เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god) 混沌剑神 - ตอนที่ 12 พี่ใหญ่เจียงหยางหู่
Chaotic Sword God ตอนที่ 12 พี่ใหญ่เจียงหยางหู่
นั่งอยู่ด้านบนของสัตว์อสูรที่บินได้ ใบหน้าเจี้ยนเฉินไม่ได้เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ถึงแม้ว่าพวกเขากำลังบินด้วยความเร็วที่มากที่สุด สูงขึ้นด้วยความสูง 1,000 ฟุต ตั้งแต่สัตว์อสูรบินด้วยความเร็วสูง เขาได้ยินเสียงดังก้องของลมที่เข้าในหูของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
จ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินซึ่งไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ บนใบหน้า ช่วยไม่ได้ที่เจียงไป่จะรู้สึกยอมรับ เด็กส่วนใหญ่โดยทั่วไปใบหน้าจะซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวสุดขีดหลังจากที่บินอยู่ด้านบนของสัตว์อสูรเป็นครั้งแรก เด็กบางคนตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวตลอดเวลา ในขณะที่บางคนถึงกับปัสสาวะราด แต่มีน้อยมากที่จะมีนิ่งสงบเช่นเดียวกับเจี้ยนเฉิน
เจียงไป่คิดย้อนไปกลับว่า เมื่อตอนที่เขาส่งเจียงหยางหู่ไปยังสำนักคากัตก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี หลังจากที่นั่งบนสัตว์อสูรบินได้ ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความกลัว ในขณะเดียวกันเขาก็กำคอของสัตว์อสูรแน่น
นายน้อยสี่ดูจะไม่เหมือนคนอื่น ๆ มันทำให้ข้าสงสัยอย่างแท้จริงว่า ความสำเร็จในอนาคตของเขาจะเป็นเช่นไร เจียงไป่ครุ่นคิดกับตัวเอง
เจี้ยนเฉินจ้องมองสัตว์อสูรบินได้ด้านล่างของเขาและถามว่า เจียงไป่ สัตว์อสูรตัวนี้คือตัวอะไร ถึงได้สามารถบินด้วยความเร็วสูงเช่นนี้?
นี่เป็นเพียงธรรมชาติของมัน! เจียงไป่กล่าวด้วยน้ำเสียงยิ่งใหญ่ นายน้อยสี่ ท่านไม่ควรประมาทสัตว์อสูร นี่คือสัตว์อสูร มันถูกเรียกว่าอสูรอินทรีย์ มันเป็นสัตว์อสูรระดับสี่ ซึ่งเปรียบได้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ มันสามารถบินผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงและแม้จะเป็นเพียงระดับสี่ ซึ่งแม้เซียนปฐพีบางคนยังไม่สามารถที่จะต่อสู้กับมันยามที่มันอยู่ในท้องฟ้าได้เลย
นั่นหมายความว่า อสูรอินทรีย์มีราคาแพงมาก เจี้ยนเฉินกล่าว
เจียงไป่พยักหน้า มันเป็นธรรมดา สัตว์อสูรที่บินได้ย่อมมีราคาแพงมาก ไม่เพียงเพราะจะจับพวกมันได้ยาก แต่มันยังยากที่จะทำให้เชื่องด้วยเช่นกัน แม้ว่าสัตว์อสูรบินได้เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเคลื่อนย้าย แต่การขี่มันนั้นก็เป็นอันตรายมาก ในกรณีที่ว่าเป็นสัตว์อสูรอยู่เหนือการควบคุมของผู้ขับ มันอาจจะทำให้คนร่วงตกลงมานับพันเมตรจากกลางอากาศ แม้แต่เซียนปฐพียังยากที่จะรอดชีวิตมาได้หากร่วงลงมาเช่นนั้น กระทั่งว่า ถ้าเจ้าโชคดี เจ้าจะจบลงด้วยการได้รับบาดเจ็บร้ายแรง และแม้ว่าอสูรระดับ 1 หรือ 2 จะมีราคาแพงมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันมีลักษณะที่บ้าคลั่งหรือไม่ยอมจำนนต่อมนุษย์ ดังนั้นการฝึกฝนสัตว์อสูรจึงเป็นงานที่ท้าทายต่อความสำเร็จเป็นอย่างมาก
