เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 125
ตอนที่ 125 ขั้นพลังบ่มเพาะที่แท้จริง?
“ พี่สอง.. ถึงคราวของท่านแล้ว! ข้าเองก็กําลังรอดูความสามารถของท่านอยู่!” องค์ชายเย่วติงหันไปยิ้มให้กับองค์ชายสองพร้อมกับเอ่ยตอบ
“เขาเป็นน้องชายของข้า เหตุใดข้าต้องประมือกับเขาด้วยเล่า? เจ้าเองก็หาได้อ่อนด้อยกว่าข้าไม่น้องสาม หากแม้แต่เจ้ายังพ่ายแพ้ให้กับเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าข้าเป็นแน่ และดูจากที่เจ้าพ่ายแพ้ให้กับเขาอย่างไม่เป็นท่าเช่นนี้ ข้ามิคิดว่าตนเองจักสามารถเอาชนะเขาได้เช่นกัน..” องค์ชายสองเอ่ยตอบองค์ชายเย่วติงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เหตุใดท่านจึงยอมแพ้โดยง่ายเช่นนี้เล่า? นี่ย่อมบ่งบอกถึงความขี้ขลาดของท่าน?” องค์ชายสามกล่าวเย้ยหยัน
“หากเจ้าคิดเช่นนั้นแล้วรู้สึกดี ก็เชิญเจ้าคิดไปเถิด” องค์ชายสองเอ่ยตอบพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“น้องหญิง.. เขาเก่งมากเลยใช่หรือไม่?” องค์ชายเย่วหยวนหันไปกระซิบกระซาบกับองค์หญิงเย่วเฟย พร้อมกับจับจ้องไปทางหลงเฉิน
“ใช่แล้ว เขาเก่งมากทีเดียว!” องค์หญิงเย่วเฟยพึมพําเสียงเบา แต่มิกล้ามองไปทางหลงเฉิน
เมื่อเห็นว่ามิมีผู้ใดก้าวเดินออกมากลางลานประลองแล้ว หลงเฉินจึงได้เดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง เขาจ้องมองซือหม่าจวี้อี๋ที่ยังคงยืนตกตะลึงอยู่ สีหน้าของนางบ่งบอกว่า กําลังพยายามทําความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่
“เอาล่ะ ในที่สุดงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลงแล้ว ครั้งนี้หลานชายของเจ้านับว่าโดดเด่นที่สุด!” จักรพรรดิเย่วหานหันไปเอ่ยกับหลงเหริน
“เฒ่าเหริน. บอกข้ามาเดี๋ยวนี้! เหตุใดท่านจึงต้องปกปิดขั้นพลังบ่มเพาะของเขาด้วย? เป็นไปมิได้ที่จากการประลองของเขาทั้งหมด เขาจะต่อสู้โดยใช้แต่พละกําลังของร่างกายเพียงถ่ายเดียว ต่อให้เขาจะมีวิชาบ่มเพาะร่างกายที่ล้ำเลิศมากเพียงใด ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะผู้บ่มเพาะพลังในอาณาจักรผสานวิญญาณขั้นแปดได้ ข้าเชื่อว่าต่อให้เขาบ่มเพาะกายเนื้อได้แข็งแกร่งมากเพียงใด แต่พลังบ่มเพาะของเขาย่อมต้องสูงส่งไม่แพ้กัน บอกข้ามา เวลานี้หลงเทียนอยู่ในอาณาจักรบ่มเพาะใดกันแน่?”
ฉินเหวินจ้องมองหลงเหรินพร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้ ก่อนจะเอ่ยหยอกเย้าต่อไปว่า
“หรือที่ผ่านมาท่านโกหกผู้คนว่า นับจากที่หลงเทียนถูกคนร้ายลอบสังหาร สมองของเขาก็ได้รับการระทบกระเทือนเสียหาย จนมิอาจฝึกวรุยทธบ่มเพาะได้อีก และยังทําอะไรไม่ได้อีกมากมาย? หากท่านต้องโกหกเช่นนั้นข้าเองก็พอเข้าใจได้ การที่ท่านต้องทําเช่นนั้นก็เพื่อปกป้องเขาจากการถูกผู้คนคิดร้ายหมายเอาชีวิต พลังปราณที่เขาใช้ในการประลองในยกสุดท้ายนั้น ข้าสัมผัสได้ว่ามันแข็งแกร่งเทียบเท่าอาณาจักรผสานวิญญาณขั้นหกเป็นอย่างน้อย หรือนั่นคือขั้นพลังบ่มเพาะที่แท้จริงของเขา?”
จักรพรรดิเย่วหานได้ฟังคําพูดของฉินเหวิน ก็หันไปมองหลงเหรินอย่างเห็นด้วยเช่นกัน
“เหริน.. เหตุใดเจ้าจึงมิเรียกหลานชายของเจ้ามาที่นี่เล่า? ข้าอยากจะสนทนากับเขายิ่งนัก!” จักรพรรดิเย่วหานเอ่ยกับหลงเหรินด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลงเหรินจึงตัดสินใจทําตามความต้องการของจักรพรรดิเย่วหานและร้องตะโกนเรียกหลงเฉินให้มาหาทันที
หลงเฉินได้ยินเสียงร้องเรียกของท่านปู จึงรีบเดินตรงเข้าไปหาทันที
“พ่อหนุ่ม.. การประลองของเจ้าเมื่อครู่นั้น ทําให้พวกเราสนอกสนใจอย่างยิ่ง และอยากจะรู้ว่าเจ้าเข้าสู่อาณาจักรใดแล้วกันแน่? บอกให้พวกเรารู้บ้างจะได้หรือไม่?” ฉินเหวินจ้องมองหลงเฉินพร้อมกับเอ่ยถามออกไป
หลงเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงได้ยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยตอบไปตามความจริง “อาณาจักรแก่นปราณทองคําขั้นที่แปด…”
ฉินเหวิน หลงเหริน และจักรพรรดิเย่วหาน ทั้งสามต่างก็จ้องมองหลงเฉินด้วยแววตาว่างเปล่า จากนั้นฉินเหวินก็เริ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง แม้แต่จักรพรรดิเย่วหาน และหลงเหรินเองยังอดที่จะหัวเราะตามไม่ได้
“เฒ่าเหริน หลานชายของเจ้ารู้จักทําให้ผู้คนหัวเราะได้ด้วยรึ?” ฉินเหวินเอ่ยตอบและยังคงหัวเราะเสียงดังขณะที่จ้องมองหลงเฉิน
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ถอดเครื่องลางที่ปกป้องมิให้คนเห็นขั้นพลังของตนออกเล่า? พวกเราจักได้เห็นอาณาจักรแก่นปราณทองคําของเจ้า!” ฉินเหวินกล่าวหยอกเย้าหลงเฉินพร้อมกับหัวเราะออกมาไม่หยุด แม้จะพยายามกลั้นไว้แล้วก็ตาม
เขากล่าวถึงเครื่องลางอันใดกัน?” หลงเฉินได้แต่แอบคิดด้วยสีหน้างุนงง
“เอาล่ะเทียนเอ๋อ.. เจ้ามิต้องอับอายกับขั้นพลังบ่มเพาะของตนเอง เพียงเท่านี้ก็เก่งมากแล้วสําหรับเด็กหนุ่มในวัยเช่นเจ้า บอกพวกเรามาตามความจริงเถิด!” หลงเหรินเอ่ยบอกยิ้มๆ
“เอ่อ.. ได้ๆ เมื่อคืนนี้ข้าเพิ่งจะทะลวงเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นหกได้” หลงเฉินหันไปฉีกยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบกลับไป
“เป็นดังที่ข้าคาดคิดไว้จริงๆ ในบรรดาทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลง แม้เจ้าจักอยู่ในวัยเดียวกับหลงเว่ย แต่กลับเข้าสู่อาณาจักรบ่มเพาะที่เหนือกว่าได้ อีกทั้งวรยุทธต่อสู่ของเจ้ายังแข็งแกร่งกว่าเขาด้วย หลายๆคนก็คงจะเห็นด้วยกับข้า” จักรพรรดิเย่วหานเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปมองหลงเฉิน
“ขอบพระทัยสําหรับคําชื่นชมฝ่าบาท” หลงเฉินเอ่ยตอบกลับไปทันที
หลายคนที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ต่างก็ถึงกับตระหนกตกใจไม่น้อย ในขณะที่บางคนอย่างซือหม่าจวี้อี๋และซวี่ต่างก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขยิ่ง ส่วนคนอื่นๆ อย่างเช่นหลงเว่ยกลับรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ ทางด้านกู่หนานหลี่และพ่อของเขาได้กลับไปก่อนหน้านี้นานแล้ว และเวลานี้ฉินโหยวก็กําลังเหลือบมองหลงเฉินพร้อมกับครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างต่างจากคนอื่นๆ
