เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 122
ตอนที่ 122 อวดเบ่ง
“ข้าอายุสิบห้าปี เวลานี้เข้าสู่ในอาณาจักรบ่มเพาะขั้นเดียวกันกับองค์ชาย พวกเราเริ่มการประลองได้เลย” หลงเว่ยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจยิ่ง
“เชิญ!” องค์ชายเย่วหมิงเอ่ยตอบ และอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจู่โจมอีกฝ่าย
“เคลื่อนไหวล่องลอย!” องค์ชายเย่วหมิงเป็นฝ่ายใช้วรยุทธเคลื่อนไหวพุ่งเข้าจู่โจมหลงเว่ย
“ก้าวพริบตา!” หลงเว่ยใช้วรยุทธเคลื่อนไหวของตนหลบหลีกการจู่โจมในทันที แต่ดูเหมือนความเร็วของหลงเว่ยจะแผ่วลงทันที เมื่อเทียบกับความเร็วขององค์ชายเย่วหมิง
เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนจากตั้งรับ มาเป็นฝ่ายจู่โจมแทนในทันที..
“ฝ่ามือบิดนภา!” หลงเว่ยพิมพ์ออกมา พร้อมกับพุ่งจู่โจมเข้าใส่ร่างขององค์ชายเย่วหมิงอย่างรวดเร็ว
“หมัดพิชิตปฐพี!” องค์ชายเย่วหมิงกล่าวเสียงเบาในขณะที่รวบรวมพลังปราณทั่วร่างพุ่งไปที่กําปั้นของตน พร้อมกับชกกําปั้นทั้งสองออกไป พลังฝ่ามือของหลงเว่ยปะทะเข้ากับพลังหมัดขององค์ชายเย่วหมิง แล้วร่างของหลงเว่ยก็กระเด็นลอยละลิ่วถอยหลังออกไปก่อนจะร่วงลงพื้นในที่สุด
“ขอบคุณสําหรับคําชี้แนะ นับเป็นการประลองที่น่าประทับใจสําหรับข้ายิ่งนัก!” องค์ชายเย่วหมิงก้าวถอยหลังกลับไป ในขณะที่หลงเว่ยเองก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเก้อเขิน มือทั้งสองข้างปัดฝุ่นที่เปื้อนอยู่ต่างอาภรณ์ พร้อมกับก้าวเดินออกจากสนามประลองเช่นกัน
“นับเป็นการประลองที่น่าประทับใจยิ่ง! น้องสี่ ฝีมือของเจ้าก้าวหน้าไปมากทีเดียว!” องค์ชายสองเอ่ยชมองค์ชายสีที่ก้าวเดินผ่านหน้าเขาไป
“ขอบคุณพี่สอง” องค์ชายสี่เย่วหมิงหันไปเอ่ยขอบคุณพร้อมกับยิ้มให้องค์ชายสอง
“น้องสาม.. ถึงคราวของเจ้าบ้างแล้ว!” องค์ชายสองหันไปบอกกับองค์ชายเย่วติงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ด้วยความยินดี!” องค์ชายสามตอบรับ และเดินก้าวเดินออกไปอย่างว่าง่ายโดยมิอิดออด เขามิต้องที่จะทะเลาะเบาะแว้งกับองค์ชายเย่วหยวนต่อหน้าพระบิดา
แต่ในขณะที่องค์ชายสามกําลังจะก้าวเท้าออกไปด้านหน้านั้น เขาก็ต้องหยุดชะงักกลางคัน เมื่อพบว่าใครบางคนก้าวเดินลงไปกลางสนามประลองก่อนหน้าตนแล้ว
“ข้ากู่หนานหลี่แห่งตระกูลกู่… อายุสิบแปดปีเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นแปดแล้ว ผู้ใดที่อายุต่ำกว่าสิบเก้าปี ขอเชิญเข้ามาประลองฝีมือกับข้าได้ มิทราบว่าทายาทตระกูลหลงผู้ใดต้องการจะประลองกับข้าหรือไม่?” กู่หนานหลี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปทางเหล่าทายาทตระกูลหลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงเฉิน!
