เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 37
ตอนที่ 37 ยืนกราน
“นายน้อยเทียน เจ้ามีอันใดจะกล่าวกับน้องสาวของข้าหรือไม่? ตั้งแต่พวกเราพบกัน ข้าเห็นเจ้าจ้องมองไปทางนางอยู่หลายครั้งหลายครา..” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เอ่อ.. อ่อ.. ข้าเพียงแค่สงสัยใคร่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงสามจึงมาที่ป่าแห่งนี้พร้อมกับท่าน? และเหตุใดนางยังคงใช้อาวุธชี้หน้าข้าอยู่เช่นนี้..” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เอ่อ.. ข้าขออภัย ข้าลืมเก็บอาวุธลง!” องค์หญิงเย่วเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ และรีบเก็บอาวุธของตนทันที
“ฮ่าๆๆ เรื่องแค่นี้เองหรอกรึ? ข้าก็นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านั้น..” องค์ชายเย่วหรวนหัวเราะออกมาพร้อมกับหันไปมองเย่วเฟยและหลงเฉินสลับกันไปมา
“ว่าแต่องค์ชายและองค์หญิงมาทำอะไรในป่าแห่งนี้รึ?” หลงเฉินเอ่ยถามต่อทันที
“เจ้าเองก็น่าจะดูออกว่าน้องเฟยของข้ามีพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง แต่ก็หาได้มีทักษะในการต่อสู้มากนักเพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในวัง ข้าคิดว่าคงจะดีไม่น้อยหากนางได้ออกมาฝึกทักษะการต่อสู้บ้าง ข้าจึงได้ชวนนางมาที่นี่ด้วย”
“เสด็จพ่อเองก็มิได้ขัดข้อง เพราะถึงแม้ที่นี่จักมีสัตว์อสูรอยู่มาก แต่ก็มิมีตนใดแข็งแกร่งเกินกว่าอาณาจักรผสานวิญญาณระดับสิบ ที่นี่จึงนับเป็นสนามฝึกวรยุทธต่อสู้ที่ดีมาก แล้วเจ้าล่ะมาที่นี่ทำไมกันรึ?”
“ข้ามาที่นี่ก็ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน ข้าต้องการมาฝึกฝน และพัฒนาทักษะการต่อสู้ของตนเอง” หลงเฉินตอบกลับยิ้มๆ
“ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อว่า ตระกูลหลงจะยินยอมให้เจ้ามาที่ป่าแห่งนี้เพียงลำพัง แม้ที่นี่จะมิได้อันตรายสำหรับพวกข้า แต่สำหรับผู้ที่ยังอยู่ในอาณาจักรปรับกายาเช่นเจ้านั้น นับว่าอันตรายไม่น้อยทีเดียว สหายน้อย.. เจ้าควรกลับออกไปจะดีกว่า!” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยแนะนำ
“องค์ชาย ข้าเชื่อว่าตนเองสามารถเอาตัวรอดได้ ข้าเพิ่งจะทะลวงสู่อาณาจักรผสานวิญญาณได้สำเร็จหลังจากกลับเข้าตระกูลหลง ข้าจึงมั่นใจว่าจะสามารถอยู่ในป่าแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย”
‘หลงเทียนผู้นี้เพิ่งจะเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณได้ แต่กลับรีบร้อนมาที่ป่าเหนือทมิฬแห่งนี้เพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูร ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่โง่เขลาไม่น้อย แต่ในความรู้สึกของข้า ข้ากลับมิได้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จักโง่เขลาแต่อย่างใด หรือเขามาที่นี่เพราะเหตุผลอื่น?’ องค์ชายเย่วหรวนครุ่นคิดอยู่ในใจ
“ในเมื่อเจ้ายืนกรานเช่นนี้ พวกเราทั้งหมดก็เดินทางท่องป่าแห่งนี้ไปพร้อมกันกันจะดีหรือไม่? แม้เจ้าจักมั่นใจว่าสามารถจัดการกับสัตว์อสูรวิญญาณได้ด้วยตนเอง แต่จะเป็นการดีสำหรับเจ้าหากมากกว่าหากท่องป่าไปพร้อมกับพวกเรา ข้ามิอยากเห็นท่านประมุขหลงต้องสร้างความปั่นป่วนโกลาหลขึ้นภายในเมืองมังกรอีกครั้ง เพราะเกิดเหตุขึ้นกับเจ้า..” องค์ชายหลงเหรินแนะนำ
“ขอบคุณองค์ชายยิ่งนัก เวลานี้ข้าเพียงแค่มองหาที่ปลอดภัยสำหรับค้างคืนเท่านั้น แต่ข้าคงจะมิร่วมเดินทางไปกับพวกท่าน การเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเพียงลำพัง จักทำให้ข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ข้าจึงต้องการออกเดินทางไปเพียงลำพัง” หลงเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“งั้นรึ? เอาล่ะ.. หากเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ตามใจ!” องค์ชายเย่วหรวนตอบกลับ
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ก่อกระโจมในค่ายกลข้างๆพวกเราได้เลย หากมีผู้บุกรุกเข้ามาในเขตแดนของเรา ค่ายกลของข้าจักร้องเตือนให้รู้ ที่นี่จึงนับว่าปลอดภัยยิ่งนัก พรุ่งนี้เช้าเจ้าค่อยคิดตัดสินใจอีกครั้ง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอน้อมรับความกรุณาขององค์ชาย”
หลงเฉินร้องบอกพร้อมกับเริ่มก่อสร้างกระโจมทันที และกว่าจะสร้างกระโจมที่พักเสร็จฟ้าก็มืดครึ้มลงบ้างแล้ว เวลานี้องค์ชายเย่วหรวนและองค์หญิงเย่วเฟยต่างก็กำลังนั่งผิงไฟอยู่นอกกระโจม
“ทิวทัศน์ที่นี่ช่างงดงามยิ่งนัก” หลงเฉินเอ่ยบอกกับองค์ชายเย่วหรวนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ข้าอยากจะรู้นัก.. ข้ากับองค์ชายมิได้สนิทสนมกัน อีกทั้งยังมิเคยพบเจอกันมาก่อน แต่เหตุใดท่านจึงยอมให้ข้าพักอาศัยค้างคืนด้วยเช่นนี้ ท่านมิห่วงความปลอดภัยของตนเองกับองค์หญิงสามบ้างหรอกรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ฮ่าๆๆ เหตุใดข้าจึงต้องหวาดกลัวเจ้าด้วยเล่า? ข้อแรก.. เสด็จพ่อมิเคยให้พวกเราออกนอกวังโดยมิมีการคุ้มกันที่แน่นหนา ฉะนั้น แม้เจ้าจะมองไม่เห็นเหล่าองค์รักษ์จากในวัง แต่พวกเขาล้วนกำลังจับตามองเจ้าอยู่ทุกฝีก้าวนะคุณชายหลงเทียน..”
“ประการที่สอง.. พวกเราต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน อีกทั้งหากไม่มีองค์รักษ์ ข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าจะแข็งแกร่งพอที่จะทำร้ายข้าได้” องค์ชายเย่วหรวนหัวเราะเสียงดังร่วน
‘สัมผัสเทวะของข้ารับรู้ได้ว่ามีผู้ฝึกยุทธสองคนอยู่ในบริเวณนี้ ทั้งคู่อยู่ในอาณาจักรแก่นปราณทองคำ แต่เพราะมิมีกลิ่นอายสังหารปรากฏ ข้าจึงคาดเดาอยู่แล้วว่าต้องเป็นองค์รักษ์จากวังหลวงที่มาคอยปกป้ององค์ชายและองค์หญิงเป็นแน่ และเวลานี้ก็ได้รับการยืนยันจากปากองค์ชายเองแล้ว’
‘รุ่งเช้าเมื่อใด ข้าคงต้องแยกตัวออกเดินทางไปเพียงลำพัง และหากต้องการสังหารหลงซูให้ได้ ก็คงต้องเร่งเดินทางโดยเร็ว ขืนข้าติดตามพวกเขาทั้งสองคนไป หากพบหลงซูเข้าคงยากที่จะสังหารมันได้ เพราะเหล่าองค์รักษ์วังหลวงต่างก็คอยจับตามองเช่นนี้..’
หลงเฉินนั่งนิ่งไปพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจ..
