เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 160 คนที่อยู่ในรถยนต์คือใคร
ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมเหลิ่งรั่วปิงได้สำเร็จ ไซ่หย่าเซวียนอดดีใจไม่ได้ ไม่ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะเดินไปไหนเธอก็จะเดินตามต้อยๆไปด้วย ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงเปลี่ยนชุดเธอก็ยืนมองอยู่ข้างๆ
เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนกลัวอากาศหนาว เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่จึงหนากว่าของไซ่หย่าเซวียน เธอสวมเสื้อไหมพรมและเลกกิ้งด้านใน รองเท้าบูทสีดำข้อสั้น ด้านนอกสวมทับด้วยเสื้อขนเป็ดสีขาว พร้อมผ้าพันคอขนแกะสีน้ำตาล ถึงแม้จะใส่เสื้อผ้าเยอะจนตัวบวมไปหมด แต่เธอก็ยังคงสวยมาก
ไซ่หย่าเซวียนมองดูด้วยความอิจฉา ริมฝีปากแดงทำปากจู๋ “หนิงซยา ทำไมเธอนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราแค่แเป๊ปเดียวก็ตื่นมาพร้อมกับเสน่ห์แบบนี้ล่ะ แต่งตัวยังไงก็สวย หรือว่าตอนที่เธอนอนไม่ได้สติมีเทวดามาถ่ายพลังให้เธอ”
เหลิ่งรั่วปิงเม้มปากเล็กน้อย เธอหัวเราะเบาๆ คำถามนี้เธอไม่สามารถตอบไม่ได้ ปล่อยให้ไซ่หย่าเซวียนคาดเดาไปต่างๆ นานา ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงหยิบกระเป๋าขึ้นมา จู่ๆ ไซ่หย่าเซวียนก็ร้องตะโกนเสียงดัง “ว้าว หนิงซยา นิ้วมือของเธอ?”
“พี่ชายของฉันของเธอแต่งงานแล้วเหรอ”
“แค่หมั้นเฉยๆ”
“แล้วเธอตอบตกลงไปแล้ว?”
“ฉันกำลังคิดอยู่”
“?” ไซ่หย่าเซวียนไม่เข้าใจ ทำไมถึงยังอยู่ระหว่างพิจารณา แหวนของพี่ชายเธอเหลิ่งรั่วปิงก็สวมไว้บนนิ้วแล้ว “ไม่ใช่ ฉันไม่เข้าใจ ตอนนั้นคนทั้งเมืองต่างก็รู้ว่าเธอตามจีบพี่ชายของฉัน อีกทั้งเธอยังถูกกู้จือเหาทำร้ายเพราะเรื่องนี้ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้พี่ชายของฉันชอบเธอแล้ว ทั้งรักและทะนุถนอมเธอ ทำไมเธอถึงเล่นตัวล่ะ?”
เหลิ่งรั่วปิงพูดเสียงนิ่งเฉย “ผู้หญิงเล่นตัวเก่งถึงจะมีเสน่ห์”
ไซ่หย่าเซวียนกลรอกตาไปมา เหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ “ก็จริง ดูเธอสิ เมื่อก่อนเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนเกลียด แต่ตอนนี้คนทั้งเมืองต่างอยากจีบเธอ มองเธอราวอย่างกับเป็นนางฟ้า แม้แต่กู้จือเหายังหน้าด้านหน้าทนคอยตามจีบเธอ เธอเล่นตัวแบบนี้ก็มีเหตุผล”
เหลิ่งรั่วปิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เธอรู้สึกตลกมาก “ใช่แล้ว ดังนั้นถ้าเธออยากให้พี่ชายของฉันเป็นฝ่ายตามจีบเธอ เธอก็ต้องเล่นตัวสักหน่อย อย่าเอาแต่ตามติดเขาทั้งวัน”
“อื้มๆๆ” ไซ่หย่าเซวียนพยักหน้า “ครั้งนี้ฉันจะทำตัวเย็นชาให้ถึงที่สุดเลย”
“ทำไมวันนี้เธอถึงแต่งตัวสไตล์เดิมอีกแล้ว?” ขณะที่เหลิ่งรั่วปิงเดินออกไป เธอก็เหลือบมองไซ่หย่าเซวียนอย่างไม่ตั้งใจ
ไซ่หย่าเซวียนทำหน้าบึ้ง “คราวที่แล้วตอนไปบ้านเธอ พี่เทียนรุ่ยหัวเราะเยาะฉัน หาว่าฉันแต่งตัวเลียนแบบเธอ เขารู้สึกว่าฉันพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เขาสนใจ เพื่อให้เขามองมาที่ฉัน หึ ดังนั้นฉันจะไม่เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวแล้ว ฉันจะเป็นตัวเอง”
“อื้ม ฉันรู้สึกว่าเธอยิ่งดูอยู่ก็ยิ่งมีเสน่ห์นะ”
“จริงเหรอ”
“อื้ม เริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ได้เอาแต่หน้ามืดตามัวตามจีบพี่เทียนรุ่ยแล้ว ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ขึ้นมา”
ไซ่หย่าเซวียนยิ้มหวาน ดูเหมือนเธอค่อยๆ เข้าใจเสน่ห์ที่แท้จริงของผู้หญิงแล้ว
ทั้งสองคนเดินลงไปชั้นล่าง เจอเข้ากับกู้จือเหาโดยบังเอิญ เขายังคงดูกะล่อนเหมือนเดิม “หนิงซยา จะไปไหนครับ”
มือทั้งสองข้างของเหลิ่งรั่วปิงซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาว เธอยิ้มบางๆ ไม่ยอมตอบพูด เพราะเธอรู้ว่าตนเองไม่จำเป็นต้องจัดการ
พอไซ่หย่าเซวียนเห็นกู้จือเหา เธอก็พร้อมลุยเต็มที่ นึกถึงเมื่อคราวที่แล้วที่ตนจัดการเขา เลือดลมก็ไหลเวียนดีขึ้นมาทันที “นี่ กู้จือเหา คราวที่แล้วฉันต่อยนายจนหมดสภาพ ไม่เจอกันหลายวัน นายลืมไปแล้วหรือไง”
“ชิ!” กู้จือเหาหัวเราะในลำคอด้วยความดูถูก “อย่าคิดว่าตัวเองเก่งนักเลย คราวที่แล้วถ้าไม่ใช่หนิงซยาช่วยเธอเอาไว้ เธอถูกฉันต่อยจนจำหน้าแม่ตัวเองไม่ได้แล้ว”
“หึ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ฉันว่าคนอย่างนายไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา วันนี้เจ๊จะสั่งสอนนายเอง” ขณะที่พูด ไซ่หย่าเซวียนก็ง้างหมัดขึ้นมาจะต่อยเขา
กู้จือเหาไม่อยากเสียเวลากับไซ่หย่าเซวียน ผายมือขึ้น บอดี้การ์ดสองคนที่อยู่ด้านหลังเดินขึ้นหน้า ใช้เวลาสามวินาทีก็สามารถจับตัวไซ่หย่าเซวียนได้แล้ว
ไซ่หย่าเซวียนร้องตะโกนด้วยความโมโห กู้จือเหาไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย เขายิ้มแล้วเดินไปตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนทำให้เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกขนลุก “หนิงซยา พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงชำเลืองมองหน้าของเขาที่ถือว่ามีความหล่ออยู่บ้าง “เหมือนยังไม่ถึงเวลากินมื้อเย็นนะ”
เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งรั่วปิง กู้จือเหาทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ เขาถูมือไปมาด้วยความดีใจ “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมพาคุณไปดูหนังก่อน หลังจากดูหนังเสร็จพวกเราค่อยไปกินข้าวกัน”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ชอบยืนคุยในอากาศหนาวๆ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “คุณกู้จือเหาคะ งานหมั้นแต่งงานของเราสองคนจบลงไปนานแล้ว ฉันไม่ได้รู้สึกสนใจคุณแม้แต่น้อย อย่ามายุ่งกับฉันเลยค่ะ รีบปล่อยไซ่หย่าเซวียนเถอะ พวกเราจะออกไปข้างนอกกัน”
“หนิงซยา…”
กู้จือเหาอยากจะขอโอกาสอีกสักนิด แต่คำพูดของเหลิ่งรั่วปิงทำให้เขาพูดไม่ออก “คุณกู้จือเหา คุณอยากให้ฉันลงมือเอง?”