ผ่านไปครู่ใหญ่.. ก็ยังมีมีผู้ใดก้าวลงสู่สนามประลอง
“หึ มิมีทายาทตระกูลหลงผู้ใดกล้าประลองกับข้าเลยรึ? ตระกูลหลงทําให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!” กู่หนานหลี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้า และน้ำเสียงที่ผิดหวังยิ่ง
“เวลานี้ตระกูลหลงของเรายังมีมีทายาทคนใดที่อายุต่ำกว่าสิบเก้าปี สามารถเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นเจ็ดได้ด้วยซ้ำ เรื่องนี้เขาเองก็น่าจะรู้มิใช่รึ? เหตุใดยังเอ่ยคําท้าทายเช่นนี้ออกมาได้ หากซูเอ๋ออยู่ที่นี่ด้วยแล้วล่ะก็…” อาวุโสสูงสุดได้แต่พึมพําเสียงเบา
“คุณชายหนานหลี่… เหตุใดจึงไม่ท้าทายข้าแทนเล่า?”
ฉินโหยวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น และกําลังจะเดินตรงไปยังสนามประลอง แต่แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นตกใจยิ่ง เมื่อเห็นว่าร่างของหลงเฉินได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าคู่หนานหลี่แล้ว
“อภัยให้ข้าด้วยแม่นางโหยว! ในเมื่อกู่หนานหลี่ท้าทายตระกูลหลงของข้า ข้าจึงอยาก จะลองรับคําท้าของเขาเสียหน่อย หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา..” หลงเฉินหันไปยิ้มให้ฉินโหยวพร้อมกับเอ่ยบอกนาง
ทั่วทั้งโถงฝึกยุทธต่างก็จ้องมองด้วยความตกอกตกใจ เมื่อได้เห็นและได้ยินหลงเฉินกล่าววาจาโอหังเช่นนั้นออกไป..
“นี่เขาคิดจะทําอะไร?! นั่นมันอันตรายยิ่งนัก!” องค์หญิงสามพึมพําพร้อมกับจ้องมองหลงเฉินด้วยสีหน้ากระวนกระวาย และเป็นห่วงเป็นใย แม้แต่องค์ชายสองยังถึงกับอ้าปากค้าง และมิเข้าใจว่าหลงเฉันคิดจะทําสิ่งใดกันแน่
“เหริน?! จะดีงั้นรึ?! หลานชายของเจ้าไม่น่าเลือดร้อน เขาควรต้องคิดถึงผลที่จะตามมาให้ดีเสียก่อน!” จักรพรรดิเย่วหานหันไปมองหลงเฉินพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน ในขณะที่ปากก็เอ่ยกับหลงเหรินที่นั่งอยู่ข้างๆ
“กลับเข้ามาเทียนเอ๋อ!! มันอันตรายเกินไป!” ซือหม่าจวี้อี๋ลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง แววตาและสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความวิตกังวลยิ่ง
“ท่านแม่ ได้โปรดเชื่อใจข้า!” หลงเฉินหันไปบอกกับซือหม่าจวี้อี๋พร้อมกับยิ้มให้นางอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ข้า ข้าเชื่อใจเจ้า!!” ซือหม่าจวี้อี๋ได้ยินเช่นนั้น จึงได้แต่นั่งลงและตัดสินใจที่จะเชื่อมั่นในตัวหลงเฉิน
“เขาดูมั่นอกมั่นใจยิ่งนัก! ดูเหมือนเขาจะมีแผนการอยู่ในใจแล้วว่าจะสามารถเอาชนะกู่หนานหลี่ได้” องค์หญิงใหญ่พิมพ์ออกมาพร้อมกับสายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลงเฉิน
“หึ.. ดูท่าไอ้ปัญญาอ่อนจะสร้างความอับอายให้กับตระกูลหลงอีกแล้วสินะ!” หลงเว่ยครุ่นคิดพร้อมกับทําท่าทางฮึดฮัดออกมาอย่างไม่พอใจ
“อืมม.. น่าแปลกยิ่งนัก..” องค์จักรพรรดิพิมพ์ออกมาหลังจากที่ใช้สัมผัสเทวะสํารวจหลงเฉิน
“แปลกอะไรรึพะยะค่ะ?!” หลงเหรินเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
“ข้าพยายามใช้สัมผัสเทวะสํารวจหลานชายของเจ้าน่ะสิ แต่กลับมิสามารถมองเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของเขาได้ เขาดูคล้ายกับคนธรรมดาที่มีมีพลังบ่มเพาะแต่อย่างใด ช่างน่าแปลกยิ่งนัก ท่านมอบของวิเศษที่สามารถปกปิดขั้นพลังให้กับเขาหรือไม่?” จักรพรรดิเย่วหานเอ่ยถามเสียงเบา
“นี่มันอะไรกัน?! ฝ่าบาท กระหม่อมเองก็มิเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของเขาเช่นกัน!!” ฉินเหวินได้ยินคําพูดของจักรพรรดิเย่วหาน จึงได้ลองใช้สัมผัสเทวะของตนสํารวจดูบ้าง แต่ก็พบว่าตนมิสามารถมองเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของหลงเฉินได้เช่นกัน
“อ่อ.. คือ วันนี้กระหม่อมได้มอบของวิเศษชิ้นหนึ่งให้กับหลานชายเพื่อปกปิดขั้นพลังบ่มเพาะของตน เขาเป็นเด็กหนุ่มขี้อายมิชอบให้ผู้คนล่วงรู้พลังของตนนัก” หลงเหรินหาข้ออ้างแก้ตัว
“อ่อ ที่แท้เจ้าก็ให้ของวิเศษกับเขาเพื่อปกปิดขั้นพลังบ่มเพาะนี่เอง นี่เจ้าคงต้องการ ทําให้พวกเราประหลาดใจสินะ? ดูท่าอีกไม่นานพวกเราคงได้พบเห็นขั้นพลังบ่มเพาะที่แท้จริงของเขา” จักรพรรดิเย่วหานเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“คุณชายหนานหลี่ ข้ารับคําท้าของเจ้า!” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ
“เจ้าหนู เจ้าล้อข้าเล่นงั้นรึ?! เจ้าอ่อนกว่าข้าถึงสามปี อีกทั้งวรยุทธบ่มเพาะยังต่ำยิ่งกว่าขยะ เจ้านี่นะจะประลองกับข้า? นี่เจ้าคงคิดว่าข้าจะต้องออมมือให้กับเจ้า เพียงเพราะว่าเป็นการประลองภายในตระกูลหลงสินะ? เจ้าอย่างได้ฝันไปเลย!” กู่หนานหลี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่ดุร้ายยิ่ง
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมิยอมอ่อนข้อให้ข้าแน่ และนั่นจะยิ่งทําให้การประลองสนุกมากขึ้นมิใช่รึ? คุณชายกู่หนานหลี่ ข้าต้องการให้เจ้าใช้พลังความแข็งแรงของตนเองอย่างเต็มที่ต่างหากเล่า” หลงเฉินเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ได้เลยเจ้าหนู! ในเมื่อเจ้าเองกระหายและโหยหาความพ่ายแพ้เช่นนี้ ข้าก็ยินดีที่จะทําความปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริง” กู่หนานหลี่ร้องตอบด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
กู่หนานหลี่เป็นฝ่ายพุ่งเข้าใส่หลงเฉิน เขาชกหมัดตรงเข้าใส่ร่างของหลงเฉิน และใช้เพียงแค่พละกําลังของร่างกายเท่านั้น มิได้มีการใช้พลังปราณแต่อย่างใด เขาคิดว่าการประลองกับหลงเฉินนั้น มิจําเป็นที่เขาจักต้องใช้พละกําลังทั้งหมดที่มีด้วยซ้ำไป
ทุกคนที่อยู่ภายในโถงฝึกยุทธต่างก็พากันตกอกตกใจกับภาพที่ได้พบเห็นเวลานี้
หลงเฉินไม่แม้แต่จะก้าวถอยหลังเพื่อหลบหนีแม้แต่ก้าวเดียว เขายังคงยืนตระหง่านนิ่งราวกับภูผา และเมื่อกําปั้นของคู่หนานหลีเข้าใกล้กับร่างของเขา หลงเฉินก็เพียงแค่ยื่นมือซ้ายของตนออกไปกําหมัดของหนานหลีไว้เท่านั้น ก็สามารถหยุดการจู่โจมของกู่หนานหลี่ได้ทันที
ในสายตาของผู้ที่ชมการประลองอยู่เวลานี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าหลงเฉินสามารถหยุดการจู่โจมของกู่หนานหลี่ได้โดยง่าย และแทบมิต้องใช้ความพยายามเลยแม้แต่น้อย
จักรพรรดิเย่วหานถึงกับขมวดคิ้ว เขาจ้องมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ และใจจดใจจ่อ..
“คุณชายหนานหลี่ นี่เจ้าเล่นต่อสู้กับข้าหรืออย่างไรกัน? เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะบอกกับข้าว่า จะมิยอมอ่อนข้อให้กับข้าอย่างไรเล่า?” หลงเฉินเอ่ยเย้ยหยันพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
เวลานี้กู่หนานหลี่ใช้พละกําลังทั้งหมดของตนที่มี เพื่อที่จะดึงกําปั้นของตนกลับมา และให้เป็นอิสระจากฝ่ามือของหลงเฉินที่เกาะกุมอยู่ แต่แม้เขาจะใช้พละกําลังทั้งหมดที่มี ก็ยังมิสามารถดึงกําปั้นของตนกลับมาได้ จึงต้องใช้กําปั้นอีกข้างจู่โจมเข้าใส่ใบหน้าของหลงเฉินแทน แต่หลงเฉินก็สามารถคว้ากําปั้นของคู่หนานหลีไว้ได้อีกข้าง
“เจ้ามิควรที่จะจู่โจมใส่ใบหน้าของคู่ต่อสู้เช่นนี้ เพราะมันจักทําให้ใบหน้าของเจ้าดูน่า เกลียดไปด้วย!”
หลงเฉินเอ่ยบอกกู่หนานหลีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเวลานี้ฝ่ามือทั้งสองของเขา ก็ได้ บีบกําปั้นทั้งสองของคู่หนานหลี่แน่นยิ่งกว่าเดิม ทําให้ใบหน้าของคู่หนานหลี่บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด
“ปล่อยข้านะไอ้ลูก”
กู่หนานหลี่กัดฟันแน่นและจ้องมองหลงเฉินด้วยแววตาเคียดแค้น แต่ยังมิทันที่เขาจะเอ่ยจบประโยค ฝ่ามือหนักหน่วงก็ซัดเข้าใส่ใบหน้าของเขา จนร่างของกู่หนานหลี่ลอยละลิวกระเด็นออกไปราวกับว่าวที่ขาดสายปาน
“คุณชายหนานหลี่ หัดเป็นผู้ที่มีมารยาทบ้าง! นี่ข้าแค่สั่งสอนให้เจ้ารู้จักพูดจาให้เหมะกับกาละเทศะ!” หลงเฉินร้องตะโกนบอกกับคู่หนานหลี่ และทุกคนในโถงฝึกยุทธต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน
แม้กระทั่งองค์จักรพรรดิเย่วหาน ยังถึงกับหันไปจ้องมองหลงเฉินด้วยดวงเนตรที่เบิกกว้าง..