“นี่.. เหตุใดสีหน้าของเจ้าจึงดูเคร่งเครียดเช่นนั้นเล่าสหายน้อย? เจ้าอย่าได้กังวลใจและหวาดกลัวไปนักเลย องค์รักษ์ของข้ามิทำร้ายเจ้าหรอกน่า..” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เอ่อ.. มิมีอะไรองค์ชาย ข้าเพียงแต่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เท่านั้น ตั้งแต่ข้ามาถึงที่นี่จนกระทั่งตอนนี้ ข้าได้ยินองค์หญิงสามพูดเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น นางมิค่อยชอบเจรจางั้นรึ?” หลงเฉินกระซิบถามเสียงเบา
“ฮ่าๆๆ นางนี่นะมิชอบเจรจา นางพูดทั้งวันไม่หยุดต่างหากเล่า เพียงแต่นางมีนิสัยเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้า แต่หากเจ้าอยู่กับพวกเราไปเรื่อยๆ ประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง..” องค์ชายเย่วหรวนกระซิบตอบหลงเฉินพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“พี่รอง.. นี่ท่านซุบซิบว่าร้ายข้าอีกแล้วสินะ? ข้าโกรธท่านแล้ว..” องค์หญิงเย่วเฟยทำเสียงกระเง้ากระงอด แต่เมื่อเห็นว่าหลงเฉินกำลังจ้องมองตนเองอยู่ นางก็รีบหลบสายตามองลงพื้นทันที
‘ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งคู่ดูเป็นพี่น้องที่รักใคร่เอ็นดูกันยิ่งนัก น่าแปลก.. ทั้งคู่ล้วนเป็นคนในราชสกุล แต่กลับมีจิตใจที่ดีงามเช่นนี้ ผู้เป็นบิดาคงจะเป็นคนมีจิตใจเมตตาไม่น้อย ลูกๆถึงได้มีนิสัยใจคอโอบอ้อมอารีเช่นนี้..’ หลงเฉินนั่งครุ่นคิดอยู่ในใจคนเดียว
“เฟยเอ๋อ ข้าหาได้พูดถึงเจ้าไม่ดีไม่ ข้าเพียงแต่บอกน้องเทียนว่าข้าชื่นชอบสิ่งใดในตัวเจ้ามากที่สุดต่างหากเล่า..” เย่วหรวนเย้าแหย่น้องสาว และหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างมีความสุข
“หึ ข้าไปนอนก่อนล่ะ” เย่วเฟยทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ แล้วลุกขึ้นวิ่งเข้ากระโจมไปทันที
“ฮ่าๆๆ นางโกรธง่ายแบบนี้เสมอล่ะ นับว่าข้าโชคดีนักที่มีน้องสาวเช่นนาง.. เอาล่ะ ข้าเองก็ต้องไปนอนพักผ่อนแล้วเช่นกัน ไว้เจอกันพรุ่งนี้น้องเทียน” องค์ชายเย่วเหรินลุกขึ้นเดินเข้าไปในกระโจมเช่นกัน
‘ทั้งคู่เป็นพี่น้องที่รักใคร่สนิทสนมกันมากเช่นนี้ อาจเป็นเพราะมีพระมารดาคนเดียวกัน ไม่รู้ว่าองค์ชายและองค์หญิงที่ต่างมารดากัน จักรักใคร่กลมเกลียวเช่นนี้หรือไม่?’ หลงเฉินยังคงนั่งครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่
“เวลานี้ข้าควรจะสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่า จะไปสนใจเรื่องของเหล่าราชสกุลทำไมกัน?” หลงเฉินพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วจึงกลับเข้ากระโจมเช่นกัน
ทันทีที่กลับเข้ากระโจม หลงเฉินก็เริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะ และรู้สึกว่าตนเองก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าตกใจ หลงเฉินรู้ดีว่าคงต้องรออีกราวสองสามวันกว่าที่จะเข้าสู่จุดสูงสุดของอาณาจักรผสานวิญญาณระดับห้า หลังจากนั่งฝึกปรืออยู่ภายในกระโจมราวหนึ่งชั่วยาม เขาจึงออกมาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก
“องค์หญิงเย่วเฟย นี่ท่านยังไม่นอนหรอกรึ?”
หลงเฉินเอ่ยถาม เมื่อพบว่าองค์หญิงเย่วเฟยกำลังนั่งเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าเพียงลำพังอยู่นอกกระโจม..