เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ - บทที่ 370 งานเลี้ยงที่แปลกประหลาด
“สรุปจะไปที่ไหน?” มู่เฉียวเอ่ยถามอีกครั้ง
ฉินฮ่าวเหลือบมองมู่เฉียวผ่านกระจกมองหลัง “พี่สะใภ้ ขอถามเรื่องอะไรก่อนได้ไหม?”
มู่เฉียวเลิกคิ้ว มองไปนอกหน้าต่าง พูดกลับไปอย่างไม่ใส่ใจว่า : “เรื่องอะไรล่ะ?”
“คุณรักประธานโม่ของเราหรือเปล่า?”
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดคิดว่าจะถามคำถามนี้ มู่เฉียวหันกลับไปมองฉินฮ่าว “เขามีคนรักที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ความรักของฉันมันจำเป็นด้วยเหรอ?”
พูดจบก็มองฉินฮ่าว รู้สึกแปลกๆนิดๆ ในใจก็บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร
“ญาติๆของตระกูลโม่ ครั้งที่แล้วที่คุณคลอดเสี่ยวโยว เดิมทีทุกคนก็บอกว่าจะมาเยี่ยมคุณ แต่นายท่านกลัวว่าจะไปรบกวนคุณเรื่องอยู่เดือน เลยไม่ได้ให้พวกเขามา ต่อมาครบรอบหนึ่งเดือนคุณก็ไม่ได้จัดงาน วันนี้พอดีกับว่าโม่หานมีคุณน้าที่กลับมาจากต่างประเทศมาเยี่ยมพวกคุณโดยเฉพาะ คุณนายนายท่านก็เลยนัดรวมตัวกัน”
ในฉับพลันฉินฮ่าวก็ตอบกลับมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่มู่เฉียวรู้สึกว่าในน้ำเสียงของฉินฮ่าวแกล้งทำเป็นผ่อนคลาย เธอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
นึกถึงกลุ่มญาติเหล่านั้น เธอก็รู้สึกขนหัวลุก ตระกูลโม่เป็นตระกูลใหญ่ ว่ากันว่ามีญาติพี่น้องที่พัฒนาได้ดีในทุกๆด้าน นึกถึงพวกภรรยาคนรวยที่ชี้นิ้วสั่งเธอแล้ว เธอก็อยากจะถอนตัว
อีกทั้งเธอไม่เข้าใจจริงๆว่าคนตระกูลโม่นี้คิดอย่างไร เธอกับโม่หานก็ปรึกษากันดีแล้ว ว่าเสี่ยวโยวหนึ่งขวบก็จะหย่า แต่นี่มอบสินสอดให้ แล้วก็ให้เจอญาติอีก เธอก็งุนงงเล็กน้อย
หรือว่าเวลานี้ ไม่ใช่ว่าควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนไปหรอกเหรอ?
เธอมองๆชุดทำงานบนตัว “อย่างนั้นส่งฉันกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลโม่ก่อนเถอะ ฉันต้องการเปลี่ยนชุด”
ฉินฮ่าวหยิบชุดจากข้างๆที่นั่งคนขับส่งให้เธอ “อีกสักครู่คุณถึงที่นั่นแล้ว ก็ไปหาที่เปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยเข้าไป”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว
รับถุงกระดาษนั้นมา หยิบออกมาดู ชุดกี่เพ้ากำมะหยี่สีดำ มือที่ลูบไปรู้สึกได้ถึงการเย็บปักถักร้อยที่ละเอียดยอดเยี่ยม ชี้ให้เห็นว่าเป็นเสื้อผ้าที่ราคาไม่เบา
เพียงแต่ว่าชุดกี่เพ้านี้ ต้องเหมาะกับรูปร่างอย่างมาก ใหญ่ไปก็ไม่ได้ เล็กไปก็ไม่ได้……
“โม่หานบอกว่า มันต้องพอดีตัวคุณอย่างแน่นอน” จากกระจกมองหลัง เห็นเธอขมวดคิ้ว เหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉินฮ่าวเลยเอ่ยพูด
“เขาจะรู้อะไร” ไม่เคยกอดไม่เคยสัมผัส เขาจะรู้สัดส่วนเธอได้อย่างไร?
ฉินฮ่าวเหยียบเบรกทันที ยังดีที่ไฟแดงพอดี หันไปมองมู่เฉียว “คุณ……เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”
มู่เฉียวชำเลืองมองเขา หน้าแดงเล็กน้อย แล้วพูดออกมาว่า : “คุณฟังไม่ผิดหรอก”
เมื่อถึงโรงแรม มู่เฉียวก็ไปที่ห้องน้ำ เกินความคาดหมาย เมื่อสวมใส่ชุดแล้ว มันพอเหมาะพอดีจริงๆ
“นี่สัมผัสสัดส่วนผู้หญิงมากี่คนแล้วล่ะ ไม่น่าเชื่อว่ามองด้วยตาเปล่า ก็สามารถคาดเดาได้” เธอบ่นพึมพำ
นำหางม้ามัดเป็นมวย แต่งหน้าแล้วทาลิปสติก มองดูตัวเองที่ใส่ชุดสไตล์นั้นในกระจก มู่เฉียวยิ้มๆเล็กน้อย ลองสไตล์นี้ครั้งแรก ก็ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ออกจากห้องน้ำมา ก็เห็นโม่หานยืนอยู่ด้านนอก
เธอกระแอมเบาๆ
โม่หานหันกลับมา ในแววตาประกายความประหลาดใจ “อีกสักครู่ถ้าตอบไม่ได้ หรือไม่อยากตอบ ก็สะกิดฉันได้นะ”
มู่เฉียวหันไปมองเขา วันนี้โม่หานสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคอปกสูง กางเกงผ้าฝ้ายลินินสีเทา เข้ากับการแต่งตัวของเธออย่างมาก
สีหน้าสงบนิ่ง ไม่เหมือนปกติที่ดูเย็นชา คุณสมบัติบนใบหน้าดูสะดุดตามากจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับแสงไฟหรือเปล่า รู้สึกว่าริมฝีปากของเขาวันนี้ดูซีดเล็กน้อย ไม่เหมือนปกติที่แดงมีเลือดฝาด
“คุณ ช่วงนี้ร่างกายคุณโอเคไหม?” คิดๆแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
ชั่วขณะโม่หานก็หยุดฝีเท้าหันไปมองเธอ “คุณปรารถนาจะให้ฉันดี หรือไม่ดีล่ะ?”
มู่เฉียวมองค้อนเขา “คิดว่าฉันไม่ได้ถามแล้วกัน”
คุณย่าบอกว่า สามารถเป็นสามีภรรยากันได้คือบุพเพสันนิวาส แต่เธอรู้สึกว่าเธอกับผู้ชายคนนี้ คงจะเป็นบาปกรรมต่อกัน
มองภาพด้านหลังของเธอ โม่หานก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เดิมทีมู่เฉียวคิดว่าอย่างมากสุดก็คงสิบกว่าคน แม่เมื่อเธอเห็นคนหลายสิบคนที่อยู่บนโต๊ะแล้ว สายตาก็ตกตะลึง
เธอหันหน้ากลับไป มองโม่หานที่ตามมาด้านหลัง “บอกว่านัดรวมตัวกันในครอบครัวไม่ใช่เหรอ?”
โม่หานเดินเข้าไปสองสามก้าว โอบเอวของเธออย่างเป็นธรรมชาติ “ใช่แล้ว ญาติทั้งสองฝ่ายของพ่อกับแม่ของฉัน”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว หัวเราะเหอะๆสองที
เมื่อคนทั้งสองปรากฏตัว ก็ดึงดูดสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว
“หน้าตาสวยจังเลย”
รูปร่างก็สูง”
“มีเสน่ห์ไม่เลว”
“เพียงแต่ได้ยินว่าวงศ์ตระกูลไม่ค่อยดีเท่าไรเหรอ?”
“ได้ยินมาว่านิสัยไม่ค่อยดี”
“จอมวางแผนเกินไป บังคับให้โม่หานต้องแต่งงาน”
“……”
ต่างคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ตามๆกัน มู่เฉียวต้องขอบคุณคุณนายโม่สำหรับ”ความแข็งแกร่ง”ก่อนหน้านี้ ดังนั้น เธอจึงฝึกฝนความอดทนได้อย่างแข็งแกร่ง
ทำให้เวลานี้ ภายในใจของเธอไม่ได้มีความผันผวนอะไรมาก เพียงแค่รู้สึกหนวกหูอย่างมาก
คุณนายนายท่านโม่กวักมือเรียกเธอ ตบลงที่ที่นั่งว่างเปล่าข้างๆเธอ “เสี่ยวเฉียว มาสิ นั่งข้างๆย่า”
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย ออกจากอ้อมกอดของโม่หาน แล้วไปหาคุณนายนายท่านโม่
ทุกคนเห็นท่าทีของคุณนายนายท่านโม่ที่ปฏิบัติต่อหลานสะใภ้คนนี้แล้ว เสียววิพากษ์วิจารณ์ก็ลดลงอย่างชัดเจน
“คุณย่า”
“อื้ม มาสิ นั่งลง ทำงานมาทั้งวันเหนื่อยแล้วใช่ไหม?รีบไปหาอะไรทานรองท้องก่อนสิ อีกสักครู่อาหารหลักถึงจะมา”
มู่เฉียวจึงหยิบตะเกียบขึ้นมา เพราะหิวแล้วจริงๆ แต่พบว่า คนสิบกว่าคนที่อยู่บนโต๊ะ ต่างไม่ขยับตะเกียบเลย เธอจึงวางลงอีกครั้ง การอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทนี้ เธอยังมีอยู่
โม่หานมองเธอ หยิบตะเกียบขึ้น หยิบถ้วยเธอขึ้นมา คีบอาหารออเดิฟให้เธอเล็กน้อย “ทานก่อนเถอะ”
คุณย่าเห็นเช่นนี้ ในสายตาก็มีรอยยิ้มอย่างชัดเจน แล้วรีบสั่งว่า “ทุกคนทานกันเถอะ”
พอทานอาหารแล้ว โม่หานก็คล้ายกับเปลี่ยนไป คีบอาหารให้เธอ แกะกุ้ง ดูแลทุกอย่าง แต่มู่เฉียวทานอย่างกังวลใจ
“เอ่อ คุณก็ทานบ้างเถอะ” แล้วก็ไม่ลืมมารยาท มู่เฉียวจึงคีบเนื้อเป็ดให้โม่หานชิ้นหนึ่ง
คุณนายโม่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเห็นเช่นนี้ จึงรีบเอ่ยปากว่า “หานไม่ทานสิ่งนั้น”
มู่เฉียวมองโม่หาน ทันทีก็วางตัวไม่ถูกพูดไม่ออก แต่จากนั้น โม่หานก็นำอาหารใส่เข้าปากโดยไม่ลังเล สีหน้าไม่ผิดปกติ
ทุกคนเงียบกริบ มันคือรักแท้!
เมื่อมื้ออาหารจบสิ้น โม่เสี่ยวโยวก็ถูกอุ้มออกมา คุณนายนายท่านโม่พิจารณาแล้วว่าไข้เธอเพิ่งลด เพียงแค่เข้ามาถ่ายรูป แล้วก็กำชับให้พี่เลี้ยงอุ้มเธอกลับไป
ต่อจากนั้น มู่เฉียวก็ถูก”รุมล้อม” การชมเชยและแสดงออกที่ดีของญาติพี่น้อง ทำให้เธอรู้สึกท่วมท้น
เมื่อเทียบกับความสนิทสนมที่จอมปลอมเหล่านี้ มู่เฉียวก็นึกถึงคุณย่าในทันที
“ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอหาข้ออ้างที่จะจากไป ไปที่ห้องน้ำส่วนตัว นั่งบนอ่างล้างมือเล่นเกมมือถือ
จนกระทั่งเห็นรองเท้าคู่หนึ่งมาปรากฏตรงหน้าเธอ