เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 158 ความคิดถึงทรมานที่สุด
นับตั้งแต่เขาตัดสินใจช่วยเหลิ่งรั่วปิงหนีไปจากวิหาร อาเธอร์ก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะรอดพ้นสายตาเหยี่ยวของซือคงอวี้ได้ อีกทั้งเขาเองก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ดังนั้น วินาทีที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน เขากลับนิ่งงัน ภายในใจรู้สึกแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขากระเสือกกระสนลุกขึ้น คุกเข่าใหม่อีกครั้ง “ชีวิตของอาเธอร์ เจ้าวิหารเป็นคนช่วยเอาไว้ หลายปีที่ผ่านมานี้อาเธอร์พึ่งพิงวิหารในการมีชีวิตรอด ดังนั้นชีวิตของอาเธอร์เจ้าวิหารสามารถทวงคืนได้ตลอดเวลาครับ”
ซือคงอวี้กำหมัดแน่น นิ้วมือของเขาซีดขาว ริมฝีปากบางแสยะยิ้มเกรี้ยวกราด เขานึกถึงคำพูดของเหลิ่งรั่วปิง เธอบอกว่าสามารถยกชีวิตของเธอให้กับเขาได้ แต่เธอกลับไม่สามารถยกหัวใจให้ไม่ได้ “ทำไมพวกนายทุกคนถึงยอมยกชีวิตให้ฉัน แต่กลับ…” เสียงของเขาเย็นยะเยือกด้วยความเจ็บปวด “แต่กลับไม่ยอมให้ใจฉัน!”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ เจ้าวิหาร หัวใจของผมซื่อสัตย์ต่อเจ้าวิหาร แต่ของเหลิ่งรั่วปิงเป็นข้อยกเว้น”
“เพราะฉันใจร้ายกับเธอเหรอ เธอถึงต้องหนีฉันไปแบบนี้”
“เปล่าครับ เธอเคยบอกว่า เธอจะระลึกถึงสิ่งดีๆ ของเจ้าวิหารไปตลอดชีวิต” อาเธอร์นิ่งสงบราวกับเป็นหุ่นแกะสลัก “เหลิ่งรั่วปิงแค่อยากจะมีชีวิตเหมือนคนธรรมดาๆ ดังนั้น เจ้าวิหารได้โปรดปล่อยเธอไปเถอะครับ”
“ปล่อยเธอไป?” ซือคงอวี้คลี่ยิ้ม รอยยิ้มของเขาทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว เหมือนรอยยิ้มของทูฑูตนรก “ปล่อยเธอไป แล้วใครจะเป็นคนปล่อยฉัน!”
เขามีชีวิตอยู่ในวิหารที่เย็นยะเยือกนี้มานานกว่ายี่สิบเจ็ดปี เธอเป็นที่พึ่งทางจิตใจและความอบอุ่นของเขา ปล่อยเธอไป แล้วจะให้เขามีชีวิตต่อไปอย่างไรยังไง
“บอกมา เหลิ่งรั่วปิงหนีไปไหน” แววตาของซือคงอวี้สาดประกายอำมหิต อยากจะมองอาเธอร์ให้ทะลุปรุโปร่ง
อาเธอร์ก้มหน้าลง รอคอยความตายอย่างเงียบๆ สำหรับเขาแล้ว ความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
“ไม่บอก?” ซือคงอวี้หลับตาลงอย่างอดกลั้น ใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราดไปด้วยความโกรธเคือง “ถ้าอย่างนั้นนายไปลิ้มรสการลงโทษทั้งสิบอย่าง จนกว่านายจะยอมบอกว่าเหลิ่งรั่วปิงอยู่ที่ไหน!”
“ครับ เจ้าวิหาร”
ไม่รอให้ซือคงอวี้สั่งให้คนมาจับตัว อาเธอร์ลุกขึ้น เดินไปด้านหลังวิหาร เพื่อไปยังคุกที่อยู่ส่วนลึกในวิหาร
หลังจากที่อาเธอร์ออกไป ห้องโถงกว้างใหญ่นี้เหลือแค่ซือคงอวี้เพียงคนเดียวกลับยิ่งกับรู้สึกโดดเดี่ยว เปล่าวเปลี่ยวและทุกข์ใจ ถ้าไม่มีเธออยู่ วิหารแห่งนี้ก็ไม่ต่างกรงทอง ที่กักขังเขาไปตลอดชีวิต
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง ซือคงอวี้หันหลัง มองดูที่นั่งทองคำแสนหรูหรา เขาพูดพึมพำ “รั่วปิง สักวันหนึ่งคุณต้องเห็น วันที่ผมหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหมด วันที่ผมและคุณมีชีวิตที่เป็นอิสระ ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องหนีไป!”
*****
กลางดึกของเมืองหลง หิมะสีขาวโปรยปรายตกโปรยปราย หิมะขาวโพลนตกกระจายขาวโพลนไปทั่วเต็มพื้น ก่อให้เกิดเสียงซู่ๆ
วิลล่าหย่าเก๋อ โคมไฟสีเหลืองนวลตรงข้างถนนทำให้หิมะที่ตกลงมาดูนุ่มนวล พ่อบ้านถือร่มสีดำคันใหญ่ เดินลัดเลาะผ่านพื้นหิน ล็อกคประตูวิลล่า จากนั้นหมุนตัวหันหลัง เงยหน้าขึ้นมองบนชั้นสองด้วยความเคยชิน ไฟในห้องนอนยังคงเปิดสว่าง คุณชายเยี่ยนอนไม่หลับอีกแล้ว
“เฮ้อ!” พ่อบ้านถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมา แล้วกลับไปที่บ้านของตน ตั้งแต่คุณเหลิ่งไปจากเมืองหลง วิลล่าหลังนี้ก็เงียบเหงามาก ไม่เคยมีรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณชายเยี่ยอีกเลย เขาอยากให้ผู้หญิงคนนั้นรีบกลับมา เพื่อทำให้วันเวลาที่แสนเศร้านี้จบลงสักที
หนานกงเยี่ยยังคงเป็นเหมือนที่ผ่านมา นอนพิงอยู่บนเตียง กอดหมอนและผ้าห่มที่เหลิ่งรั่วปิงเคยใช้ เขายังคงคิดถึงเธอเหมือนเดิม เมื่อก่อนเขาคิดถึงการสูญเสียเธอ ทว่าเวลานี้ความคิดถึงของเขาล่องลอยไปยังประเทศเอ้าตูแล้ว
เพราะไม่ได้ปิดม่าน แสงสว่างของไฟในห้องส่องสะท้อนไปยังกระจกบานใหญ่ แสงไฟในห้องส่องสะท้อนกัน มองเห็นหิมะที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟที่สลับไปมาเป็นพักๆ
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยหยิบรีโมตทขึ้นมา เขายกมือขึ้นเล็กน้อย กำลังจะปิดไฟในห้อง ทว่ากลับมองไปยังหิมะนอกหน้าต่างอย่างไม่ตั้งใจ
หิมะตกแล้ว! เขาจำได้ว่าเหลิ่งรั่วปิงชอบหิมะมาก หิมะแรกเมื่อปีที่แล้ว เขาอยู่กับเธอ นั่นเป็นคืนก่อนที่พวกเขาจะเลิกกันครั้งแรก คืนนั้นเขาโมโหจนระเบิดอารมณ์ใส่ให้เธอ ทั้งยังกัดหัวไหล่ของเธอจนเลือดออก หวนคิดดูแล้ว ภาพความทรงจำในคืนนั้นไม่ดีเท่าไรหร่
หนานกงเยี่ยรีบหยิบแท็บเล็ตออกมา ตรวจเช็คสภาพอากาศของประเทศเอ้าตู คืนนี้เมืองหลวงของประเทศเอ้าตูก็มีหิมะตกเหมือนกัน ประเทศเอ้าตูอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลง เวลานี้จึงก็เป็นช่วงกลางดึกเช่นหมือนกัน
เขาวางแท็บเล็ตลง เดินไปยังหน้าต่าง มองดูหิมะที่โปรยปรายลงมา และพื้นที่ขาวโพลน ความเจ็บปวดปะทุขึ้นมาในใจของเขา
ในคืนที่เหน็บหนาวแบบนี้ เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนขี้หนาวมาก เธอจะรักษาความอบอุ่นของร่างกายอย่างไรยังไง ขดตัวอยู่ในผ้าห่มคนเดียว หรือว่าอยู่ในอ้อมกอดของใคร
ไม่ นอกจากอ้อมกอดของเขาแล้ว ใครก็ไม่สิทธิ์มาแทนที่!
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เขาเดินวนไปมาด้วยความเคร่งเครียด โดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ทำได้เพียงหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ หวังว่ามันบุหรี่จะช่วยบรรเทาความกังวลของเขาได้ ทว่าควันสีเทาที่ลอยฟุ้งขึ้นมานี้กลับไม่ช่วยปลอบประโลมเขา ในทางกลับกันเขากลับยิ่งรูู้สึกเครียด มีแต่ความภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล
สุดท้าย จึงบี้บุหรี่อย่างแรงเข้ากับที่เขี่ยบุหรี่ เดินสาวเท้าก้าวใหญ่กลับไปที่เตียง หยิบโทรศัพท์ออกมา อยากโทรไปหาเธอ อยากฟังเสียงของเธอ ก่วนอวี้ได้เบอร์โทรศัพท์ของเหลิ่งรั่วปิงที่ประเทศตูเอ้าตูมานานแล้ว เขาบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเธอเป็นเบอร์แรก
หนานกงเยี่ยจ้องมองดูเบอร์โทศัพท์ของเธอบนหน้าจอโทรศัพท์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้ากดโทรหาเธอ เหลิ่งรั่วปิงคิดว่าเขาตนยังไม่รู้ ดังนั้นเธอจึงอยู่ที่ประเทศเอ้าตู ถ้าหากเขาตนโทรไปรบกวนเธอ หนานกงเยี่ยกลัวว่าเหลิ่งรั่วปิงจะหนีไปอีกครั้ง
หนานกงเยี่ยคิดวนไปมาด้วยความฟุ้งซ่าน เขารู้สึกปวดหัวเหมือนมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจโทรหาก่วนอวี้
“คุณชายเยี่ย?” ก่วนอวี้คุ้นชินกับการถูกหนานกงเยี่ยปลุกกลางดึกแล้ว น้ำเสียงของเขาจึงไม่มีความตกใจ
หนานกงเยี่ยฝากความหวังสุดท้ายเอาไว้กับก่วนอวี้ “ก่วนอวี้ ส่งคนไปดูหน่อย ดูว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่”
ก่วนอวี้มองดูนาฬิกาบนผนังห้อง เขาลังเลเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็ตอบตกลง เพราะเขารู้ดีว่าหนานกงเยี่ยรู้สึกยังเช่นไรไง เขาคิดถึงเหลิ่งรั่วปิงมาก ถ้าไม่ได้ข่าวคราวของเหลิ่งรั่วปิง คืนนี้คงนอนไม่หลับ
หลังจากวางสายจตากก่วนอวี้ หนานกงเยี่ยเดินกลับไปริมหน้าต่างอีกครั้ง มองดูหิมะที่ตกหนักเรื่อยๆ หัวใจของเขาก็ล่องลอยออกไปพร้อมกับหิมะ
*****
เป็นไปตามที่หนานกงเยี่ยกังวล เหลิ่งรั่วปิงขดตัวอยู่บนเตียง เธอนอนหลับไม่สนิท
เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนขี้หนาว ในคืนที่อากาศหนาวแบบนี้ เธอคิดถึงอ้อมกอดของเขา หลังจากที่เธอตัดสินใจตัดสินไปจากเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอคิดถึงกลิ่นของเขา คิดถึงความอบอุ่นจากชายหนุ่ม และความอบอุ่นยามได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาของเขา คิดถึงความรู้สึกอบอุ่นตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา
แต่เธอรู้ดี นี่เป็นแค่การคิดถึงคนคนๆ หนึ่งตามสัญชาตญาณของมนุษย์เท่านั้น เพราะคนเราจะคิดถึงช่วงเวลาที่มีความสุข ยามตอนที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวลำพัง คนเรามักจะคิดถึงช่วงเวลาที่มีความสุขคนเดียว แต่นี่ไม่ได้มีความหมายอะไร สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่อาจสามารถย้อนกลับไปได้อีก เส้นทางของชีวิตมีไว้เดินไปข้างหน้า ไม่ได้มีเอาไว้หันหลังกลับ
เหลิ่งรั่วปิงนอนไม่หลับ เธอลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับเอาผ้าห่มมาห่อตัวเอาไว้ มองดูหิมะนอกหน้าต่างที่กำลังตกลงมาท่ามกลางความมืด
ก๊อกๆๆ
ประตูห้องถูกเคาะกลางดึก แม้เธอจะเคยชินกับเสียงเคาะประตูนี้ แต่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เหลิ่งรั่วปิงคิดว่าคนที่มาคือไซ่ตี้จวิ้น เธอจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูโดยไม่ทันได้คิดอะไร ด้านนอกประตูมีหญิงสาวหน้าตาดียืนอยู่คนเอาไว้หนึ่งคน เธอสวมชุดพนักงานบริการ “สวัสดีค่ะ คุณฉู่ ฉันชื่อเสี่ยวอู๋เป็นพนักงานบริการพิเศษค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณ คืนนี้หิมะตกหนักมาก อุณหภูมิก็ลดลง ฉันเลยมาตรวจสอบสายทำความร้อนใต้พื้นของห้องคุณค่ะ ว่าทำงานความร้อนได้ปกติดีหรือเปล่า ถ้าเครื่องมีปัญหาทางเราจะรีบซ่อมแซมให้ทันทีค่ะ”
รอยยิ้มของหญิงสาวดูเป็นมิตร เหลิ่งรั่วปิงจึงคลายความกังวล เธอคลี่ยิ้มเอียงหน้าเล็กน้อย ให้พนักงานเข้ามาในห้อง ความเป็นจริงเธอรู้สึกสงสัยเหมือนกัน คอนโดมีเนียมหรูระดับนี้ ถ้าพนักงานจะตรวจเช็คสายทำความร้อนก็ควรจะที่จะตรวจเช็คก็ควรที่จะตรวจเช็คล่วงหน้าตามพยากรณ์อากาศ ทำไมถึงบุกมาตรวจสอบกลางดึก แต่พนักงานหญิงคนนี้ดูไม่มีพิษไม่มีภัย เธอคิดว่าคงไม่เกิดเรื่องร้ายอะไร จึงปล่อยให้อีกฝ่ายพนักงานหญิงเข้ามาในห้อง เพื่อดูว่าเธอจะทำอะไรกันแน่
พนักงานหญิงเดินวนรอบห้องหนึ่งรอบ ตรวจเช็คสายทำความร้อนใต้ดินด้วยความเงอะงะ ตอนที่สบตากับเหลิ่งรั่วปิงที่ดูเหมือนจะยิ้มและไม่ยิ้มนั้น เธอก็รีบก้มหน้างุดด้วยความร้อนตัว “ค่ะ คุณฉู่คะ ฉันบอกความจริงก็ได้ค่ะ ที่จริงแล้วฉันเป็นคนที่แอบชอบคุณไซ่ค่ะ ฉันอยากเข้ามาดูว่าเขาอยู่หรือเปล่า อยากมาขอลายเซ็นคุณไซ่ค่ะ” หญิงสาวเม้มกัดริมฝีปาก “คุณคงไม่จับฉันส่งตำรวจใช่ไหมคะ”
เหลิ่งรั่วปิงมองดูใบหน้าใสซื่อของหญิงสาว เธอคิดถึงเวินอี๋ขึ้นมา ก็โกรธไม่ลงไม่ว่ายังไงก็ไม่รู้สึกโกรธ เหลิ่งรั่วปิงเพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ “วัยรุ่นทำตามเสียงหัวใจ การยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อความรัก ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร คราวหน้าไม่ต้องมาตามหาไซ่ตี้จวิ้นที่นี่หรอก ฉันเป็นแค่แฟนของเขา ไม่ใช่ภรรยา ดังนั้นไซ่ตี้จวิ้นไม่มีวันมานอนที่นี่ เข้าใจ?”
หญิงสาวพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะๆ คุณฉู่เป็นผู้หญิงที่สวยบริสุทธิ์ รักนวลสงวนตัว ฉันคิดเหลวไหลไปเอง ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“ออกไปเถอะ ฉันจะพักผ่อนแล้ว”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณฉู่”
พนักงานหญิงโค้งตัวทำความเคารพแล้วเดินออกไปจากห้องของเหลิ่งรั่วปิง วินาทีที่ปิดประตูห้อง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบหยิบโทรศัพท์ออกมารายงานก่วนอวี้
*****
หนานกงเยี่ยยืนรอคำตอบตรงหน้าต่าง ในที่สุดก่วนอวี้ก็โทรมา เขารีบรับสายทันที
“คุณชายเยี่ยครับ คุณเหลิ่งอยู่คอนโดคนเดียวครับ ตอนนี้กำลังจะเข้านอนแล้วครับ”
หนานกงเยี่ยรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขารู้สึกโล่งใจมาก แต่แล้วความรู้สึกเศร้าก็ตามมา “ห้องของเธออากาศหนาวไหม”
“คุณชายเยี่ยครับ คุณเหลิ่งพักอยู่ที่คอนโดหรูใจกลางเมือง ห้องของเธอไม่หนาวหรอกครับ”
“อื้ม” ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่หนานกงเยี่ยรู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงต้องหนาวแน่ๆ ตอนที่อยู่ในวิลล่าหย่าเก๋อ อุปกรณ์ให้ความอบอุ่นต่างๆ มีไม่น้อยไปกว่าคอนโด แต่ตอนกลางคืนเหลิ่งรั่วปิงก็ยังคงหนาวอยู่ดี เธอชอบซุกตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขาไม่ยอมปล่อย นอนกอดเขาตลอดทั้งคืน
“ก่วนอวี้ นายช่วยจัดการให้ฉันที พรุ่งนี้ฉันจะบินไปประเทศเอ้าตู”
“คุณชายเยี่ย ช่วงนี้หิมะตกหนัก สภาพอากาศแบบนี้ทำให้เครื่องบินหยุดบินครับ คุณอดทนรออีกสองสามวันนะครับ” ก่วนอวี้หยุดชะงักไปสองสามวินาที “คุณวางใจเถอะครับ คุณเหลิ่งเป็นผู้หญิงรักนวลสงวนตัว ไม่มีวันยอมรับคุณไซ่ตี้จวิ้นง่ายๆ และตอนนี้เธอก็ยังไม่ใช่ภรรยาของเขา”
ก่วนอวี้รู้ดีว่าหนานกงเยี่ยกำลังคิดอะไร เพราะโตมาด้วยกัน เขาจึงพูดไปตามความจริง
หนานกงเยี่ยไม่ได้โกรธ และไม่ได้รู้สึกอึดอัด เพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ “นายพูดถูก”
เขารู้ดีว่าเธอเป็นผู้หญิงรักนวลสงวนตัว ตอนนั้นที่เธอยอมเอาตัวเข้าแลก ก็เพราะเธอต้องการแก้แค้น
วางตัดสายจากก่วนอวี้แล้ว หนานกงเยี่ยรู้สึกโล่งใจมาก เขาโน้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความสบายใจ ขดตัวอยู่ในผ้าห่ม กอดหมอนที่เหลิ่งรั่วปิงเคยหนุน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลงช้าๆ “เหลิ่งรั่วปิง ฝันดีนะครับ ฝันดีนะครับ เหลิ่งรั่วปิง”
ถ้าถามว่าบนโลกนี้ อะไรคือสิ่งที่ทรมานที่สุด ความคิดถึงคงเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุด