เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 139
ตอนที่ 139 คุ้นๆ
“นี่…เจ้าจักนั่งอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันเลยงั้นรึ? พวกเรายังไม่ถึงจุดหมายมิใช่รึ? พวกเรามิควรเสียเวลานั่งอยู่ที่นี่ทั้งวัน..” ซุนเอ่ยบอกพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
หลงเฉินลุกขึ้นยืนเดินตรงเข้าไปยังเมืองจันทราสีเงิน เดินไปไม่นานนักเขาก็ไปถึงเขตกําแพงเมือง แต่ครั้งนี้หลงเฉินเลือกที่จะมิเข้าไปทางประตูเมืองปกติ เขาเดินเลี้ยงห่างออกไปไกล แล้วเริ่มเปิดสัมผัสเทวะออกสํารวจหลังกําแพงอีกด้านว่ามีผู้คนปรากฏอยู่หรือไม่
เมื่อพบว่าตําแหน่งหลังกําแพงที่ตนยืนอยู่นั้นมีคนอยู่ราวสองสามคน หลงเฉินจึงได้เดินออกไปอีกสักระยะ และยังคงเปิดสัมผัสเทวะสํารวจอยู่เช่นนั้น เมื่อพบตําแหน่งที่ฝั่งตรงข้ามหลังกําแพงไร้ซึ่งผู้คน เขาจึงหยุดลง..
“ปีกมารสวรรค์!”
หลงเฉินพึมพําเสียงเบา แล้วปีกพลังชี่ทั้งสองก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเขา ปีกข้างหนึ่งสีดําในขณะที่อีกข้างหนึ่งเป็นสีทองสุกสว่าง หลงเฉินบินขึ้นไปกลางอากาศ แล้วบินข้ามกําแพงเมืองไปอีกฝั่งได้อย่างง่ายดาย
หลงเฉินเดินไปตามเส้นทางซึ่งมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองจันทราสีเงิน หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็ไปถึงถนนกว้างเส้นหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นถนนเส้นหลักที่มุ่งสู่ตัวเมือง ตามถนนหนทางมีร้านค้า อยู่มากมายทั้งสองฝั่ง แต่หลายร้านกลับบิด มีเพียงไม่กี่ร้านที่มั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเท่านั้นที่เปิด แต่ก็หามีลูกค้าเข้าร้านแม้แต่คนเดียวไม่
ความจริงแล้ว…เมืองทั้งเมืองกลับดูว่างเปล่า เท่าที่หลงเฉินเห็นนั้นมีเพียงแค่ทหารไม่กี่นายที่เดินตรวจตรารอบเมืองเท่านั้น แต่หามีชาวบ้านปกติทั่วไปอยู่ไม่
หลงเฉินยังคงเดินมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย จนในที่สุดเขาก็พบเจอเข้ากับชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งจึงได้เดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยถาม
“เหตุใดวันนี้ในเมืองจึงได้เงียบเชียบว่างเปล่าเช่นนี้เล่า?”
“พ่อหนุ่ม นี่เจ้าออกมาทําอะไรนอกบ้าน? แล้วเจ้าไปอยู่ที่ใดมาจึงมิรู้ว่าเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น พ่อแม่ของเจ้าไม่บอกเล่า หรือเอ่ยเตือนบ้างเลยงั้นรึ?” ชายผู้นั้นกลับจ้องหน้าหลงเฉินด้วยความสงสัย พร้อมกับเอ่ยถามแทน
“เกิดเหตุอันใดงั้นรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามขณะที่จ้องมองชายผู้นั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ก็ทหารที่เฝ้าประตูเมืองจันทราสีเงินน่ะสิ วันนี้ถูกคนนอกสังหารตายจนหมด! แม้กระทั่งหัวหน้าทหารเองยังถูกเจ้าปีศาจนั่นสังหารตายอย่างโหดเหี้ยม เวลานี้เจ้าปีศาจที่กระทําการครั้งนี้ ยังมิถูกจับกุมตัว มันอาจจะเข้าเมืองมาแล้ว หรือไม่ก็หนีกลับเข้าไปในป่าเวลานี้ชาวบ้านชาวช่องต่างก็พากันหวาดกลัวยิ่งนัก!”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบหลงเฉิน ในขณะที่สีหน้าของหลงเฉินถึงกับเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว.
