เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ - บทที่ 304 พบกับศัตรูหัวใจ
พูดจบก็ลงไปชั้นล่าง แล้วผลักเซียวอู๋ที่ยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดออกไป : “คุณหลีกไป”
เธอเดินไปที่โรงอาหาร
ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง ซูหย่าจึงหยุดฝีเท้าหันไปมอง ก็พบว่าทุกคนยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม วันนี้เหมือนโดนผีหลอกเลย ทำไมได้ยินเสียงแปลกๆบ่อยๆ คิดๆแล้ว หรือว่าจะหิวจนหลอน?
เห็นลูกศรชี้คำว่าโรงอาหารตรงหน้า ซูหย่าก็วิ่งเหยาะๆไป
หลังจากที่ภาพของเธอหายไป ก็มีคนกระแอมเบาๆ “ข้าวหมา??อะแฮ่ม คุณเซียว……”
“ฮ่าๆๆๆ……”
“หัวหน้าเซียว ครั้งที่แล้วใครบอกว่า ในอนาคตแต่งงานไป ต้องฝึกฝนเธอให้เหมือนเป็นทหารด้วยนะ?”
“ได้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างนี้ อยากออกไปรวมตัวกันวิ่งตอนกลางคืนอีกใช่ไหม?”
“ไม่อยาก…”
เซียวอู๋กับลูกน้องในที่ทำงานนี้ ก็เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่ตอนทำงานก็คำไหนคำนั้น ทุกๆคนก็เชื่อฟังเขา
“เสี่ยวอู๋ คุณรีบไปดูภรรยาคุณเถอะ เธอมาวันแรก อย่างไรคุณก็ตามไปเป็นเพื่อนหน่อยเถอะ” นายทหารที่อาวุโสตบๆไหล่เซียวอู๋
เซียวอู๋พยักหน้า เพียงแต่เมื่อเขาไปถึงหน้าประตูโรงอาหาร ตอนเห็นภาพด้านใน สีหน้าเรียกได้ว่าย่ำแย่อย่างมาก
เห็นซูหย่ายกถาดอาหารหนึ่งถาด นั่งบนเก้าอี้แล้วกินมัน
“ซูหย่า!”
น้ำเสียงที่คุ้นเคย เรียกเธอทั้งชื่อทั้งแซ่ เธอไม่เงยหน้าขึ้นแล้วก็ไม่ตอบกลับ เอาแต่ตักข้าวเข้าปาก ถึงแม้ว่าสีกลิ่นรสชาติจะไม่ได้เรื่องเลย แต่เธอกลับรู้สึกว่านี่คือมื้ออาหารที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ
“ใครอนุญาตคุณให้เธอทานอาหารก่อน?”
ทหารชั้นผู้น้อยในช่องเคาน์เตอร์ ตกใจจนหน้าถอดสี เขาทำความเคารพเซียวอู๋ แล้วตอบกลับว่า : “รายงานท่านหัวหน้า สะใภ้บอกว่าตนเอง…ปวดท้อง ฉันเลย……”
“ทางด้านนี้เสร็จสิ้นแล้ว ไปวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตร”
“ครับ!” ตอบกลับด้วยเสียงดังกังวาน แต่เห็นได้ชัดว่าตัวสั่นเทา
ตะเกียบในมือซูหย่าตกลงบนพื้น เธอหันกลับไปมองทหารคนนั้นที่กลืนน้ำลายไม่หยุด แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าการวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตรคืออะไร แต่เมื่อเห็นแววตาหวาดกลัวของทหารคนนั้นแล้ว เธอก็รู้เลยว่าบทลงโทษต้องไม่เบาอย่างแน่นอน
เธอรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองในใจ เธอลุกขึ้นเดินไปข้างๆเซียวอู๋ “ทำไมคุณทำอย่างนี้?เขาเห็นเกียรติยศคุณจึง……”
“เป็นทหารก็ต้องมีกฎระเบียบ ตอนอยู่สนามรบ ถ้าทุกๆคนเป็นอย่างพวกคุณ อยู่เบื้องหลังได้สิทธิพิเศษ แล้วจะคู่ควรเป็นเพื่อนร่วมรบในแนวหน้าได้อย่างไร?เกียรติยศของฉันเหรอ?อยู่ในกองทัพไม่มีเกียรติยศ” หันกลับไปมองทหารชั้นผู้น้อย “เข้าใจไหม?”
ทหารตอบอย่างเคารพ “เข้าใจครับ!”
ซูหย่าถลึงตาใส่เซียวอู๋ “ฉันไม่เข้าใจกฎของทหารหรอกนะ ฉันแค่รู้สึกว่าคุณมันเลว ไร้ความเมตตา แล้วก็ไม่สนใจไยดีใครเลย”
พูดจบ ข้าวก็ไม่กินแล้ว หันกลับห้องไป
นอนอยู่บนเตียง เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ใช่ เธอเข้าใจประเทศก็มีกฎหมายของประเทศ ครอบครัวก็มีกฎระเบียบของครอบครัว เป็นธรรมดาที่กองทัพย่อมมีกฎเกณฑ์ของตนเอง แต่แค่กินข้าวก็เท่านั้น เธอปวดท้องจริงๆ เธอไม่เข้าใจเลย หรือว่าทหารเห็นคนจะตายก็จะไม่ช่วยเหรอ?
นึกถึงนายทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกเขาทำโทษแล้ว เธอก็ทั้งโมโหทั้งตำหนิตัวเอง
ถ้าจะบอกว่าเซียวอู๋ตอนอยู่บ้าน เป็นคนเลวแล้วล่ะก็ อย่างนั้นอยู่ที่นี่ก็โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาจนเกินจะบรรยาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอพลิกตัว ไม่สนใจ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามาอีกครั้ง เป็นเสียงที่นุ่มนวล เธอนิ่งอึ้งไป ด้วยนิสัยของเซียวอู๋แล้วจะไม่เคาะประตูแบบนี้
จึงพลิกตัวลงจากเตียง เปิดประตู มู่ซือยืนอยู่หน้าประตู ถือถาดอาหารอยู่ มองด้วยตา คือที่เธอเพิ่งทานเหลือเอาไว้ เดินเข้ามา นำอาหารวางไว้บนโต๊ะ “หัวหน้าทหารให้ฉันเอามาส่ง พี่สะใภ้รีบทานเถอะ อย่าให้หิวเลย”
ซูหย่าร้องเชอะอย่างเย็นชา “หิวจะตายอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกเหรอ?”
หญิงสาวมองซูหย่า ในสายตาปรากฏความเหยียดหยามเล็กน้อย
พอดีซูหย่าเงยหน้าขึ้น แล้วพบกับสายตานั้น ความโกรธในก้นบึ้งของหัวใจก็ปรากฏขึ้นมา “คุณหมายความว่าอย่างไร?ดูถูกฉันเหรอ?”
มู่ซือมองเธออย่างลึกซึ้ง ยกมุมปากปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายแฝง “พี่สะใภ้ คุณค่อยๆทานนะ ฉันไปก่อน”
ซูหย่าคว้าแขนของเธอ ก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนอ่อนแอ ผิวละเอียดเนื้อนุ่มนวล แต่แขนนี้ที่จับกลับแข็งแกร่ง รู้สึกคล้ายกันกับเซียวอู๋เลย
พอที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด
เธอหรี่ตา ทันทีในใจก็มีความรู้สึกพ่ายแพ้ มิน่าล่ะเซียวอู๋ถึงได้ชอบเธอ รูปร่างหน้าตาสวย แล้วยังมีอาชีพเดียวกันอีก
“พี่สะใภ้ยังมีธุระอื่นอีกเหรอ?” มู่ซือนำการตอบสนองของซูหย่าเก็บเข้าไว้ในสายตา กล่าวถามอย่างเรียบเฉย
ซูหย่าปล่อยมือ ถอยหลังกลับไปยังด้านหน้าโต๊ะอย่างเศร้าสร้อย หยิบตะเกียบขึ้นมา ป้อนอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่า
อาหารเหมือนเดิม แต่ทำไมรู้สึกว่ารสชาติเปลี่ยนไป
แต่เพื่อลูกในท้อง เธอก็ยังทานจนหมดเกลี้ยง กลัวว่าดึกๆจะหิว แล้วจะคลุ้มคลั่ง
ทานข้าวแล้ว เธอก็เอนตัวลงนอนบนเตียง นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ในใจก็รู้สึกถึงรสชาติของชีวิต
สะลึมสะลือ แล้วจึงหลับไป
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เซียวอู๋ยังไม่กลับมา ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว เธอมองดูมือถือ สามทุ่มกว่าแล้ว จู่ๆก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเซียวอู๋ ห้องน้ำสาธารณะมีการจำกัดเวลา
เธอรีบจัดเสื้อผ้าสองสามชิ้นแล้วก็ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ พอหาห้องน้ำเจอ เมื่อดึงเปิดผ้าม่านนั้น เธอยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตูทันที ดวงตาเธอเต็มไปด้วยเนื้อที่….เปลือยเปล่า!
เธอรีบปิดหน้าอกด้วยจิตสำนึก
เวลานี้ เธอสิ้นหวังจนอยากจะร้องไห้ ตั้งแต่เกิดมา จริงๆเธอเกิดมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทอง เพราะก่อนหน้านี้พ่อแม่มีพี่ชายสองคน จึงรักและเอ็นดูเธอมากกว่า เคยลำบากแบบนี้ซะที่ไหนกัน
เธอไม่ได้ทำตัวเหนือคนอื่น แต่ก็ไม่เคยพบเหตุการณ์ในสังคมแบบนี้ สองปีนั้นที่เล่อจยาเปิดร้านอาหารริมทาง เอช่วยยกถาด ล้างถ้วยชาม ก็นับว่าลำบากจะแย่แล้วนะ เหอะ เหอะ….
“โอ้ นี่เป็นภรรยาของบ้านไหนล่ะ รีบเข้ามาอาบสิ อีกสักครู่ ก็จะหยุดจ่ายน้ำแล้วนะ” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง ร่างกายเปลือยเปล่า หยิบผ้าขนหนูกำลังเช็ดผม เห็นเธอยื่นอึ้งอยู่หน้าประตู กล่าวทักทายเพื่อนอย่างสุภาพ
ซูหย่ายิ้มอย่างเก้อเขิน สายตาไม่รู้จะมองไปที่ไหน ถึงจะเหมาะสม “ขอบคุณค่ะ พี่สาว”
“ฉันว่า เธอคงจะทำให้ตกใจ คุณลืมไปด้วยเหรอ ครั้งที่แล้วที่ภรรยาของผู้พันมา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็นั่งยองๆร้องไห้อยู่หน้าประตู สถานที่นี้ คนที่มีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย ก็คงทนไม่ไหวจริงๆ” คนที่พูดคือ ผู้หญิงวัยเดียวกันกับพี่สาว
ด้านในมีคนอาบน้ำจำนวนมาก มีหมอกควันมากมาย ซูหย่ามองได้ไม่ชัดว่ายังมีใครอีก
“พี่สะใภ้ คุณมาตรงนี้เถอะ ฉันอาบเสร็จแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากในหมอกควัน คือเสียงของมู่ซือ