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างช้า ๆ ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง
เจียงไป่หันมองเจี้ยนเฉินที่เงียบไปและกล่าวว่า นายน้อยสี่ พี่ใหญ่ของท่าน เจียงหยางหู่ ก็เรียนอยู่ที่สำนักคากัตนี้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเป็นเซียนคงไม่ไกลเกินไปสำหรับเขา ถ้าท่านประสบกับปัญหาในสำนัก อย่าได้กลัวที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ของท่าน
ได้ ข้าทราบแล้ว เจี้ยนเฉินตอบ แต่ใจของเขารู้สึกยุ่งยาก เมื่อเขาคิดถึงพี่ชายที่ลึกลับของเขา เจี้ยนเฉินไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน และเขาก็ไม่ได้รู้ว่านิสัยของพี่ชายเขาเป็นอย่างไร เขาค่อนข้างกังวล ในกรณีที่พี่ชายของเขารู้สึกอิจฉาเกี่ยวกับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังเหมือนกับพี่สาม เจียงหยางเค่อ การอิจฉาบุคคลที่เหนือกว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดปกติในตระกูลใหญ่ ในโลกก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินได้พบกับการปะทะกันทุกรูปแบบในครอบครัว เนื่องจากมีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในช่วงเวลาเดินทางท่องเที่ยวไป
ในใจเจี้ยนเฉิน เขาไม่ได้หวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับเขา ในโลกของเขาก่อนหน้านี้ เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักภายในครอบครัวใด ๆ หากตั้งแต่ที่เขาได้รับพรจากสวรรค์ สำหรับครอบครัวในยามนี้ มันเป็นของขวัญสุดพิเศษสำหรับเขา
สำหรับอสูรอินทรีย์ ด้วยความเร็วสูงมาก ในที่สุดมันก็มาถึงสำนักคากัตภายในระยะเวลาเพียงครึ่งวัน ภายใต้การควบคุมของเจียงไป่ มันค่อย ๆ ลงมาที่ 100 เมตรเหนือพื้นดิน
สำนักคากัตถูกก่อตั้งขึ้นภายในพื้นที่ราบ ที่มีกำแพงสูงนับ 10 เมตรห้อมล้อมมัน สำนักนี้มีขนาดใหญ่โตอย่างไม่ธรรมดา และดินแดนที่มันครอบครองอยู่ก็มากมายเช่นกัน แม้ว่าเจี้ยนเฉินบินร่อนที่ความสูง 100 เมตรเหนือพื้นดิน เขาก็ยังคงไม่สามารถมองเห็นบริเวณรอบ ๆ ทั้งหมดของสำนักนี้ได้เลย
สำนักคากัตเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอาณาจักรเกอซุน และวันนี้เป็นวันที่มีพิธีเปิดเรียนซึ่งจะมีเพียงครั้งเดียวในรอบปี จึงเป็นเหตุให้ประตูด้านหน้านั้นดูจอแจเต็มไปด้วยคนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีพาหนะที่หรูหราอยู่ไม่ไกลจากนั้น อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินไม่รู้จักชื่อของสัตว์อสูรที่ใช้ลากพาหนะได้ เป็นพาหนะที่หลากหลายอย่างแท้จริง และมีผู้คุ้มกันเพียงไม่กี่คนคอยปกป้องพวกมัน
ในท้องฟ้า สัตว์อสูรที่บินได้บางตัวส่งพวกเขาลงลงบนสนามหญ้าสำนัก แต่ละการก้าวเดินล้วนแต่เป็นเด็กเล็ก