“แล้วเหตุใดท่านยังมาเดินอยู่ข้างนอกเช่นนี้เล่า? ท่านมหวาดกลัวปีศาจตนนั้นหรอกรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า
“หากมิจําเป็นข้าก็คงไม่ออกมาเช่นกัน เวลานี้บุตรสาวของข้ากําลังปวย ข้ากําลังจะไปเชิญท่านหมอไปดูอาการของนาง ข้าคงมิอาจทนเห็นนางต้องทุกข์ทรมานเช่นนั้นเพียงเพราะความหวาดกลัวของตนเอง อีกอย่าง ข้าเองก็เชื่อว่าผู้ที่ลงมือสังหารทหารเหล่านั้นน่าจะต้องหนีไปแล้ว เพราะเวลานี้ทั่วทั้งเมืองต่างก็มีการเฝ้าระวังอย่างมาก ทั้งทหารและผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่ สุดของเมืองเรา ก็ได้ออกมาเฝ้าระวัง หากเกิดเหตุการณ์โกลาหลวุ่นวายขึ้นภายในเมือง พวกเขาจะสามารถเข้ามาช่วยได้โดยเร็ว ข้าว่ามือสังหารผู้นั้นคงจะมิกล้าเข้าเมืองมาเป็นแน่”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยบอกหลงเฉิน ในขณะเดียวกันก็ปลอบใจตนเองไปด้วย
“ขอบคุณสําหรับคําบอกเล่า ข้าขอให้บุตรสาวของท่านหายปวยโดยเร็ว” หลงเฉินเอ่ย ขอบคุณพร้อมกับยิ้มให้บุรุษผู้นั้น
“มิเป็นไร..” หลังจากเอ่ยตอบหลงเฉิน บุรุษผู้นั้นก็ได้เดินจากไป
หลงเฉินยังคงเดินเท้าเข้าเมืองต่อไป และพยายามหลบเลี่ยงที่จะไม่เผชิญหน้ากับทหารเวรยาม เวลานี้สัมผัสเทวะของเขาสํารวจพบทหารนายหนึ่งเข้า แต่ดูเหมือนเขาจะมิอาจหลบหลีกได้ทัน หลงเฉินจึงใช้วิชาอําพรางสวรรค์ปกปิดขั้นพลังบ่มเพาะของตนเอง ทําให้ผู้อื่นมองเห็นว่าตัวเขานั้นอยู่ในอาณาจักรผสานวิญญาณขั้นสองเท่านั้น
ด้วยอายุที่ยังน้อย และขั้นพลังบ่มเพาะที่ต่ํา ทําให้ทหารนายนั้นมิได้ระแวงสงสัยในตัวเขาเลย แม้แต่น้อย และหากถูกสอบถาม เขาก็จะแสร้งทําหน้าไร้เดียงสาและหาข้ออ้างตอบกลับการ เดินทางของหลงเฉินยังคงดําเนินต่อไปเช่นนั้นจนกระทั่งเข้าสู่ใจกลางเมือง
เมืองจันทราสีเงินนั้นมีตระกูลที่แข็งแกร่งซึ่งเปรียบเสมือนผู้นําของเมืองนี้อยู่สองสามตระกูล แม้ว่าจะมิอาจเทียบได้กับตระกูลสูงสุดทั้งสามตระกูล แต่สําหรับเมืองจันทราสีเงินแล้ว ตระกูลเหล่านี้นับว่าแข็งแกร่งยิ่ง และสาขาของตระกูลฉินก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่โดดเด่นของเมืองนี้
ฉินโหยวซึ่งเดินทางมาเมืองนี้ด้วยเรื่องภารกิจสําคัญของตระกูล นางจึงเป็นคนแรกที่พบเห็นเหตุการณ์ทหารเฝ้าประตูเมืองถูกสังหารตายจนสิ้น เมื่อไปถึงตระกูลสาขา นางจึงได้เล่าเรื่องนี้ ให้กับพวกเขาฟัง และปล่อยให้เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องจัดการเอง และตัดสินใจที่จะมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปล่อยให้ผู้มีอํานาจในเมืองนี้จัดการตามที่พวกเขาเห็นสมควร ส่วนป้ายทองคํานั้นนางก็ได้เก็บไว้กับตนเอง และมิได้บอกกล่าวเรื่องนี้ให้กับผู้นําตระกูลสาขารับรู้
