เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 22
ตอนที่ 22 จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธ
เวลานี้หลงเฉินมีผลึกปราณระดับสูงสุดอยู่ในมือถึงสองชิ้น..
“หากข้านำผลึกปราณระดับสูงสุดนี้ไปแลก น่าจะได้ผลึกปราณระดับต่ำมามากมายมหาศาลเลยทีเดียว หากนำไปแลกเป็นเงิน ข้าคงจะกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในจักรวรรดินี้เป็นแน่ แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังมิอาจเทียบเคียงข้าได้ แต่ประโยชน์ของผลึกนี้หาใช่เรื่องความร่ำรวยไม่ แต่เป็นประโยชน์ของมันที่ใช้ในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะต่างหากเล่า” หลงเฉินพึมพำออกมาอย่างอัศจรรย์ใจในระหว่างที่คิดคำนวณมูลค่ามหาศาลของผลึกทั้งสองชิ้นอยู่ในใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ หลงเฉินตัดสินใจที่จะไม่ใช้ผลึกปราณนี้สร้างความร่ำรวย แต่จักใช้เป็นทรัพยากรในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะของตน เขาต้องการฝึกปรือให้ก้าวหน้าโดยเร็ว จะได้ออกจากที่นี่และกลับตระกูลหลงเสียที
“ผลึกปราณระดับสูงสุดนี้ จักช่วยให้ข้าก้าวหน้าได้โดยเร็ว!” หลงเฉินจ้องมองผลึกใสสีน้ำเงินพร้อมกับพึมพำออกมา
หลงเฉินนั่งขัดสมาธิ มือข้างหนึ่งกำผลึกปราณสีน้ำเงินไว้ และเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะตามคัมภีร์ไร้นาม เขาเริ่มดูดซับเอาพลังชี่จากผลึกปราณเข้าไปอย่างต่อเนื่อง และผลึกปราณก็มีพลังชี่มากมาย แม้เขาจะดูดซับเข้าไปเป็นเวลานานก็ยังไม่หมด
หลงเฉินรู้ว่าเขาจำต้องบ่มเพาะเมล็ดวิญญาณให้กลายเป็นจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธ เพื่อที่จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สองของอาณาจักรผสานวิญญาณ เขาจึงเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่ฝึกวรยุทธบ่มเพาะนั้น หลงเฉินก็ได้ดูดซับเอาพลังชี่จากผลึกปราณในมือเข้าไปพร้อมกันด้วย
หลงเฉินฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่นานร่วมสามชั่วยาม ในที่สุดเมล็ดวิญญาณของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น มันเริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปหลายสิบอึดใจจึงหยุดการขยายตัว แต่การเปลี่ยนแปลงหาได้สิ้นสุดเพียงเท่านั้นไม่ เวลานี้เริ่มมีรอยแตกปรากฏขึ้นที่พื้นผิวของเมล็ดวิญญาณ รอยแตกนี้ค่อยๆกระจายไปทั่วจนครอบคลุมพื้นผิวทั้งหมดของเมล็ดวิญญาณ
เมื่อรอยแตกนี้ครอบคลุมพื้นผิวทั้งหมดของเมล็ดวิญญาณแล้ว จู่ๆก็มีแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นแล้วจึงกลับสู่สภาพปกติ จากนั้นเมล็ดวิญญาณก็ได้อันตธานหายไป เหลือเพียงวิญญาณเล็กๆในร่างมนุษย์ปรากฏขึ้นแทน หลงเฉินถึงกับแย้มยิ้มออกมา พร้อมกับใช้ญาณหยั่งรู้ของตนสำรวจดูจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านในทันที
“ในที่สุดข้าก็เข้าสู่ขั้นที่สองของอาณาจักรผสานวิญญาณจนได้ แต่เหตุใดจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของข้าจึงแตกต่างจากที่เคยได้ยินมา?” หลงเฉินดีอกดีใจในคราแรกที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ แต่เมื่อได้เห็นจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของตน ก็ได้แต่งุนงงและประหลาดใจยิ่ง