เจียงไป่ออกคำสั่งกับอสูรอินทรีย์ให้บินลงไปทางลานรวม พวกมันร่อนลงไปทันทีจากระดับ 100 เมตร ซึ่งทางซ้ายมือมีป้อมปราการสูงอยู่ เขานำเจี้ยนเฉินโดยตรงเข้าไปในป้อมปราการด้านนอกซึ่งยังคงเงียบ สัตว์อสูรไม่มากนักร่อนลงจอดบริเวณนั้น
เจี้ยนเฉินและเจียงไป่ตรงไปที่บริเวณด้านหน้าของป้อมปราการเพื่อไปพบอาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัต อายุของอาจารย์ใหญ่นั้นไม่ได้แตกต่างไปกว่าเจียงไป่ และเจี้ยนเฉินมีความรู้สึกว่าทั้งสองนั้นมีความคุ้นเคยกันบางอย่าง
เพราะความคุ้นเคยนี้ เจี้ยนเฉินสามารถผ่านเข้าสู่สำนักได้อย่างง่ายดายโดยปราศจากปัญหา ภายใต้การแนะนำตัวของอาจารย์ใหญ่ พี่ชายของเขา เจียงหยางหู่ ถูกเรียกขึ้นไปด้านบนของปราการ ทำให้เขาได้เห็นพี่ใหญ่ผู้ลึกลับ ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
เจียงหยางหู่อายุ 18 ปี เขารุ่นราวคราเดียวกับพี่สองของเขา เจียงหยางหมิงเยว่ แต่เจียงหยางหมิงเยว่นั้นอายุน้อยกว่าราว 3 เดือน
เจียงหยางหู่เป็นผู้ชายวัยรุ่นที่แข็งแกร่งพอสมควร ความสูงเขานั้นสูงกว่าเจี้ยนเฉิน และเขาสวมเครื่องแบบของสำนัก เขาลงทะเบียนเรียนในสำนักนี้มานานกว่า 2 ปีและและพลังเซียนของเขาก็ก้าวขึ้นมาถึงระดับสิบ แต่อย่างไรก็ตาม เขายังไม่สามารถบีบอัดพลังให้กลายเป็นอาวุธเซียนได้
ระยะห่างระหว่างจุดสูงสุดของขั้นสิบและอาวุธเซียนไม่ได้ใหญ่กว่ากันเลย แต่ช่วงเวลาระหว่างนั้นที่มีความสำคัญมาก การบีบอัดพลังเซียนให้กลายเป็นอาวุธเซียนเป็นงานที่ท้าทายเป็นอย่างมาก ในทวีปเทียนหยุน หลายคนไม่ได้มีความสามารถในการก่อรูปอาวุธเซียนตั้งแต่เกิดเพราะพวกเขาขาดความเหมาะสม ดั่งเช่นที่อาจารย์ใหญ่กล่าว เจียงหยางหู่ได้มาถึงแล้วจุดสูงสุดของชั้นที่ 10 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและได้พยายามแล้วที่จะสร้างอาวุธเซียนถึง 3 ครั้ง แต่เขาประสบความล้มเหลวทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การได้เห็นเด็กอายุ 18 ปีที่อาจจะสามารถก่อรูปอาวุธเซียนได้ มันเป็นสิ่งที่ยากจะเห็นได้ในทวีปเทียนหยวน โดยอายุเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 20 ปี ก่อนที่อาวุธเซียนจะก่อร่างขึ้น กระนั้นก็ยังกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นอัจฉริยะ แน่นอน คนธรรมดาสามารถสร้างอาวุธเซียนขณะที่อายุเท่านั้น แต่พวกเขาส่วนใหญ่จะไม่สามารถที่จะเดินไปตามเส้นทางของผู้ฝึกวรยุทธได้ยาวนานนัก
เพราะว่าจิตปราณของทวีปเทียนหยวนมากมายนัก ช่วงชีวิตเฉลี่ยของคนก็อยู่ที่ประมาณ 200 ปี สำหรับคนที่สามารถสร้างอาวุธเซียนขณะที่อายุ 20 ปี ก็สามารถพิจารณาได้ว่าดีทีเดียว
เจียงไป่ชี้ไปที่เจียงหยางหู่และพูดกับเจี้ยนเฉินว่า นายน้อยสี่ นั่นคือพี่ชายของท่าน เจียงหยางหู่ มองตรงไปทางนั้นและส่งเสียงเรียก นายน้อยคนโต นี่คือน้องชายของท่าน เจียงหยางเซียงเทียน .
