เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 140
ตอนที่ 140 ครอบครัวของข้าจะรู้สึกเช่นใด?
และเวลานี้ภาพเหตุการณ์ที่ดูแปลกประหลาดก็ได้ปรากฏขึ้นบนถนนเส้นหนึ่งของเมืองจันทราสีเงิน หญิงสาวผู้หนึ่งกําลังวิ่งออกไปอย่างรีบร้อย ในขณะที่มีกลุ่มคนขนาดใหญ่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้นําของตระกูลที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองจันทราสีเงินวิ่งตามไป
ฉินโหยววิ่งตามเงาที่คุ้นเคยนั้นอยู่นาน จนกระทั่งไปถึงจุดซึ่งร่างที่คุ้นเคยนั้นปรากฏ และ ยังคงวิ่งต่อไปอีกครู่ใหญ่แต่ก็พบว่าร่างนั้นได้หายไปจากสายตามิหลงเหลือร่องรอยเลยแม้แต่น้อย
ฉินโหยวหยุดนิ่งและล้มเลิกการวิ่งตาหาร่างนั้นด้วยสีหน้าผิดหวัง แต่แล้วนางก็ต้องตกตะลึง เมื่อหันหลังกลับมา และพบว่ามีกลุ่มคนขนาดใหญ่กําลังวิ่งตรงมาหานาง และเมื่อมาถึงทุกคนต่างก็ได้แต่ยิ้มแปลกๆ และทําสีหน้าแปลกประหลาดใจ
“พวกท่านวิ่งตามข้ามาด้วยเหตุอันใดกัน?” ฉินโหยวจ้องมองทุกคนพร้อมกับเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“เอ่อ.. แม่นางโหยว ท่านเป็นคนของตระกูลใหญ่แห่งเมืองมังกร อีกทั้งยังเป็นแขกคนสําคัญยิ่งของตระกูลสาขาเรา เมืองจันทราสีเงินกําลังเกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าเห็นท่านวิ่งออกมาด้วยความรีบร้อน จึงมิกล้าปล่อยให้ท่านวิ่งออกไปตามลําพังเช่นนั้นได้ ข้าร้อนใจที่ท่านมีเพียงไม่ได้พักผ่อน แต่ยังเกรงว่าท่านจะมิได้รับความปลอดภัยขณะที่พักอาศัยอยู่ในเมืองของเรา จึงได้วิ่งตามท่านออกมาเช่นนี้ หวังว่าแม่นางโหยวคงจะมีถือสา”
หัวหน้าตระกูลสาขาของตระกูลเฉินเอ่ยตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน..
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน.. อภัยที่ขาทําให้ทุกคนต้องเป็นกังวลใจ”
ฉินโหยวเอ่ยตอบ จากนั้นนางจึงเดินกลับไปที่จวนตระกูลฉิน ส่วนคนอื่นๆก็เดินตามหลังนางก ลับไปเป็นพรวนเช่นเคย คนอื่นๆที่พากันวิ่งตามฉินโหยวมานั้น ต่างก็เดินกลับไปด้วยสีหน้างุนงงสับสน
ห่างออกไปจากจุดนั้น บนหลังคาของบ้านพักอาศัยหลังหนึ่ง หลงเฉินนั่งอยู่ด้านบนและกําลังจ้องมองไปทางฉินโหยว และคนอื่นๆที่พากันเดินกลับไป
“คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้พบเห็นภาพชายหนุ่มหนีจากหญิงสาวเช่นนี้” ซุนหัวเราะคิกคักขณะที่ปรากฏร่างอยู่ข้างกายหลงเฉิน
“ข้ามิได้หนีนางเสียหน่อย!” หลงเฉินปฏิเสธขณะที่จ้องมองซุน
“งั้นรึ?! แล้วเหตุใดเจ้าจึงมหยุดเล่า ทั้งที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียกของนางอย่างชัดเจน? เจ้าไม่เพียงแสร้งทําเป็นมิได้ยิน เมื่อนางวิ่งมาหาเจ้าที่นี่ เจ้ากลับจงใจหนีขึ้นมาหลบซ่อนบนหลังคา แทนการกระทําเช่นนี้หากมเรียกว่าหนีหญิงสาว ข้าก็มิรู้ว่า
ควรจะเรียกอย่างไรดี?” ซุนยิ้มเย้ยใน ขณะที่เอ่ยตอบ
“ข้ามิได้หนี แล้วก็มิได้หลบซ่อนด้วย เพียงแต่เวลานี้ข้ายังมิต้องการพบเจอนาง ข้าเพิ่งจะทําป้ายทองตระกูลหลงหายไป นับว่าโชคดีที่มันมิได้สลักชื่อของข้าไว้ด้วย ในเวลาเช่นนี้ข้ามต้องการให้ผู้ใดพบเจอข้าในเมืองนี้ หาไม่ข้าอาจต้องจักเป็นผู้ต้องสงสัยไปได้” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับสี หน้าครุ่นคิด
“งั้นรึ?! เหตุใดข้าจึงรู้ว่ามันฟังดูมิมีเหตุผลเอาเสียเลย?” ซุนเอ่ยตอบพร้อมกับทําท่าครุ่นคิด
“เอาล่ะ.. ได้เวลาออกเดินทางต่อแล้ว” หลงเฉินเอ่ยบอกซุนพร้อมกับกระโดดลงจากหลังคาเมื่อพบว่าถนนเส้นเดิมกลับมาว่างเปล่าไร้ผู้คนอีกครา
หลงเฉินเดินผ่านตัวเมืองไปอีกราวครึ่งวัน และพบว่าบ้านพักอาศัยเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งพลบค่ำ ในที่สุดหลงเฉินก็เดินทางไปถึงชายแดนของเมืองจันทราสีเงิน
หลงเฉินยังคงเดินมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ และเริ่มพบเห็นกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่ง หลายคนอยู่ในชุดอาภรณ์ธรรมดาๆ และกําลังยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารหลายนาย เสียงร้องไห้ฟูมฟายดังออกมาและสามารถได้ยินอย่างชัดเจน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลงเฉินจึงได้เดินตรงเข้าไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้า แต่แล้วภาพที่เห็นกลับทําให้หลงเฉินตกใจอย่างสุดขีด!
หลงเฉินพบว่าคนกลุ่มนี้กําลังทําการฝังร่างไร้วิญญาณของทหารหลายนาย และทั้งหมดก็ถูกเขาสังหารหารตายทั้งสิ้น ผู้คนในที่นั้นมีทั้งคนชราหญิงสาว และเด็กเล็ก ทุกคนล้วนแล้วแต่จ้องมองร่างไร้วิญญาณซึ่งเป็นบุคคลอันเป็นที่รักพวกเขา พร้อมกับร้องห่มร้องไห้ เด็กหญิงตัว เล็กๆคนหนึ่งกําลังร้องห่มร้องไห้พร้อมกับเรียก “ท่านพ่อ” ไปด้วยในขณะที่หญิงสาวกําลังร้องห่มร้องไห้กับร่างไร้วิญญาณของสามี
แม้แต่ทหารนายอื่นๆที่อยู่โดยรอบ ต่างก็น้ําตาไหลพรากขณะที่จ้องมองร่างไร้วิญญาณของเพื่อนทหารที่ทํางานร่วมกันมา กําลังจะถูกฝังร่างลงกับผืนดินเช่นนี้
หลงเฉินถึงกับจิตใจหนักอึ้งขึ้นมาทันที เขารีบหันหลังและเดินกลับออกไปทันที เวลานี้อารมณ์ของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอย่างที่มิอาจควบคุมได้ และอารมณ์เศร้าโศกนี้ก็กําลังครอบคลุมจิตใจของเขาอีกครา
“นี่หาใช่ความผิดของครอบครัวพวกเขาไม่.. หากนั่นเป็นการฝังศพข้า ครอบครัวของข้าก็คงต้องร้องห่มร้องไห้เยี่ยงนั้นเช่นกัน”
หลงเฉินเอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงเคร่งเครียด และความเจ็บปวดปรากฏชัดเจนในดวงตาของเขา
หลงเฉินเดินตรงไปยังกําแพงเมืองด้วยจิตใจที่หนักหน่วงยิ่ง ก่อนจะบินข้ามกําแพงออกนอกเมืองจันทราสีเงินไปด้วยปีกทั้งสองข้างของตน ระหว่างที่เดินมุ่งหน้าเข้าไปในป่านั้น หลงเฉินก็มิเอ่ยอันใดออกมาแม้แต่คําเดียว และเขาเลือกที่จะเดินผ่านปามากกว่าจะไปตามถนนหนทาง
หลงเฉินหวังที่จะบรรเทาความเจ็บปวดใจนี้ไปในการต่อสู้กับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่า เป็นที่รู้กันดีว่า ยิ่งเข้าใกล้ชายแดนของจักรวรรดิซุยมากเพียงใด ก็จะยิ่งพบเห็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งได้ มากกว่าในเมืองหลวง เพราะการสังหารสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมิให้เข้าใกล้เมืองหลวง เป็นหน้าที่หลักของกองทัพแห่งจักรวรรดิซุย แต่หน้าที่หลักของทหารในแต่ละจักรวรรดิก็แตกต่างกันไป มิจําเป็นต้องเหมือนกับจักรวรรดิซุย บางจักรวรรดิจะปล่อยให้สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเข้าใกล้เมืองหลวง เพื่อให้เด็กรุ่นหลังได้ฝึกฝนตนเองให้แกร่งขึ้น
หลงเฉินรู้เรื่องนี้ดี จึงรู้ว่าหากต้องการพบเจอสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากขึ้น เขาจะต้องยิ่งออกไปให้ไกลจากเมืองหลวงมากขึ้นเท่านั้น เขาหวังที่จะได้พบเจอสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าตน เพื่อที่จะได้สามารถใช้ความสามารถทั้งหมดที่ตนมีออกมาได้ อีกทั้งเขายังต้องการที่จะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยการจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ให้ดีที่สุดเท่านั้น
หลงเฉินยังคงเดินอยู่ในปาร่วมสองชั่วยาม และได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรไปสองสามรอบ ทําให้จิตใจที่หนักหน่วงเมื่อครู่เบาบางลงได้มาก จากนั้นจึงตัดสินใจนอนพักค้าคืนภายในปา เขานั่งอยู่บนเปลผ้าเช่นเคย และหลังจากที่ป้อนพลังชี้ให้กับไข่แล้ว หลงเฉินก็เริ่มฝึกฝนวรยุทธไร้นามต่อ
หลงเฉินสังเกตเห็นว่าการฝึกวรยุทธบ่มเพาะของตนนั้นก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าก่อนมาก…
“หรือนี่จักเป็นเพราะสายเลือดที่ข้าได้รับมาอย่างที่ซุนบอกจริงๆ? หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงจะสามารถเข้าสู่อาณาจักรต่อไปได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็นแน่…ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจ ก่อนจะเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะต่อไปโดยมิคิดที่จะเสียเวลาหาเหตุผลใดๆต่อ..
หลงเฉินยังคงฝึกฝนต่ออีกราวครึ่งชั่วยาม แล้วจึงหยุดและเริ่มนอนหลับพักผ่อน
หลงเฉินตื่นขึ้นมาในรุ่งอรุณใหม่ และยังคงเดินผ่านผืนป่าแห่งเดิม ระหว่างทางก็ได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรแก่นปราณทองคําตนแล้วคนเล่า จนกระทั่งผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน ในยามค่ําคืนก่อนที่จะฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะ หลงเฉินก็ได้ป้อนพลังชี้ให้กับไข่อสูรดังเช่นปกติ เหตุการณ์ยังคงดําเนินอยู่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบวัน ในที่สุดหลงเฉินก็เดินออกจากปาแห่งนี้ได้ และพบกําแพงของเมืองถัดไปตั้งตระหง่าน
“ในที่สุดข้าก็ออกจากผืนปาได้เสียที การต่อสู้กับสัตว์อสูรตลอดระยะเวลาสิบวันนี้ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อข้ายิ่งนัก มันทําให้ข้าสามารถใช้พละกําลังของร่างกายได้ดียิ่ง อีกทั้งยังสามารถทะลวงขั้นพลังได้ด้วย เวลานี้ข้าเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคําขั้นเก้าได้แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จัก งวันเกิดของข้าแล้ว คงจักดีไม่น้อยหากข้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ก่อน..” หลงเฉินพึมพํากับตัวเองพร้อมกับยิ้มออกมาในขณะที่เดินมุ่งหน้าไปยังเมืองด้านหน้า