ฉู่หนิงซยาคนเดิม เจอเขาทีไรก็ทุกครั้งก็ตกใจกลัวตลอดทุกครั้ง แต่ฉู่หนิงซยาในตอนนี้ มีแต่ความเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม แค่สายตาของเธอก็ทำให้เขารู้สึกกลัว ดังนั้นกู้จือเหาจึงยอมแพ้ ส่งสัญญาณมือให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดรีบปล่อยไซ่หย่าเซวียนทันที
แม้แต่ปลายตามองเขาเหลิ่งรั่วปิงยังขี้คร้านจะมอง เธอเดินตรงไปด้านหน้า ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา อากาศที่หนาวเย็นทำให้หน้าของเธอปวดเล็กน้อย อารมณ์ของเธอก็เริ่มไม่ดีด้วยเช่นหมือนกัน
กู้จือเหาวิ่งตามมาด้วยความไม่พอใจ เขาคว้าข้อมือของเหลิ่งรั่วปิง “หนิงซยา คุณบอกว่าลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ ในเมื่อคุณลืมไปแล้วก็อย่าพูดถึงมันอีกเลย ถ้าคุณตกลง ผมยินดีที่จะแต่งงานกับคุณตอนนี้เลยก็ได้ ตำแหน่งคุณหญิงรองตระกูลกู้เป็นของคุณเท่านั้น”
เหลิ่งรั่วปิงมองมือของกู้จือเหาด้วยความรังเกียจ เธอพูดด้วยเสียงพิฆาต “ปล่อย”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงเตะกู้จือเหาอย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้เธอคือฉู่หนิงซยา ไม่ใช่เหลิ่งรั่วปิง ตอนนี้เธอได้ชื่อว่าเป็นแฟนของไซ่ตี้จวิ้น จึงไม่อยากสร้างปัญหาให้เขา ตระกูลกู้และตระกูลไซ่รู้จักกันมานาน ไม่ว่าอย่างไรยังไงกู้จือเหาก็เป็นคุณชายรองของตระกูลกู้ ควรจะพูดคุยกันมากกว่าใช้กำลัง
“หนิงซยา ผมบอกพี่ตี้จวิ้นแล้ว ผมกับเขาจะแข่งกันอย่างยุติธรรม ผมไม่มีวันยอมถอดใจง่ายๆ”
ความอดทนของเหลิ่งรั่วปิงมีขีดจำกัด มนุษย์เราถ้าเคยชินกับการเป็นคนที่แข็งแกร่ง ความอดทนก็จะมีขีดจำกัด ในเมื่อสามารถจัดการเขาได้ทันที ทำไมต้องเสียเวลาอันมีค่าด้วย อีกทั้งมือสกปรกๆ ของกู้จือเหายังได้จับมือของเธออยู่แล้ว มันทำให้เธอรู้สึกรังเกียจมาก
ดังนั้น เหลิ่งรั่วปิงไม่เปลืองน้ำลายอีก เธอม้วนบิดข้อมือ หลุดจากพันธนาการของกู้จือเหาอย่างชาญฉลาด ตามด้วยกระโดดเตะเข้าที่น่องของเขา
กู้จือเหาร้องเสียงหลง คุกเข่าลงกับพื้น เขาเจ็บจนเหงื่อตกแตก “ฉู่หนิงซยา เธอมันผู้หญิงบ้า ชอบลงไม้ลงมือทำร้ายคนอื่น นอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราสามปี ทำให้เธอกลายเป็นอันธพาลไปแล้วหรือไง”
เหลิ่งรั่วปิงทำหน้านิ่ง คร้านจะปรายตามองเขา เธอยากจะรีบไปจากที่นี่ แต่ไซ่หย่าเซวียนกลับหัวเราะด้วยความสะใจ “กู้จือเหา คนอย่างนายคิดที่จะมาแข่งกับพี่ชายของฉัน ทำไมไม่กลับบ้านไปส่องกระจกดูสภาพตัวเองก่อน นายมีอะไรมาเป็นคู่แข่งพี่ชายฉันได้?”