ในเมื่อฉันโหยวมาจากตระกูลใหญ่ นางจึงนับเป็นแขกคนสําคัญของตระกูลสาขา และพวกเขา ได้จัดเตรียมห้องที่ดีที่สุดในจวนให้กับนาง และห้องนี้ก็ตกแต่งไว้อย่างสวยงามโอ่อ่า สามารถมองเห็นถนนหนทางในเมืองนี้ได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่ฉินโหยวพักผ่อนครู่หนึ่งแล้ว นางจึงได้หยิบป้ายทองออกมาสํารวจดูอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปที่ระเบียงห้องนอน พร้อมกับมองสํารวจไปตามถนนต่างๆภายในเมือง และพบว่าถนนทุกเส้นล้วนว่างเปล่าไร้ผู้คน นางสํารวจไปรอบๆอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดสายตาของนางก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่สุดมุมถนนเส้นหนึ่ง
นางเห็นแผ่นหลังของคนผู้นั้น และเขาก็กําลังเดินห่างจากนางออกไปเรื่อยๆ แต่นางรู้สึกคุ้นตากับแผ่นหลังนั้นยิ่งนัก นางรู้สึกว่าแผ่นหลังของคนผู้นี้ช่างคล้ายคลึงกับใครบางคนที่นางเพิ่งพบเจอมาได้ไม่นาน มันคล้ายคลึงกับแผ่นหลังของผู้ที่ยืนตระหง่านดั่งขุนเขาในยามที่เผชิญหน้ากับ องค์ชายสาม และประลองกับดาบกันอย่างดุเดือดในตระกูลหลงครานั้น เขาคือผู้ที่ทําให้ทุกคนในงานเลี้ยงตกอกตกใจกับความแข็งแกร่งของเขา
“หยุด!!”
นางร้องตะโกนออกไปเสียงดัง แต่คนผู้นั้นกลับมิยอมหยุด นางรู้สึกว่าเสียงของนางคงจักเบาเกินไปจนเขามิได้ยินเพราะอยู่ห่างไกลมาก นางจึงรีบวิ่งออกจากห้องของตน และรีบวิ่งตามคนผู้นั้นไป
ตระกูลสาขาของตระกูลฉินได้ตัดสินใจเชิญผู้นําตระกูลสําคัญคนอื่นๆภายในเมืองจันทราสีเงินมาประชุม เพื่อปรึกษาหารือว่าจะจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างไร?
ผู้นําแต่ละตระกูลต่างก็มาพร้อมกับผู้ติดตามของตน พวกเขาทั้งหมดเพิ่งจะเข้าไปในห้องประชุม แต่ขณะที่กําลังจะปิดประตู ก็พบหญิงสาวผู้หนึ่งรีบร้อนวิ่งสวนออกไป ด้านหลังของนางมีผู้อารักขาสองคนวิ่งตามออกไป
ผู้นําสาขาตระกูลฉินจดจําได้ดีว่าเป็นฉินโหยว จึงได้วิ่งตามนางออกไปเพื่อจะดูว่าสิ่งใดกันที่สามารถทําให้แขกผู้สูงศักดิ์ของตระกูลเขา ต้องรีบร้อนวิ่งออกไปเช่นนั้น เมื่อเห็นผู้นําสาขาตระกูลฉินวิ่งออกไปเช่นนั้น คนอื่นๆต่างก็พากันวิ่งตามออกไปเช่นกัน
และเวลานี้ภาพเหตุการณ์ที่ดูแปลกประหลาดก็ได้ปรากฏขึ้นบนถนนเส้นหนึ่งของเมืองจันทราสีเงิน หญิงสาวผู้หนึ่งกําลังวิ่งออกไปอย่างรีบร้อย ในขณะที่มีกลุ่มคนขนาดใหญ่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้นําของตระกูลที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองจันทราสีเงินวิ่งตามไป