เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ - บทที่ 413 ก่อนที่จะพายุเข้า
“วันนี้งานคุณไม่ยุ่งเหรอ?” มู่เฉียวเห็นโม่หานพาเธอมาทานข้าว ก็เลยเอ่ยถาม
“ยุ่งสิ แต่ว่าอยากเจอคุณ” ชายคนนั้นตอบกลับอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย มู่เฉียวหน้าแดงก่ำ เงยหน้าขึ้นมองโม่หานก็สบสายตากับเขาพอดี ตกอยู่ในภวังค์ เหมือนมีประกายไฟปะทุขึ้นมา
ทานอาหารไปได้สักพัก มู่เฉียวก็เห็นร่างที่คุ้นเคยจากหางตา เดินเข้ามาจากประตู เธอร้อนรนใจจนไม่ทันได้พูดอะไร ชี้ๆนิ้วไปที่ประตูทางเข้า
โม่หานขมวดคิ้วหันไปมอง ก็ตกตะลึง เพียงแต่ในฉับพลันก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม
มู่เฉียวก้มหน้า สักพักเห็นโม่หานไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงพูดขึ้นว่า “เขาเป็นคนที่รับผิดชอบสถานที่การถ่ายทำของหานฉุนทางด้านนั้น ฉันรู้สึกว่าเขา……”
“คนรูปร่างหน้าตาคล้ายกันเยอะแยะไป” โม่หานตัดบทคำพูดของเธอ “อยู่ทางด้านนั้นทานอาหารไม่ค่อยดีใช่ไหม ทานเยอะๆหน่อยนะ”
แม้ว่าจะมีชาวจีนที่อพยพมากมายในแอฟริกาใต้ที่เปิดร้านอาหารที่นี่ แต่สถานที่ที่ถ่ายทำก็มีไม่มาก โชคดีที่ได้การดูแลอาหารของหานฉุน พี่เหมยตั้งใจให้คนทำมาส่ง เธอก็เลยได้ทานไปด้วย ยังนับว่าโชคดี
แต่ถูกโม่หานเอาใจใส่แบบนี้ เธอยังคงมีความสุขอย่างมาก
บางครั้งรู้สึกว่าชีวิตคนก็เหมือนกับละคร ใครจะคิดว่าวันหนึ่งทั้งสองคนจะสงบสุขได้อย่างนี้ และยังคงไปมาหาสู่กันอย่างนี้
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว มู่เฉียวก็บอกว่าอยู่ไปเดินรอบๆสักหน่อย แล้วค่อยกลับไป
โม่หานพยักหน้า กอดเอวเธอไว้แน่น
ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูเหมือนเป็นปกติ แต่มู่เฉียวรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง หลังจากโม่หานเห็นคนคนนั้นเมื่อกี้นี้ อารมณ์เขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เพียงแต่ต่อให้เป็นสามีภรรยากันก็ต้องมีความเป็นส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขายังคงมีความสัมพันธ์แบบนี้ ฉะนั้นโม่หานไม่พูด เธอก็จะไม่ถาม
“คุณอยากถามถึงปีนั้นเหรอ ว่าทำไมฉันถึงไม่ตาย?” เดินไปสิบกว่านาทีแล้ว จู่ๆโม่หานก็เอ่ยถาม
มู่เฉียวเงยหน้ามองเขา ยกยิ้มเบาๆ “โหดร้ายเกินไป เขาก็เลยไม่อยากรับคุณไว้”
อันที่จริงครั้งนั้นคุณนายโม่บอกว่าเธอมีน้องชายน้องสาวอยู่ เธอจึงรู้ว่าในระหว่างนี้มันคงไม่ง่ายดายเกินไป
โม่หานลูบหัวเธอ ไม่ได้พูดอธิบายอะไร ในเมื่อเธอต้องการจะไร้เดียงสา เขาจะรักใคร่เอ็นดูก็ได้
“คุณจะกลับไปเมื่อไหร่?”
“อยากเร่งรัดให้ฉันกลับไปเหรอ?”
มู่เฉียวส่ายหัว “ไม่ใช่ ไม่อยากให้คุณกลับเลย” มีจุดเปลี่ยนในสองสามปีนี้ จึงได้อยู่ด้วยกัน มู่เฉียวก็หมดความเขินอายของหญิงสาวไปหมดแล้ว
ชายคนนี้หยุดฝีเท้าชั่วขณะ เอียงไปมอง สองมือโอบเอวของเธอ ก้มลงไปแตะหน้าผากเธอเบาๆ “อืม เดิมทีพรุ่งนี้ก็จะเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าคุณทำใจไม่ได้ ก็น่าจะล่าช้าออกไปอีกสักสองวันดีไหม?”
“อืม ขอบคุณนะประธานโม่ผู้น่ารัก” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า โค้งคำนับอย่างจริงจัง
โม่หานยิ้ม แล้วหัวเราะเบาๆ เดิมทีเขาก็ดูดีอยู่แล้ว ยิ้มแบบนี้ยิ่งทำให้มู่เฉียวตกตะลึง
“เป็นผู้หญิงไม่ควรจะสำรวมหน่อยเหรอ?” ชายคนนั้นถูกเธอจ้องมองจนไม่เป็นตัวของตัวเอง นิ้วเรียวยาวจับขากรรไกรของเธอให้เงยหน้าขึ้น แล้วจูบลงไปที่ริมฝีปากเธอ
“โม่หาน เสี่ยวโยวคิดถึงพ่อมากเลยนะ”
มู่เฉียวรู้สึกว่าชายคนนั้นอึ้งไป จากนั้นก็มีความละอายใจในแววตา “อืม ฉันรู้แล้ว”
“คุณรู้แล้ว?”
ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย ไม่อธิบายอะไร นำเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเขา “ฉันจะรับผิดชอบคุณให้เร็วที่สุด มู่เฉียวเชื่อฉันนะ ฉันจะไม่ทำผิดต่อคุณ”
“โอเค”
สองสามวันต่อมา ตอนกลางวันมู่เฉียวกับโม่หานก็ต่างทำงาน พอตอนกลางคืนทั้งสองคนก็มาทานข้าวด้วยกัน เดินเล่น แล้วก็นอน
มู่เฉียวคิดๆ ถ้าชีวิตต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด นั่นก็น่าจะดีอย่างมาก
“ขึ้นเครื่องบินตอนบ่ายวันพรุ่งนี้”
“อืม”
“ไม่อยากไปเลย”
“อ้อ”
“มู่เฉียว”
“หืม?”
ชายหนุ่มไม่เต็มใจเล็กน้อย หันหน้ากลับ แต่เห็นมู่เฉียวก็เบิกตาโต ในดวงตามีหยดน้ำบางๆ ใสแวววาว แต่ทำให้คนต้องใจสั่น ชายหนุ่มไม่สบายใจ ออกแรงดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด “เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม?”
จำนวนครั้งที่โม่หานเห็นเธอร้องไห้ ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็รู้สึกจนใจไปชั่วขณะ
มู่เฉียวไม่อยากบอกโม่หาน ในใจเธอไม่สบายใจอย่างมาก รู้สึกว่าการแยกกันครั้งนี้ จะได้อยู่ด้วยกันอีก ก็คงไม่ค่อยราบรื่นมากนัก
เธอมีลางสังหรณ์มาโดยตลอด
แต่เธอไม่อยากพูดออกมาตรงๆ การโกหกด้วยเจตนาที่ดี น่าฟังกว่าการพูดความจริง: “เพราะว่า ไม่อยากให้คุณไป”
ชายหนุ่มใจอ่อนราวกับสายน้ำ “ฉันจะรอคุณกลับมา ระหว่างนั้นถ้ามีเวลา ฉันจะบินมาหาคุณ”
หญิงสาวส่ายหน้า กอบใบหน้าของเขา แล้วจูบลงไปบนใบหน้าของเขา “พี่เหมยบอกว่า การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประมาณยี่สิบวัน ก็จะสามารถกลับไปได้แล้ว รอฉันกลับไปนะ”
“โอเค”
คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยว่า กลับไปแล้ว เขามีคู่หมั้นอยู่ เธอจะจัดการกับตนเองอย่างไร?
หลังจากโม่หานไปได้สองวัน มู่เฉียวก็รู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด ตอนกลางวันทำงานก็ยังดีอยู่ สามารถเบี่ยงเบนความสนใจไปได้บ้าง แต่ตอนกลางคืน กลับยิ่งคิดถึง
ด้วยเวลาที่แตกต่าง ตอนที่เธอว่าง โม่หานก็กำลังทำงาน ตอนที่เธอทำงาน โม่หานก็ต้องนอน
คนทั้งสองจึงทำได้เพียงคุยกันในวีแชต ทุกๆวัน เธอจะส่งข้อความจำนวนมากไปหาโม่หาน ผ่านไปหลายชั่วโมง เขาจึงตอบกลับ คำพูดไม่มากมาย เรียบง่าย แต่ทำให้เธออบอุ่นใจอย่างมาก
แต่การเฝ้ารอเป็นสิ่งที่ทรมานมากที่สุด มู่เฉียวหยิบมือถือออกมาดูเป็นร้อยๆครั้ง เปิดดูว่ามีข้อความตอบกลับไหม ทั้งหดหู่ ทั้งเป็นทุกข์
เธอคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ตนเองจะต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน
เธอจึงค่อยๆปรับสภาพของตนเอง เลิกงานก็เริ่มอยู่ด้วยกันกับพวกพี่เหมย
ทานข้าวด้วยกัน ไปเดินเล่นบริเวณรอบๆด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน…….
ไม่ส่งข้อความไปหาโม่หานอีก เธอกลัวการเฝ้ารอแบบนั้นเป็นที่สุด
วันนี้ เธอก็ตามทุกคนไปทานมื้อดึกเหมือนเคย
“เห็นหน้าตาที่ขุ่นเคืองของคุณแล้ว เพราะชายคนนั้นใช่ไหม? เก่าไม่ไป ใหม่ไม่มา” หานฉุนมองมู่เฉียวที่นั่งอยู่ตรงข้าม แล้วกล่าวเยาะเย้ย
มู่เฉียวที่กำลังแกะถั่วพิสตาชิโอใส่ปาก มองค้อนเขาทีหนึ่ง แต่ไม่พูดจา คำพูดปากสุนัขของผู้ชายคนนี้ เธอไม่อยากไปพูดกับเขาให้มากความ
“เสี่ยวเฉียว คุณกับประธานโม่คนนั้น เลิกกันแล้วเหรอ?”
ครั้งนี้ มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วแกะถั่วเข้าปากต่อ จากนั้นก็ขมวดคิ้วที่งดงามขึ้น “เปล่านี่คะ”
ตอนกลางวัน โม่หานนังถามเธออยู่เลยว่า “ทานข้าวตรงเวลาไหม”
พี่เหมยร้อง”อ๋อ”คำหนึ่ง ยิ้มๆ แล้วไม่พูดถึงหัวข้อนี้ต่อ
มู่เฉียวจึงสังเกตเห็นว่าสายตาของทุกคนในคืนนี้ที่มองเธอคล้ายกับแปลกๆเล็กน้อย เห็นใจ? หัวเราะเยาะ? แล้วก็ความรู้สึกที่ซับซ้อน
หัวใจเธอเต้นระรัวไม่หยุด หันหน้าไปมองหานฉุน “หมายความว่าอะไร?”