พี่ใหญ่! เจี้ยนเฉินมองที่เจียงหยางหู่ด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขาตะโกนคำทักทายออกมา ในสายตาของเขา เขารู้สึกว่าเจียงหยางหู่เป็นคนที่แข็งแกร่งและตรงไปตรงมา แต่จิตใจของเขาไม่ได้เห็นพ้องอย่างสมบูรณ์นัก
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางหู่เกาแก้มของเขาพร้อมกับหัวเราะออกมา น้องสี่ เจ้ามาหาข้าได้ตลอดเวลา หากเจ้าถูกรังแกในอนาคตก็จงมาหาข้า และข้าจะสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ!
หัวเราะในคำกล่าวของพี่ใหญ่ของเขา เจี้ยนเฉินตอบรับ ถึงเวลานั้น ข้าจะขอพึ่งพาท่าน พี่ใหญ่ ด้วยความประทับใจครั้งแรกนี้ เจี้ยนเฉินคิดว่าเจียงหยางหู่เป็นคนดีมากทีเดียวและความกังวลทั้งหมดที่เขามีเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของเขาก็เริ่มจางหายไปทันควัน
เจียงหยางหู่ส่ายหัวและหัวเราะอีกครั้ง นั่นมันย่อมไม่เป็นปัญหา ยิ่งกว่าไม่เป็นปัญหา ไม่ว่าเจ้าจะว่าอย่างไร ข้าก็ยังคงเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ดังนั้นข้าจะต้องปกป้องน้องสี่อย่างแน่นอน หลังจากนั้นเจียงหยางหู่ก็นิ่ง ก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นข้อสงสัยบางอย่าง
เจียงไป่ น้องสองและน้องสามเล่า? เขาถาม
คุณหนูรองและนายน้อยสามยังมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้ามาเรียนในสำนัก ดังนั้นจึงมีเพียงนายน้อยสี่ที่สามารถเข้าเรียนได้ เจียงไป่ตอบแบบสงบเงียบ
โอ้ ! เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงหยางหู่ดูจะผิดหวังและเริ่มที่จะพูดพึมพำ พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงความต้องการของระดับแปด ช่างอ่อนแอเสียจริง น้องสี่ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เขาก้าวไปถึงระดับ 8 อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะยอดเยี่ยมกว่าข้าที่เป็นพี่ชายของเขาด้วยซ้ำ
นายน้อยคนโต โปรดดูแลนายน้อยสี่ ข้ายังคงมีธุระบางอย่างในการชำระค่าใช้จ่ายกับอาจารย์ใหญ่ เจียงไป่กล่าว
เจียงหยางหู่พยักหน้าอย่างหนักแน่นและทุบหน้าอกของเขาเองด้วยกำปั้น เจียงไป่ ! อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ยอมให้ใครในสำนักรังแกน้องสี่อย่างแน่นอน !
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็ได้รับป้ายสำนักและถูกทิ้งให้อยู่กับพี่ชายของเขา
หลังจากที่ออกจากปราการ เจี้ยนเฉินมองไปที่ป้ายสำนักในมือของเขา เท่านั้นไม่พอมันก็เป็นหลักฐานของเขาในการเป็นลูกศิษย์ มันยังบรรจุที่อยู่หอพักของเขาด้วย
แม้ว่าเจี้ยนเฉินก็ไม่คุ้นเคยกับรูปแบบของสำนักแต่เพราะเจียงหยางหู่อยู่ที่นี่มาก่อนคอยนำทางเขา พวกเขาทั้งสองถึงที่หมายของเขาเร็วกว่าที่เขาคาดไว้
หอพักของสำนักแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้วัสดุที่ทนทานมากซึ่งทำมาจากหินและถูกแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้นเป็นที่สำหรับคนธรรมดาสามัญอยู่และอีกด้านที่เป็นพื้นที่สำหรับบุคคลประเภทเจี้ยนเฉินผู้มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงสนับสนุนเขา ความแตกต่างระหว่างทั้งสองเมื่อเปรียบกันนั้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
สำนักคากัตเป็นสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรเกอซุน ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมชาติที่จะต้องมีลักษณะเฉพาะ สำนักคากัตมีกฎที่เข้มงวดมาก ผู้ที่จะเข้าสำนักต้องบรรลุถึงระดับ 8 ของพลังเซียนก่อนที่จะถึงอายุ 18 จึงจะถึงเกณฑ์ที่ต้องการ ถ้าลูกศิษย์ไม่ถึงระดับนี้แล้วแม้ว่าพวกเขาจะจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงหรือร่ำรวยมากแค่ไหน พวกเขาจะไม่สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนในสำนักนี้ได้
เพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอนอยู่ในระดับต่ำมาก แม้คนธรรมดาก็สามารถลงทะเบียนเรียนได้อย่างง่ายดาย ลูกศิษย์บางส่วนที่ลงทะเบียนเรียนซึ่งประสบความสำเร็จมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่สำนักคากัต ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับหลาย ๆ คน สำหรับลูกศิษย์หลายคนที่มีเบื้องหลังธรรมดาสามัญและมีระดับการบ่มเพาะพลังที่ดี
ที่สำนักคากัตยังมีอีกกฎเหล็กที่ตั้งไว้ว่า เหล่าชนชั้นสูงนั้นไม่อาจที่จะรังแกลูกศิษย์ธรรมดา มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษ หากเป็นกรณีร้ายแรงก็อาจจะถูกไล่ออกจากสำนัก แม้จะเกิดขึ้นกับครอบครัวใหญ่ สำนักคากัตได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรเกอซุน นอกจากนี้อาจารย์ใหญ่เป็นหนึ่งในหกชนชั้นสูงของอาณาจักรเกอซุน จึงไม่มีตระกูลใหญ่กล้าที่จะพูดออกมาต่อต้านกฏเหล็กเช่นนี้
ห้องพักของเจี้ยนเฉินมีพื้นที่ประมาณ 10 ตารางเมตรและการตกแต่งห้องเรียบง่ายมาก นอกเหนือจากเตียงและเก้าอี้ก็ไม่มีสิ่งอื่น อย่างไรก็ตามในห้องเล็กนั้นก็สะอาดมากและด้วยการจัดระเบียบมันก็ดูสะอาดสะอ้านอย่างสมบูรณ์
น้องสี่ นี่เป็นห้องของเจ้า จำที่ตั้งมันให้ดีและระวังอย่าได้ไปผิดทาง เจียงหยางหู่หัวเราะออกมา
เจี้ยนเฉินพยักหน้าและหลังจากวางเสื้อผ้าบางส่วนที่เขานำมา ก่อนที่เขาจะถูกพี่ชายของเขาลากพาเดินไปรอบบริเวณสำนัก เจียงหยางหู่อ้างว่า เพื่อให้เจี้ยนเฉินได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ของเขา
สำหรับช่วงเวลาตลอดทั้งบ่าย เจี้ยนเฉินถูกเจียงหยางหู่ลากเดินไปรอบ ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย
ทันใดนั้น เจียงหยางหู่เริ่มเปิดปากของเขาและกล่าวว่า
น้องสี่ ในวันพรุ่งนี้คือการแข่งขันของลูกศิษย์ที่เข้ามาใหม่ประจำปี มีรางวัลมากมายและผู้มาใหม่ที่ได้อันดับหนึ่ง ราชาองค์ใหม่จะให้แกนอสูรขั้นสาม ผู้ที่ได้อันดับที่สองจะได้รับแกนอสูรขั้นสอง และคนที่ได้อันดับสามจะได้รับแกนอสูรขั้นหนึ่ง เจ้าจะต้องพยายามให้มากและขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง