เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 108
ตอนที่ 108 วันแห่งความโชคดี?
“ซุน.. ก่อนจะไปตอบข้าก่อนว่า นับตั้งแต่วันที่ข้าเข้าไปในดินแดนแห่งการทดสอบจนถึงตอนนี้ เวลาในโลกนี้ได้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว?” หลงเฉินเอ่ยถามซุนถึงเวลาที่แน่นอน
“หากข้าจำมิผิดก็น่าจะสามปีพอดี..” ซุนเอ่ยตอบ
“อืมม.. เท่ากับที่ข้าคิดไว้เช่นกัน!” หลงเฉินพึมพำกับตัวเองในระหว่างที่จ้องมองเงาสะท้อนในกระจก
“ข้าควรต้องรีบออกไปพบนางก่อน สามปีมานี้นางคงจักเป็นกังวลยิ่งนัก!”
หลงเฉินหันหลังเดินออกไปทันที แต่แล้วก็หยุดชะงักคล้ายกับเพิ่งนึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้..
“ก่อนอื่น.. ข้าควรต้องสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมกว่านี้!” หลงเฉินพึมพำกับตนเอง พร้อมกับเดินตรงไปที่ตู้ใส่เสื้อผ้าของตน
“ในเมื่ออาภรณ์เก่าๆก็เล็กหมดแล้ว น่าจะมีอาภรณ์ใหม่ๆที่เหมาะกับร่างกายของข้าเวลานี้ และสามารถสวมใส่ออกไปข้างนอกได้อยู่ที่ใดสักแห่ง”
หลงเฉินบ่นพึมพำในขณะที่เปิดตู้เสื้อผ้าหาอาภรณ์สำหรับสวมใส่ออกไปข้างนอก..
“เหตุใดจึงมีแต่เสื้อผ้าชุดเดิมๆทั้งสิ้น?!!”
หลงเฉินเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อพบว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อยู่ภายในตู้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นชุดเดิมๆ และจัดเรียงรายไว้เช่นเคยเหมือนเมื่อสามปีก่อนมิมีผิด ในขณะเดียวกันก็มีอาภรณ์ชุดใหม่อยู่อีกส่วนหนึ่ง มิได้นำมาปะปนกับชุดเก่าๆ
‘ชุดนี้ก็แล้วกัน.. ดูดีไม่น้อยทีเดียว!’ หลงเฉินครุ่นคิดพร้อมกับหยิบอาภรณ์ชุดใหม่ที่ชื่นชอบออกมาหนึ่งชุด
หลงเฉินหยิบชุดสีฟ้าที่มีเสื้อคลุมสีทองปักลายมังกรออกมาสวมใส่..
“เวลานี้ดูเหมาะสมที่จะออกไปด้านนอกแล้ว..”
หลงเฉินจ้องมองเงาของตนเองในกระจก หลังจากสำรวจความเรียบร้อยแล้ว จึงผลักประตูเดินออกไปนอกห้องทันที
ตุ้บ!!
เสียงคล้ายกับประตูที่หลงเฉินผลักออกนั้นกระแทกเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นเสียงล้มลงกระแทกพื้นก็ดังตามขึ้นมา
เขารีบก้าวเดินออกจากห้องไปดู และได้พบหญิงสาวหน้าตาน่ารักนางหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ กำลังนอนหงายอยู่กับพื้น โดยมีหญิงสาวในวัยใกล้เคียงกันกำลังเก็บถาด และโอสถที่ร่วงอยู่บนพื้น
แต่แล้ว.. หญิงสาวทั้งสองก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าผู้ที่ก้าวเดินออกมานั้นคือหลงเฉิน สีหน้าของพวกนางที่เต็มไปด้วยความตกอกตกใจนั้น พลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามทันที
“ท่านตื่นแล้ว!!”
หญิงสาวที่กำลังก้มเก็บถาดและโอสถอยู่นั้น เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น นางทิ้งทุกอย่างไว้ที่เดิม และรีบวิ่งตรงเข้าไปหาหลงเฉินอย่างรวดเร็ว นางโผเข้าโอบกอดร่างของหลงเฉินไว้แน่น จนหลงเฉินรับรู้ได้ถึงหน้าอกอ่อนนุ่มที่เบียดเสียดอยู่กับเรือนร่างของตน เขามิรู้ว่าควรทำเช่นใด จึงได้แต่ยืนนิ่งกระอักกระอ่วนอยู่เช่นนั้น
“เอ่อ.. เม่ยงั้นรึ?” หลงเฉินกระซิบถามเสียงเบา
“ใช่แล้วนายน้อย!!”
หญิงสาวเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองหลงเฉินด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำเมื่อพบว่าตนเองอยู่ใกล้ชิดกับหลงเฉินมากจนเกินไป นางสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รวยรินออกมา และริมฝีปากของทั้งคู่ก็อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น หลงเฉินจ้องมองริมฝีปากเย้ายวนนั้น และหากเขาโน้มใบหน้าลงไปอีกนิด ก็จะจุมพิตเข้ากับริมฝีปากแดงก่ำนั้นทันที
“ซวี่.. เจ้าเองก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ?”
หลงเฉินเหลือบมองหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง นางก็คือซวี่ผู้เป็นพี่สาวที่ล้มลงกับพื้น และเพิ่งจะลุกขึ้นยืนได้ นางกำลังจ้องมองพวกเขาทั้งคู่แน่นิ่ง
“เอ่อ..”
เม่ยรีบถอยห่างจากหลงเฉินทันที แต่ก็มิยอมละสายตาจากร่างของเขา
“พี่ซวี่..”
ดูเหมือนเม่ยกำลังต้องการที่จะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยอันใด นางก็เห็นซวี่วิ่งตรงเข้าไปกอดร่างของหลงเฉินไว้เช่นกัน
‘นี่มันวันที่โชคดีอะไรของข้ากันนะ?’ หลงเฉินครุ่นคิดในขณะเดียวกันก็กำลังตกใจ ที่ซวี่วิ่งตรงเข้ามากอดตนอีกคนเช่นนี้
“ข้าดีใจยิ่งนัก.. ในที่สุดท่านเองก็ฟื้นขึ้นมาได้!!” ซวี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในขณะที่โอบกอดร่างของเขาไว้แน่น
“เอ่อ.. ขอบใจเจ้ามาก!” หลงเฉินตอบกลับไปเพียงแค่สั้นๆ และล้มเลิกความตั้งใจที่จะผลักนางออก จึงเปลี่ยนมาเป็นลูบไล้แผ่นหลังของนางแทน ส่วนเม่ยก็จ้องมองซวี่ผู้เป็นพี่ด้วยความอิจฉา
“อภัยที่ข้าทำกิริยาเช่นนี้ แต่ได้โปรดให้ข้ากอดท่านเช่นนี้อีกสักหน่อยจะได้หรือไม่?” ซวี่พึมพำออกมาในขณะที่ยังคงโอบกอดหลงเฉินแน่น
หลงเฉินมิตอบอันใด แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นอีกสักพัก ต่างฝ่ายต่างก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน จนกระทั่งผ่านไปไม่กี่อึดใจ ซวี่จึงได้ผละออกจากร่างของหลงเฉิน
“อภัยให้กับกิริยาที่ไม่เหมาะสมของข้าด้วย หวังว่านายน้อยจะไม่ถือสา..” ซวี่โน้มศรีษะลงเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยบอกหลงเฉิน
“เอ่อ.. ข้าเองก็เช่นกัน!” เม่ยรีบโน้มศรีษะลงต่อหน้าหลงเฉินเช่นกัน
“พวกเจ้าทั้งสองมิได้ทำความผิดอันใด มิจำเป็นต้องขอโทษข้าก็ได้!” หลงเฉินเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อ่อ.. แล้วนั่นโอสถอันใดกัน?” หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองโอสถที่ร่วงอยู่บนพื้น
“โอ้.. ข้าลืมไปเสียสนิทเลย!” เม่ยร้องอุทานออกมา และรีบกลับไปก้มเก็บโอสถขึ้นมาทันที
“นี่คือโอสถที่ใช้สำหรับบำรุงร่างกายของท่าน ท่านรับโอสถนี้มาตั้งแต่.. วันที่ท่านนอนหลับไหลไป!” ซวี่เอ่ยตอบหลิงหยุนพร้อมกับจ้องมองเขา
“จริงสินะ! ในเมื่อข้ามิสามารถกินอาหารด้วยตนเองได้ โอสถนี่คงจะมีราคาสูงไม่น้องทีเดียว?” หลงเฉินพึมพำกับตัวเอง
“ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นโอสถที่หลอมกลั่นโดยนักหลอมโอสถที่เก่งกาจของจักรวรรดินี้เลยทีเดียว แม้จะมีราคาที่สูงมาก แต่ตระกูลของท่านย่อมมีกำลังที่จะซื้อหามาได้เป็นแน่” เม่ยเอ่ยตอบพร้อมกับถือโอสถนั้นไว้ในมือ
“ว่าแต่.. ข้านอนหลับไหลไปนานเพียงใดงั้นรึ?” หลงเฉินเอ่ยถาม
“สามปี สองเดือน กับอีกยี่สิบเอ็ดวัน..” ซวี่และเม่ยเอ่ยตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
“โอ้.. เวลาช่างล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าทั้งสองรู้หรือไม่ว่า เวลานี้พวกเจ้างดงามกว่าเมื่อสามปีก่อนมากนัก..” หลงเฉินเอ่ยชมหญิงสาวทั้งสอง พร้อมกับสายตาที่จับจ้องอยู่บนเรือนร่างซึ่งมีส่วนโค้งส่วนเว้างดงามยิ่ง
“นายน้อยเองก็หล่อเหลาขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากเช่นกัน..” เม่ยเอ่ยตอบในขณะที่ก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าอันแดงก่ำของตนไว้
“ฮ่าๆๆๆ เจ้ากล่าวได้ถูกต้องนัก!!” หลงเฉินหัวเราะออกมาด้วยความถูกอกถูกใจ
“ว่าแต่.. เวลานี้ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ห้องหรือไม่?” หลงเฉินหันไปมองหญิงสาวทั้งสองพร้อมกับเอ่ยถามออกไป
“เวลานี้ฮูหยินกำลังประชุมอยู่กับท่านประมุข และเหล่าอาวุโสอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ นางได้ยินมาว่ามีอาวุโสหลายท่านต้องการปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องของท่าน นางจึงไปเข้าร่วมประชุมพร้อมกับท่านประมุขด้วย” ซวี่เอ่ยตอบด้วยสีหน้าแปลกไป
“อ่อ?! เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับข้างั้นรึ?” หลงเฉินเอ่ยถาม
“อภัยให้ข้าด้วยนายน้อย ข้ามิรู้รายละเอียด!” ซวี่เอ่ยตอบด้วยสีหน้าเสียใจ
“ไม่เป็นไร.. ข้าจักไปพบพวกเขาด้วยตัวเอง พวกเจ้าสองคนรอข้าอยู่ที่นี่ก่อน!” หลงเฉินยิ้มให้กับหญิงสาวทั้งสองก่อนจะเดินจากไป
“นายน้อย.. พวกเราจะไปกับท่านด้วย” หญิงสาวทั้งสองร้องบอกพร้อมกับเดินตามหลงเฉินไป
“ได้สิ แต่พวกเจ้าเข้าไปในห้องโถงใหญ่กับข้ามิได้!” หลงเฉินร้องบอกในขณะที่ยังคงเดินไปข้างหน้า
หลงเฉินก้าวไปตามทางเดินภายในจวนขนาดใหญ่ของตระกูลหลง สมาชิกในตระกูลส่วนใหญ่กลับมิสามารถจดจำเขาได้ นั่นเพราะสามปีที่ผ่านมา พวกเขาต่างก็มิเคยเห็นหน้าของหลงเฉินกันเลย แต่คนที่เกือบจะจะจำเขามิได้ ก็เอาแต่ตกใจ และจ้องมองหลงเฉินที่เดินผ่านไปด้วยความตกตะลึง
ไม่นานนัก หลงเฉินก็เข้าใกล้ห้องโถงใหญ่ของตระกูล เขาเดินตรงเข้าไปใกล้ประตู แต่ในขณะที่กำลังจะเอื้อมมือผลักประตูให้เปิดออกนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านใน และยิ่งเขาได้ฟังคำพูดเหล่านั้นมากเท่าใด ก็ทำให้เขายิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น