ในที่สุดงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง ต่างคนจึงต่างพากันจากไปด้วยประสบการณ์ต่างๆกันไป
คืนนั้น หลงเฉินเดินไปหามารดาที่ห้อง และเมื่อซือหม่าจวี้อี๋ถามถึงเรื่องความแข็งแกร่งของเขาว่าได้มาเช่นใด? หลงเฉินจึงได้บอกเล่าเรื่องราวดังเช่นที่ได้บอกกับหลงเหรินให้นางฟัง ซือหม่าจวี้อี๋ได้แต่ขอบคุณสวรรค์ที่มอบความโชคดีเช่นนี้ให้กับหลิงเฉิน หลังจากที่ใช้เวลาอยู่กับมารดาครู่หนึ่งแล้ว ในที่สุดหลงเฉินก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง
“เฮ้อ… นี่มันวันอะไรกัน…”
ทันทีที่เข้าไปในห้องนอน หลงเฉินก็ไปนอนแผ่หราอยู่บนเตียงของตนเองเพื่อพักผ่อน หลังจากนอนนิ่งอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหลงเฉินก็ลุกขึ้นมานั่ง
เขาเริ่มทํากิจวัตรเหมือนเช่นเคยทําในทุกๆวันคือ เริ่มป้อนพลังชี้ให้กับไข่ หลังจากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะตลอดทั้งคืน
ค่ำคืนผ่านไป เข้าสู่เช้าวันใหม่.. หลงเฉินหยุดฝึกวรยุทธบ่มเพาะ และเอนกายลงบนเตียงนอนก่อนจะเผลอหลับไป และตื่นขึ้นมาอีกคราในช่วงบ่ายของวัน หลงเฉินเอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินออกไปด้านนอก
“ตื่นแล้วรีเทียนเอ๋อ ก่อนหน้านี้ข้าให้เม่ยไปเรียกเจ้า แต่นางกลับมาบอกว่าเจ้ากําลังนอนหลับสนิท เมื่อวานเจ้าคงเหนื่อยมากสินะ ข้าให้คนเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว!” ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นหลงเฉินเดินเข้ามาหาตนที่ห้อง
“ใช่แล้วท่านแม่ เมื่อคืนข้านอนดึกไปหนอ่ย” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้
ไม่นานนัก อาหารเที่ยงก็ถูกนํามาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าหลงเฉิน
“ท่านแม่ ข้ามีบางสิ่งจะบอกกับท่าน” หลงเฉินจ้องมองมารดาของตนพร้อมกับเอ่ยออกไป
“เรื่องอันใดงั้นรึ?!” ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยคาม
“สองสามวันนับจากนี้ ข้าจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อฝึกฝนวิชา ข้าคงจะมิสามารถออกมาพบท่าน หรือรับประทานอาหารเป็นเพื่อนท่านแม่ได้ แต่หากข้ารู้สึกหิว จักบอกบ่าวไพร่ที่อยู่ด้านนอกให้นําอาหารมาให้ข้าเอง ท่านให้ซวี่กับเมียนําอาหารมาส่งใหข้าที่ห้องก็พอ..” หลงเฉินเอ่ยบอกมารดา
“ได้สิ!” นางตอบตกลง เพราะรู้ว่ามิสามารถห้ามปรามหลงเฉินได้
หลังรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย หลงเฉินจึงเดินกลับไปที่ห้องของตนอีกครั้ง และปิดประตู
“เอาล่ะ ได้เวลาฝึกฝนวรยุทธใหม่ที่ได้รับมาแล้ว!” หลงเฉินนั่งลงบนเตียงพร้อมกับเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม