คุ้มบริษัทเป่หมิงอีกต่อไป เขาจำเป็นต้องพูดทุกอย่างออกมาให้หมด ไม่เพียงแค่พูดให้เป่หมิงยี่เฟิงฟัง ยังตั้งใจพูดให้กู้ฮอนฟังด้วย
แต่เป่หมิงยี่เฟิงไม่ได้คิดอย่างนั้น
***
เป่หมิงยี่เฟิงยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา : “ อารองครับ ผมว่าไม่ใช่ผมที่มีปัญหา แต่เป็นอาที่มีปัญหาต่างหาก ถ้าหากเป็นอย่างที่อาพูด คุณอาเห็นบริษัทเป่หมิงสำคัญขนาดนั้นจริง ทำไมยังต้องยกตำแหน่งให้กับกู้ฮอนไปหล่ะ ? ”
“ นายก็แค่หัวหน้าแผนก ฉันยังไม่ต้องรอให้นายมาสั่งการ เรื่องนี้เป็นอันตกลงเช่นนี้ ” พูดจบ เขาใช้นิ้วชี้ที่เป่หมิงเฟยหย่วนพ่อลูกไว้ : “ถ้าพวกนายคิดหวังดีกับบริษัทเป่หมิงจริงแล้วละก็ งั้นก็ดูแลแผนกของพวกนายให้ดีๆ อย่าสร้างเรื่องยุ่งยากขึ้นมาอีก และอีกอย่าง อยู่ห่างจากคนพวกนั้นเอาไว้ด้วย ไม่ว่าฉันจะเตือนในฐานนะการเป็นประธานหรือคนในตระกูลเป่หมิงก็ตาม และนี่คือการเตือนสำหรับพวกนาย เลิกประชุมได้ ! ” หลังเป่หมิงโม่พูดคำสุดท้ายจบ แล้วหันมามองกู้ฮอนแล้วจากไป
*
“ แหมๆ …… ไม่นึกว่าหลังประชุมเสร็จนายจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ดูถ้าแล้ว การเข้าร่วมการประชุมระดับสูงของบริษัทเป่หมิง ยังต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของชีวิตอีกด้วยซินะ นายแน่ใจเหรอ ว่าบริษัทเป่หมิงเป็นแค่บริษัททำอสังหาริมทรัพย์เฉยๆน่ะ ? ” ใบหน้าของถังเทียนจื๋อที่มีรอยยิ้มแล้วมองหน้าเป่หมิงยี่เฟิงที่กำลังใช้น้ำแข็งประคบหน้าอยู่
เป่หมิงยี่เฟิงหันไปมองเขาที ตอนนี้เขายังมีอารมณ์โกรธอยู่ และวันนี้ที่เขาถูกชกสาเหตุก็มาจากเขา : “ ฉันยังไม่อยากเจอหน้านายตอนนี้ ”
ถังเทียนจื๋อยิ้มแล้วพยักหน้า : “ ok นั้นฉันก็จะไม่อยู่รบกวนแล้วกัน ” ถังเทียนจื๋อหันเดินจากไป
ฉิงฮัวมองกู้ฮอนที่นั่งตรงข้าง เห็นสีหน้าเธอยังเศร้าไม่เปลี่ยน คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อกี้เลยทำให้เครียด
“คุณหนูครับ อย่าโกรธเจ้านายเลยครับ ผมว่าท่านทำแบบนี้ คงมีเหตุผลของท่านเองนะครับ ”
กู้ฮอนพูดขึ้นเสียงเบา : “ เขาจะมีเหตุผลอะไรได้ วันนี้ที่ประชุมนายก็เห็นหมดแล้วหนิ พวกเขาต่างก็ไม่ชอบขี้หน้าฉัน อยากหาแต่เรื่อง คนอย่างพวกนี้จะคุ้มอยู่ได้ยังไง พวกเขาต่างก็เป็นคนเก่งกาจการทั้งนั้น ไม่ใช่เด็กๆ ขอแค่คุณครูในโรงเรียนอนุบาลพูดอะไร พวกเขาก็จะเชื่อฟังอย่างดี เป่หมิงโม่เอาคนพวกนี้มากโยนกองไว้ที่นี่ เขานี่สิกลับทำตัวสบายเหมือนคนนอก ทิ้งภาระให้กับเธอคนเดียว ”
แต่ก็ถูกกู้ฮอนเดาถูก เป่หมิงโม่หลังได้ขับรถออกจากบริษัทแล้ว อย่างแรกก็คือไปที่จุดนัดพบ———-บาร์ Zeus.