เท่าที่หลงเฉินรู้ คราใดที่จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธถือกำเนิดขึ้น ร่างมนุษย์เล็กๆภายในนี้จะปกคลุมด้วยอาภรณ์ชุดเดียวกันกับที่ผู้ฝึกยุทธนั้นสวมใส่ แต่จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของหลงเฉินกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะชุดที่ปกคลุมร่างเล็กๆนั้น กลับเป็นชุดนักรบสีทองในมือถือกระบี่สีแดงโลหิต ดูราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่พร้อมเข้าสู่สนามรบ
หลงเฉินมิรู้ว่ามันคือะไรกันแน่? เพราะสิ่งนี้ก็ไม่เคยมีอยู่ในตำราเล่มใดที่หลงเทียนอ่านมาทั้งหมด หลงเฉินจึงได้แต่คิดว่า อาจะเป็นเพราะวรยุทธบ่มเพาะที่เขาใช้ฝึกปรือก็เป็นได้
แต่ถึงกระนั้น หลงเฉินกลับคิดว่าเป็นเรื่องดีเสียอีกที่เขาจะมีจิตวิญญาณผู้บ่มเพาะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธใดเช่นนี้ เพราะนั่นอาจหมายถึงประโยชน์ที่ไม่เหมือนผู้ใด
“นอกจากชุดเกราะกับกระบี่แล้ว ที่น่าแปลกก็คือรูปร่างหน้าตาของจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธนี่ล่ะ! ข้าคิดว่าจะมีดวงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับข้า ในเมื่อข้าคือวิญญาณที่อยู่ในร่างของหลงเทียน แต่เหตุใดกลับไปคล้ายคลึงหลงเทียนได้นะ?” หลิงเฉินพินิจจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของตน พร้อมกับพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ
เวลานี้เขารู้สึกงุนงงสับสนกับรูปลักษณ์ของจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธยิ่งนัก ในเมื่อวิญญาณของเขาอยู่ในร่างของหลงเทียน จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธควรจะต้องละม้ายคล้ายเขามิใช่หรือ? แต่เหตุใดกลับเหมือนหลงเทียนเช่นนี้เล่า? ไม่ว่าจะเป็นดวงตาสีทองสุกสว่างคู่นั้น ผมดำขลับเป็นมันวาว และดวงหน้าหล่อเหลางดงาม..
แต่จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของหลงเฉินก็ยังดูไม่เหมือนกับหลงเทียนเสียทีเดียว ยังมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อยหากเทียบกับรูปลักษณ์ของหลงเทียน แต่หลงเฉินก็รู้ว่าเขาจักต้องทะลวงขึ้นสู่ขั้นที่สูงกว่านี้ จึงจะยิ่งเหมือนหลงเทียนมากขึ้น
หลังจากพินิจดูจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของตนจนพอใจแล้ว หลงเฉินจึงได้ถอนญาณหยั่งรู้กลับออกมา และเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะต่อทันที
แต่ในระหว่างที่หลงเฉินถอนญาณหยั่งรู้ออกมานั้น เขาจึงไม่ทันได้เห็นว่าดวงเนตรทั้งสองของวิญญาณผู้ฝึกยุทธนั้น ได้เปลี่ยนจากสีทองสุกปลั่งเป็นสีแดงสุกสว่างขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไป แล้วกลับสู่ความเป็นปกติเช่นเดิม
หลงเฉินจ้องมองผลึกปราณในมือของตนเอง และพบว่าเวลานี้พลังชี่ในผลึกปราณถูกใช้ไปเพียงแค่ยี่สิบส่วนเท่านั้น ยังมีเหลือพอที่จะฝึกปรือวรยุทธบ่มเพาะได้อีกนาน แต่หลงเฉินหารู้ไม่ว่า แม้แต่ผู้ฝึกยุทธอาณาจักรแก่นปราณทองคำนั้น หากจะดูดซับพลังชี่จากปราณผลึกระดับสูงสุดเข้าไปให้ได้ถึงยี่สิบส่วนนั้น จักต้องใช้เวลานานถึงสามวันเลยทีเดียว แต่หลงเฉินกลับใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วยามเท่านั้น
หลงเฉินหารู้ไม่ว่าการที่เขาสามารถดูดซับพลังปราณเข้าไปได้รวดเร็วเช่นนี้ หาใช่เป็นเพราะพรสวรรค์ และวรยุทธบ่มเพาะที่เขาใช้ฝึกเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือโลหิตม่วงภายในกายของเขาเวลานี้ต่างหาก แม้เวลานี้โลหิตม่วงภายในร่างของหลงเฉินจะยังมีเพียงส่วนน้อย แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เขาสามารถดูดซับพลังชี่เข้าไปได้รวดเร็วเช่นนั้น
แต่หลงเฉินก็มิได้รู้เรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งฝึกวรยุทธบ่มเพาะต่อไป..
……
ในขณะที่หลงเฉินเพียรฝึกวรยุทธอยู่ที่ก้นเหวลึกใต้ผาสวรรค์ และค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆนั้น ตระกูลหลงก็ยังคงออกตามหาตัวเขาและถูเย่วไปทั่วทั้งเมือง ในเวลาเดียวกันนี้ก็มีคนผู้หนึ่งที่กำลังกระวนกระวายใจไม่น้อยเช่นกัน แต่หาใช่เพราะความเป็นห่วงหลงเทียนไม่ กลับเป็นเพราะกำลังห่วงความปลอดภัยของตนเองต่างหากเล่า
ภายในเรือนพักหลังหนึ่งของตำหนักตระกูลหลง หลงซูกำลังเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าที่กังวลใจยิ่ง..
‘เป็นเพราะความโง่เขลาของถูเย่วผู้เดียว เหตุใดนางจึงไม่ควบคุมคนของนางให้ดี? หากไม่ใช่เพราะความประมาทเลินเล่อของนางแล้ว ข้าคงไม่ต้องมานั่งกังวลใจเช่นนี้แน่ เหตุใดนางจึงมีลูกน้องที่โง่เขลาเช่นนั้น ถึงกับบอกเล่าทุกอย่างให้หลงเหรินฟัง หากพวกเขายังไม่คลายสงสัยเช่นนี้ ก็คงจะไม่ยอมอยู่เฉยจนกว่าจะหาเจ้าสวะหลงเทียนพบเป็นแน่!’ หลงซูได้แต่ครุ่นคิดด้วยความคั่งแค้นใจในขณะที่เดินกลับไปกลับมาราวกับสุนัขติดจั่น
หลงซูเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ในขณะที่คนอื่นๆต่างก็พากันออกตามหาหลงเทียน เขามิได้กังวลว่าจะมีผู้ใดหาตัวหลงเทียนพบ เพราะเวลานี้หลงเทียนคงจะกลายเป็นศพอยู่ที่ก้นเหวไปแล้ว แต่ที่เขากระวนกระวายใจนั้น เพราะได้ยินว่าตระกูลหลงกำลังออกตามล่าตัวถูเย่วต่างหากเล่า..
หลงซูตกใจยิ่งนักเมื่อได้ข่าวนี้ จึงรีบไปพบบิดาที่ห้องทันที แต่ก่อนที่จะเข้าไป หลงซูก็ได้ปรับสีหน้าจากกระวนกระวายใจให้เป็นสงบดังเดิม เขาสอบถามหลงหัวถึงเรื่องการตามหาหลงเทียน พร้อมกับแสดงสีหน้ากังวลใจและเป็นห่วง
หลงหัวเล่าความคืบหน้าทั้งหมดให้หลงซูฟัง ตั้งแต่ที่ถูเย่วถูกสงสัยได้อย่างไร และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงต้องทำเช่นนี้ หลังจากที่ตีหน้าเศร้าสนทนากับหลงหัวอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงขอตัวกลับ และเมื่อเข้าไปในห้อง หลงซูก็เอาแต่เดินกลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้..
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น!