เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ - บทที่ 302 สะกดรอยตาม
“ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่อื่น ไปเถอะ ไม่ใช่จะชวนฉันไปทานมื้อดึกไม่ใช่เหรอ?” ซูหย่าพูดจบ ก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง
“ไม่……” เล่อจยาอยากจะพูดว่าไม่ใช่ แต่ถูกเกาไห่ดึงไว้ “คาดว่าเธอน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไปเถอะ ไปทานเป็นเพื่อนเธอ”
ทั้งสองคนขึ้นรถไป ซูหย่าก็แย่งมือถือเล่อจยามา โทรไปหาปี๋ไค หลังจากสายถูกกดรับ เธอก็สูดลมหายใจเข้า “ไคไค คุณอยู่ที่ไหน?”
“คุณเป็นอะไรไป?” เสียงปี๋ไคแหบเล็กน้อย น่าจะค้นคว้าวิจัยหลักสูตรของเขาอยู่
“ไคไค เขารังแกฉัน คุณต้องเลี้ยงอาหารมื้อค่ำฉัน”
สายทางด้านนั้น หยุดชะงักไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า : “ส่งพิกัดมาให้ฉันด้วย”
เพราะซูหย่าท้องอยู่ เล่อจยาจึงเจาะจงเลือกร้านชาสไตล์ฮ่องกงมาเป็นพิเศษ
ดูออกว่าอารมณ์เธอไม่ดีจริง สีหน้าท่าทางดูไม่มีชีวิตชีวา
“เสี่ยวอู๋มีนิสัยแข็งกร้าว คุณนะก็เรื่องมากเรื่องเยอะ แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เสี่ยวหย่า ฉันว่า คุณจะกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไม?”
ซูหย่าไม่พูดอะไร นิ้วมือม้วนผมที่อยู่ด้านหน้า แววตาที่หดหู่มองเล่อจยาอย่างเจ็บปวดใจมาก
“มิเช่นนั้น ฉันจะอธิบายกับเสี่ยวอู๋ให้เข้าใจเลยดีไหม?” พูดจบก็หยิบมือถือออกมา
ซูหย่ายื่นมือออกไปแย่งมือถือเธอมา แล้วส่ายหัว “ปัญหาของเรา เดิมทีไม่ได้อยู่ที่ปี๋ไค คุณว่าฉันดูแย่มากเลยใช่ไหม?ทำไมเขาถึงได้รังเกียจฉันขนาดนั้น?”
“แบบคุณนี่ ผู้ชายปกติไม่มาชอบหรอก” เกาไห่จิบชา แล้วทำเสียงหัวเราะเยาะ
เล่อจยาเหยียบเท้าเกาไห่อยู่ใต้โต๊ะ “คุณอย่าได้ทีขี่แพะไล่ได้ไหม?คุณยังเห็นเธอทุกข์ใจไม่พอใช่ไหม?”
เกาไห่เงยหน้ามองซูหย่า “ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงแข็งกร้าวที่ทำให้ตนเองดูด้อยค่าไปทุกๆที่หรอกนะ ตั้งแต่หลังจากนัดดูตัวครั้งแรก ก็แทบจะเปลี่ยนชีวิตเซียวอู๋ไปเลย พวกคุณสามารถพิจารณาปัญหาจากอีกมุมหนึ่งได้ ถ้าเป็นพวกคุณ พวกคุณยังจะชอบเขาอยู่ไหม?” พูดจบ ก็ยื่นมือออก “บริกร สั่งอาหารหน่อย”
ซูหย่ากับเล่อจยามองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้เกาไห่จะพูดไม่ค่อยน่าฟัง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นความจริงๆ โชคชะตานี้ บางทีอาจจะผิดตั้งแต่แรก
เมื่อปี๋ไคมาถึง อาหารก็สั่งไว้บนโต๊ะแล้ว เขานั่งลงข้างๆซูหย่า ประคองหน้าของเธอ “เขาทำอะไรคุณ?”
ซูหย่าเห็นปี๋ไค ก็เบะปากกอดเขา แล้วร้องไห้น้ำตาไหลเผาะๆออกมา “เขาไปหาเมียน้อยแล้ว ไคไค เขาบอกว่าฉันสกปรก สะอิดสะเอียนฉัน ไม่อยากแตะต้องฉัน ฮือ……”
เล่อจยาได้ยินก็คิ้วขมวด นำตะเกียบในมือทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง “อะไรนะ?เสี่ยวอู๋นี่ มันจะเกินไปแล้วนะ”
เกาไห่ดึงมือของเธอมาเป่าสองสามที “คุณอย่ารุนแรงอย่างนี้สิ มือทุบลงไปไม่เจ็บเหรอ?” พูดจบก็นวดเบาๆ “ดูสิ แดงหมดเลย”
ซูหย่าชำเลืองมองมาที่พวกเขาทั้งสอง เสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้น
เล่อจยาดึงมือกลับมาอย่างเขินอาย “เอาล่ะ คุณอย่าไปยุแหย่เธอเลย”
ปี๋ไคสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา เล่อจยามองเห็นความเจ็บปวดใจในแววตาเขาได้อย่างชัดเจน ขณะนี้ของตาก็แดงเล็กน้อย
“ในเมื่อเป็นทุกข์ขนาดนี้ ก็หย่ากันเถอะ” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ปี๋ไคก็พูดออกมา
“หย่า?” ซูหย่าซื้ดจมูก เธออยากจะพูดว่า หย่าไม่ได้ แล้วเธอก็ไม่อยากหย่าด้วย สุดท้ายก็ทำได้เพียงร้องไห้เสียงดังออกมา ชั่วพริบตา เสื้อแจ็กเกตสีเทาของไคก็เปียกชื้น
“เสี่ยวหย่า ตอนบ่ายคนตระกูลเซียวเรียกให้คุณกลับไป พูดอะไรกับคุณ?” เล่อจยาเห็นว่าเธอร้องไห้ต่อไปแบบนี้ ก็คงไม่ได้เรื่อง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ซูหย่าหยุดชะงักเล็กน้อย ยืดตัวออกมาจากร่างของปี๋ไค รับทิชชูที่เล่อจยาส่งให้ เช็ดน้ำตาเล็กน้อย พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า: “เซียวอู๋ให้ฉันตามไปที่กองทหารด้วย เขาต้องย้ายไปนอกสถานที่ชั่วคราว เป็นเวลาครึ่งปี
“เข้าร่วมในกองทัพ?” เล่อจยาตกใจ ทันที เธอก็คิดอะไรได้ “คุณ….แบบนี้คุณ คุณก็…คุณก็ไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้”
“ทำไมจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ล่ะ?ขณะนี้คนทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน ถ้าได้อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่แน่ว่าได้เรียนรู้กันไปแล้วจะรักกันก็ได้?” เกาไห่กล่าว
“เธอ…..” เล่อจยาอยากจะบอกว่า ซูหย่าท้อง จะสามารถไปเข้าร่วมกองทัพได้อย่างไรล่ะ แล้วยังไม่พูดถึงว่าเซียวอู๋จะปฏิบัติกับเธออย่างไร สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยก็ไม่เหมาะสม ทางด้านนั้น ไร้ญาติขาดมิตร สภาพความเป็นอยู่เทียบไม่ได้เลยกับเมืองC อีกทั้งที่เซียวอู๋ไป คือไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว ซูหย่านั้นก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว เธอเป็นห่วง หลังจากนั้นก็นึกออกว่า เกาไห่ไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือกลับไป
“เขาเกลียดชังคุณ แล้วทำไมถึงต้องการให้คุณตามไปเข้าร่วมกองทัพด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เห็นหน้าแล้ว จิตใจจะได้สงบหรอกเหรอ?” ปี๋ไคกล่าว พอเขาพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็มองไปยังซูหย่าในเวลาเดียวกัน
ซูหย่ายืดตัวขึ้นจากโต๊ะ กล่าวออกมาอย่างช้าๆว่า: “เขาต้องการที่จะกักขังฉัน อยากจะทรมานฉัน”
เล่อจยาและเกาไห่มองหน้ากัน “เสี่ยวหย่า อันที่จริง เสี่ยวอู๋ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คุณคิดขนาดนั้นหรอก”
พอเธอพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็เคลื่อนไปยังเธอ
“เมื่อไรกัน ที่คุณคิดที่จะพูดเพื่อเขา ตกลงคุณเป็นเพื่อนของใครกันแน่?” ซูหย่ากล่าวตำหนิ
เกาไห่เหลือบมองเล่อจยาอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ปี๋ไครอคำพูดต่อไปอย่างเงียบๆ
เล่อจยากลืนน้ำลาย “อาจจะเพราะมองมุมมองของปัญหาแตกต่างกัน ฉันคิดว่า เซียวอู๋กลัวว่าคุณกับปี๋ใครจะมีอะไรกัน เลยตั้งใจที่จะแยกพวกคุณออกจากกัน เสี่ยวหย่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองอะไรไม่เห็น แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์มักจะมองออกนะ”
ปี๋ไคมองเล่อจยา ในสายตามีความเห็นด้วย
เกาไห่ดื่มน้ำต่อ ยังคงเงียบไม่พูดจา
ซูหย่าหัวเราะเยาะ “เขากลัวอย่างนั้นเหรอ?ถ้าเขากลัว ก็คงไม่ทำแบบนี้กับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก”
พูดพลาง นั่งตัวตรง ศีรษะพิงไหล่ของปี๋ไค คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่
ลักษณะของเธอเวลานี้ มีทิฐิสูงมาก คนสองสามคนก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก เรื่องราวแบบนี้ จำเป็นต้องคิดให้ได้ด้วยตนเอง
สุดท้าย ของหวานที่สั่งมา ทุกคนก็ไม่ค่อยได้ทานเท่าไรนัก เห็นสภาพของซูหย่าแล้ว เล่อจยาก็เป็นห่วงที่เธอต้องกลับตระกูลเซียวไปคนเดียว จึงส่งข้อความไปบอกเซียวอู๋ว่า เธอต้องการจะพาซูหย่ากลับไปยังบ้านของพวกเขา
ภายในห้องของโรงแรม ชายหนุ่มวางมือถือที่อยู่ในมือ สีหน้าเคร่งขรึม ส่ายแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ เด็กผู้หญิงเสื้อขาวยืนอยู่ด้านหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง คนทั้งสองไม่ได้พูดจา
เวลานี้ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามา
เด็กผู้หญิงเปิดประตู ชายสวมชุดกีฬาสีดำคนหนึ่ง เดินเข้ามา นำซองจดหมายซองหนึ่งที่อยู่ในมือส่งให้เซียวอู๋ แล้วถอยออกไป
เซี่ยวอู๋โบกมือ กับเด็กผู้หญิงเสื้อขาวที่อยู่ด้านหลังให้ถอยห่างออกไปหลายเมตร
แล้วจึงเปิดซองจดหมาย เซียวอู๋ดึงรูปภาพสองสามใบจากด้านในออกมา ดูทีละรูปๆ สีหน้าของเขาก็มืดมนลงไป เมื่อดูรูปสุดท้าย เขาก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกวาดรูปทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงไปยังพื้น เงยหน้ากระดกไวน์ในแก้วรวดเดียวหมด จากนั้น ก็โยนแก้วไปยังกำแพง จนแตกละเอียด
รูปใบหนึ่งปลิวไปยังเท้าของเด็กผู้หญิงเสื้อขาว เธอโน้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา เมื่อเห็นรูปภาพชัดเจนแล้ว สายตาก็มืดมนลงไป