“ไซ่หย่าเซวียน วันนี้ฉันจะสั่งสอนเธอเอง”
กู้จือเหาหันหน้าไปมองบอดี้การ์ด บอดี้การ์ดเข้าใจคำสั่งทันที รีบจับตัวไซ่หย่าเซวียนเอาไว้ เหลิ่งรั่วปิงไม่อยากเสียเวลาท่ามกลางอากาศหนาวๆ แบบนี้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงกระโดดเตะบอดี้การ์ดทั้งสองคน จนทั้งคู่บอดี้การ์ดทั้งสองคนล้มลงกับพื้น และจนพวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นไม่ได้ชั่วครราว เหลิ่งรั่วปิงจึงหันไปพูดกับไซ่หย่าเซวียนสั้นๆ สามคำพยางค์ “ไปกันเถอะ”
เหลิ่งรั่วปิงหมุนตัวหันหลัง เธอสง่างามเหมือนนางฟ้าที่เดินอยู่ในเมืองหิมะ
เดินไปไม่กี่ก้าว อยู่ๆ เหลิ่งรั่วปิงก็หยุดเดิน เธอรู้สึกถึงความน่าเกรงขามบางอย่าง
ความน่าเกรงขามนั้น รุนแรงมาก ถึงแม้เขาจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ แต่เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นชาและโกรธเคืองของเขา ความน่าเกรงขามนี้ทำให้เธอนึกถึงตอนไปเมืองหลงครั้งแรก มันคล้ายกับความน่าเกรงขามที่แผ่ซ่านออกมาจากหนานกงเยี่ย
หนานกงเยี่ยในตอนนั้น ตัวของเขาแผ่ซ่านไปด้วยความเย็นยะเยือกและสูงสง่า ทำให้คนไม่กล้าดูหมิ่นและไม่กล้าเข้าใกล้ เพียงแต่ในตอนหลัง เธอได้ทำความรู้จักและอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา พอนานวันเข้า เธอก็รู้สึกถึงความน่าเกรงขามนี้น้อยลง แต่เวลาที่เขาโมโหนั้น ยังคงเย็นยะเยือกจนทำให้เธอหนาวสั่น
ใช่เขาหรือรึเปล่า
หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ เธอหมุนตัวหันหลัง มีรถสีดำคันหรูจอดอยู่ไม่ไกล ความน่าเกรงขามนี้แผ่ซ่านออกมาจากรถยนต์คันนั้น ทั้งยังเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต ทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่น
นอกจากหนานกงเยี่ย ไม่เคยมีใครทำให้เธอรู้สึกถึงความน่าเกรงขามและเย็นยะเยือกแบบนี้
คนที่อยู่ในรถเป็นใครมาจากไหน รังสีอำมหิตนี้สื่อถึงใคร
ตอนนี้เธอคือฉู่หนิงซยา ผู้หญิงที่เป็นเจ้าหญิงนิทรามานานกว่าสามปี เพิ่งฟื้นขึ้นมาไม่นาน เธอจำไม่ได้ว่าเคยไปหาเรื่องใครมาบ้าง
หรือว่าจะเป็นกู้จือเหา?
เหลิ่งรั่วปิงที่เวลานี้กลายเป็นฉู่หนิงซยา อยากจะใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่อยากมีเรื่องกับใคร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลัวทุกคน ดังนั้นเหลิ่งรั่วปิงจึงจ้องไปที่รถยนต์คันนั้นด้วยความกล้า อยากมองทะลุเข้าไปในกระจกหนานั่น เธออยากเห็นหน้าคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์
ภายในรถยนต์มีสายตาคู่หนึ่ง แววตานั้นเหมือนเหยี่ยว ตอนที่สบตากับเธอ แววตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง รังสีอำมหิตที่มีก่อนหน้านี้ก็เจือจางลง
เธอมองไม่เห็นเขา แต่เขากลับมองเห็นเธอชัดเจน
เธอเปลี่ยนไปมาก นอกจากใบหน้านั้นที่ไม่ใช่ของเธอแล้ว เหลิ่งรั่วปิงยังตัดผมสั้น ความน่าเกรงขามของเธอก็ลดลงไปมาก เธอยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาว ทำให้เธอบอบบางมาก เขารู้ว่าเธอต้องหนาวมากแน่ๆ เพราะเหลิ่งรั่วปิงกลัวอากาศหนาวที่สุด
หัวใจของหนานกงเยี่ยสั่นเทา เขาอยากวิ่งไปคว้าตัวเธอมากอด แต่เขาทำได้เพียงอดทนเอาไว้
เหลิ่งรั่วปิงจ้องเข้าไปในรถยนต์ครู่หนึ่ง รู้สึกว่ารังสีอำมหิตนั้นจางลง เธอจึงดึงสายตากลับ คิดว่าคงเป็นเพราะตนเองคิดมากจนเกินไป หรือเป็นเพราะเธอยังไม่ลืมเขาจริงๆ หรือ
“เป็นอะไรไป หนิงซยา?” ไซ่หย่าเซวียนถามเหลิ่งรั่วปิงด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางๆ “ไปกันเถอะ”
หลังจากเหลิ่งรั่วปิงและไซ่หย่าเซวียนเดินขึ้นรถ รถขับไกลระดับหนึ่ง แววตาของหนานกงเยี่ยกลับมาเย็นยะเยือกอีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “มันเป็นใคร”
ก่วนอวี้ “กู้จือเหา ลูกชายคนที่สองของประธานบริษัทกู้ซื่อของประเทศเอ้าตูครับ”
“ไปลากตัวมันมา” ทุกคำพูดของหนานกงเยี่ยทำให้เลือดที่ไหลเวียนในร่างกายแทบจะเยือกแข็ง
“ครับ” ก่วนอวี้ไม่กล้ารอช้า เปิดประตูลงจากรถ เดินไปหากู้จือเหา
กู้จือเหาแปลกใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าฉู่หนิงซยาที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทรามานานกว่าสามปี จู่ๆ จะเก่งขนาดนี้ บอดี้การ์ดของเขาฝีมือไม่ธรรมดา แต่กลับถูกเธอเตะจนหงายหลังลงกับพื้น จนยืนไม่ขึ้น
แปลกใจก็ส่วนแปลกใจ แต่ความโหดของเธอทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวเธอมากขึ้น เหลิ่งรั่วปิงดึงดูดเขาได้สำเร็จ
ฉู่หนิงซยา ผมจะต้องครอบครองคุณให้ได้!
กู้จือเหากระตุกริมฝีปาก ยังไม่ทันได้แสยะยิ้ม ก็ถูกมือหนาบีบเข้าที่คอ ลากเขาขึ้นมาเหมือนลากลูกเจี๊ยบ