บนเวที มีเสียงดนตรีที่มีจังหวะอย่างแรงมัน ผู้หญิงที่แต่งตัวสุดแสบเย้ายวนใจสองคนกำลังเต้นเหมือนสายน้ำที่พริ้วไหว
ข้างล่างของเวที ผู้คนที่มึนเมาเต้นอยู่ใต้แสงไฟและเสียงดนตรีอย่างมีความสุข
หันไปมองเป่หมิงโม่ที่ยืนอยู่ประตูนอกห้อง แล้วหันกลับมามองป่ายมู่ซีที่กำลังนั่งไขว่ห้างจีบเหล้าอยู่พูด : “ นี่ร้านของนายเปิดทำการกลางคืนมาตลอดไม่ใช่หรือไง ทำไมวันนี้ถึงเปิดตั้งแต่หัวค่ำได้ ”
ป่ายมู่ซีนั่งตัวตรงขึ้นมา แล้ววางเหล้าไว้บนโต๊ะ:“ มีใครกำหนดว่าผับต้องเปิดได้แต่เฉพาะกลางคืนอย่างเดียวงั้นเหรอ ? มีเงินกองอยู่ตรงหน้าไม่เอาก็โง่สิ วันนี้ เป็นนักศึกษาที่เหมาร้านที่นี่ ” พูดจบเขาก็เต้นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ต่อจากนั้นก็สูบลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำท่าเหมือนหลงไหลกับมัน :“อืม …….รองสูดอากาศดู นี่ก็คือกลิ่นไอของวัยรุ่น ”
“แต่เสียดายจังชีวิตวัยรุ่นของเราไปแล้วก็ไม่กลับมาเลย ”ชูหยุนเฟิงพูดถึงนี่ ก็รู้สึกเศร้าใจ
“ หยุนเฟิง นายไปแจมอะไรกับคนอื่นด้วย นายเคยมีชีวิตวัยรุ่นกับเขาด้วยเหรอ ฉันจำได้ว่าเหมือนนายจะไม่ได้เรียนดีๆ ก็ไปทำงานเป็นผู้จัดการที่บริษัทของพ่อนายแล้วไม่ใช่เหรอ ” ป่ายมู่ซีหัวเราะแล้วมือกำเมล็ดทานตะวันโยนไปที่เขา
ชูหยุนเฟิงแกล้งทำเป็นหน้าทุกข์ : “ เรื่องที่ไม่อยากให้เอ่ยถึง นายก็ชอบเสนอพูดจังนะ นี่เป็นเรื่องทุกข์ที่สุดของชีวิตฉันเลยนะ เดิมทีฉันควรจะเป็นคนที่จิตใจงดงาม แตกลับถูกเงินทองครอบงำ ”
***
ป่ายมู่ซีกับชูหยุนเฟิงอยู่ด้วยกันสองคน ก็ชอบเปิดฉากว่าร้ายใส่กัน
จนถึงสุดท้าย สายตาของทั้งสองคนหันไปมองที่เป่หมิงโม่ : “ เฮ้ย หมิงโม่ วันนี้เราสองคนได้เห็นจากทีวีแล้วนะ นี่นายเอาจริงเหรอ ที่ยกบริษัทเป่หมิงให้กับเธอน่ะ ? ”
เป่หมิงโม่ได้โยนถั่วลิสงที่อยู่ในมือใส่ปาก สีหน้าดูเรียบเฉยเป็นธรรมชาติมาก :“แน่นอนสิ นายคิดว่าฉันมีเวลาว่างมากที่มาล้อเล่นกับพวกเขางั้นเหรอ ”
“นี่ถึงเรียกว่ากล้าได้กล้าเสีย ! ” ชูหยุนเฟิงและป่ายมู่ซีพูดขึ้นพร้อมกัน แล้วยกนิ้วโป้งให้เขา
หลังชูหยุนเฟิงพูดจบ ใบหน้าก็มีรอยยิ้มร้ายกาจขึ้น :“ดูท่าแล้ว ต่อจากนี้นายคงต้องเกาะผู้หญิงกินแล้วหล่ะ นี่นายถึงกับยกบริษัทใหญ่โตให้กับเธอขนาดนี้แล้ว เธอไม่ได้แสดงท่าทีอะไรต่อนายหน่อยเลยเหรอ ? ”
เป่หมิงโม่ยื่นมือชกไปที่ชูหยันเฟิงทีนึง : “ พูดบ้าอะไร อะไรเรียกว่าเกาะผู้หญิงกิน นี่นายรู้มั้ยฉันทำแบบนี้มันเสี่ยงแค่ไหน ส่วนกู้ฮอน เธอนอกจากจะกลอกตาขาวใส่ฉันไปหลายที ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรอย่างอื่น ”
“ หึ ไม่นึงเลยว่าเธอจะหยิ่งยโสขนาดนี้ ถ้าเป็นฉันแล้วละก็ คงต้องตอบแทนคุณอย่างดี ” นี่เป็นเสียงของซูยิ่งหวั่น
ไม่รู้ว่าเธอมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอยื่นอยู่ที่หน้าประตู
วันนี้ เธอใส่ชุดกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนๆ ที่เอวมีเข็มขัดที่เป็นดอกโบตั๋นติดอยู่ ใช้ผ้าตาข่ายทำเป็นดอกที่กำลังบาน
และคู่รองเท้าส้นสูงที่เป็นสีเดียวกัน
มือที่เรียวยาวยกถาดไว้ใบนึง บนนั้นมีค็อกเทลสี่แก้วที่ยกมาจากเคาน์เตอร์ปาร์
“โอ้โห ! ซูยิ่งหวั่นดาราเบอร์ใหญ่ของเรา ได้มาเป็นเด็กเสริฟ์เหล้าที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? จะรอให้เถ้าแก่ป่ายมู่ซีอัพตำแหน่งให้เป็นเถ้าแก่เนี๊ยะเมื่อไหร่ดี ? ”
ชูหยุนเฟิงรู้ว่าความสัมพันธ์บางๆของเธอระหว่างเป่หมิงโม่กับป่ายมู่ซีดี คำพูดเมื่อกี้ของเธอ ทำให้สีหน้าของทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขาเลยรีบพูดขึ้น
ซูยิ่งหวั่นไม่ได้สังเกตถึงจุดนี้ เธอเดินเข้ามา ใบหน้ายิ้มไว้ : “ คุณชูหยุนเฟิง คุณนี่ช่างล้อเล่นเก่งจริงๆ คุณป่ายมู่ซีจะชอบคนในวงการอย่างพวกเราได้ยังไงกัน ”
คงเป็นเพราะคราวนี้ถือว่าได้ออกจากบริษัทเป่หมิงอย่างแท้จริง ภาระอันหนักหน่วงได้ปล่อยวางลงสักที รู้สึกผ่อนคลายทั้งคน
เขาเงยหน้าขึ้นมามองซูยิ่งหวั่นทีนึง ณ ขนาดนี้ เธอก็เพิ่งล้อเล่นกับชูหยุนเฟิงเสร็จแล้วสายตาหันมามองที่เป่หมิงโม่พอดี