เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 4
ตอนที่ 4 มังกรย่อมเหนือกว่าเสมอ
“ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เทียนเอ๋อ ปู่จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้อีก เอาล่ะ รีบกลับบ้านดีกว่า แม่ของเจ้ากำลังรอยู่”
หลงเหรินคลี่ยิ้มกว้างขณะเอ่ยกล่าวออกไป แต่อย่างไรก็ตามหลงเทียนกลับไม่ตอบสนองคำกล่าวใดๆ
เมื่อมองไปที่หลงเทียนเขาพลันต้องตื่นตกใจสุดขีด ดวงตาของอีกฝ่ายไร้ซึ่งชีวิตชีวาเหม่อลอยไร้จุดหมาย ใบหน้าปราศจากความรู้สึกใด และยังคงนอนนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น
“เทียนเอ๋อ?? เจ้า…เจ้าเป็นอะไรไป? เอ่ยกล่าวกับข้าสิ…”
หลงเหรินเอ่ยปากพร้อมน้ำเสียงสั่นคลอนใจไม่ดีนัก แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับเลย มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งอันไร้ชีวิตชีวาที่เหลียวมองมาทางเขา
“เอาล่ะ กลับบ้านกันเถอะ เจ้าคงเหนื่อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาก ไปพักผ่อนเสีย”
คล้อยหลังกล่าวจบ หลงเหรินก็เหาะทะยานกลับไปยังตำหนักตระกูลหลง ขณะที่โอบอุ้มร่างของหลงเทียนไว้ในอ้อมแขน
หลงเหรินตรงเข้าไปในตำหนักพร้อมหลงเทียนในอ้อมแขน และนำพาเขาไปยังลานด้านหลังทันที ลานด้านหลังตำหนักประดับประดาเป็นสวนพฤกษาสวยงามกว้างไพศาล ที่แห่งนี้จึงคู่ควรเป็นเรือนพักอาศัยของนายน้อยยอดอัจฉริยะของตระกูลหลง
ด้านนอกปกคลุมไปด้วยสวนพฤกษากอปรบุปผาหลากสีสัน หลงเทียนชื่นชอบนักขณะฝึกปรือมักจะเหลือบมองออกมาอยู่บ่อยครั้ง เหล่าคนรับใช้ที่มีความสามารถหลายคนต่างได้รับหมอบหมายให้มาดูแลสวนพฤกษาเหล่านี้ด้วยความทุ่มเท เพราะพวกเขาทราบดีว่านายน้อยชื่นชอบสวนแห่งนี้มากเพียงใด
“ท่านพ่อตา นี่เกิดอะไรขึ้นกับเทียนเอ๋อกันแน่? ไฉนท่านถึงต้องอุ้มเขามาเช่นนั้น?”
เมื่อหลงเหรินตรงเข้ามา ณ ลานกว้างด้านหลัง สุ้มเสียงที่สุดแสนจะเป็นห่วงของซื่อหม่าจีอวี๋พลันดังก้อง นางเป็นมารดาของหลงเทียน และยังเป็นสะใภ้ของหลงเหรินอีกด้วย
อีกหนึ่งฐานะของนางก็คือบุตรสาวของประมุขตระกูลแห่งตระกูลซือหม่า แม้ตระกูลของนางจะมิได้มีขุมกำลังแกร่งกล้าเทียบเทียมสามตระกูลใหญ่อย่างหลง กู่และฉิน แต่ก็ยังถือเป็นหนึ่งในห้ากลุ่มอิทธิพลระดับแนวหน้าของจักรวรรดิ
“จีอวี๋…มีคนพยายามลอบสังหารเทียนเอ๋อ แต่ขอบคุณสวรรค์ที่เขายังรอดตายกลับมาได้” หลงเหรินเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเจือกังวล
จีอวี๋ที่ได้ยินแบบนั้นพลันโผวิ่งเข้าหาพร้อมกอดร่างของลูกชายแน่น
“เทียนเอ๋อ! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่! กล่าวอะไรกับแม่คนนี้หน่อย…ช่วยพูดอะไรหน่อยเถิด…”
จีอวี๋น้ำตาคลอเบ้าขณะจับจ้องลูกชายของตนเอง นางก็เอ่ยกล่าวพยายามสื่อสารกับเขาเรื่อยๆ ทว่าจะทำอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ตอบกลับมาแม้แต่คำเดียว
“ปล่อยให้เขาพักผ่อนก่อนเถอะ เขาคงต้องการกล่าวเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในภายหลัง”
หลงเหรินกล่าวอธิบาย จีอวี๋ที่ได้ฟังแบบนั้นก็เร่งพาหลงเทียนเข้าเรือนไปพักผ่อน พร้อมวางเขาลงบนเตียงก่อนจะจัดแจงคลุมผ้าห่มสีทองให้ นางยังคงเฝ้าดูอาการลูกชายไม่ห่างกายอยู่ข้างเตียงพร้อมธารน้ำตาที่ไหลริน
สักครู่หนึ่งต่อมา นางลุกขึ้นตรงไปหาหลงเหรินที่ยืนกังวลอยู่
“ผู้ใดกันที่ทำกับเทียนเอ๋อเช่นนี้?”
นางเอ่ยถามน้ำเสียงแสนเศร้าโศก
“น่าเสียดายนัก! ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นผู้ใด! แต่มันพยายามทำลายทุกอย่างเพื่อตัดอนาคตของพวกเรา! หวังมิให้ตตระกูลหลงผงาดฟ้าเลยกระมัง!”
หลงเหรินคำรามเสียงเย็นอย่างอาฆาตแค้นพลางเหลือบตามองหลงเทียนที่นอนอยู่
จากนั้นเขาก็อธิบายรายละเอียดทุกอย่างที่พอทราบว่า หลงเทียนตกอยู่ในสภาพใดที่เขาเดินทางไปถึง และเกิดอะไรขึ้นกับหลงเทียนบ้างระหว่างนั้น ซึ่งจีอวี๋ที่รับฟังได้ยินเรื่องราวทั้งหมด นางถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลรินไม่หยุด ลูกชายของนางตายไปแล้วครั้งหนึ่ง นางไม่อยากจะคิดเลยว่า ก่อนหน้านี้ลูกชายของนางต้องเผชิญพบสิ่งใดมาบ้าง
หลงเหรินเร่งส่งคนให้ไปตามนักหลอมโอสถมาโดยไว ซึ่งนักหลอมโอสถที่เชื้อเชิญมาก็ได้ชื่อว่า เป็นนักหลอมโอสถที่ดีที่สุดของจักรวรรดิแล้ว เขาเข้ารักษาดูแลคนของตระกูลราชวงศ์และสามตระกูลใหญ่เสมอมา เขามีนามว่าปรมาจารย์จาง
หลังจากที่นักหลอมโอสถท่านนี้มาถึงพร้อมเข้าวินิจฉัยตรวจร่างกายของหลงเทียนอยู่นาน ปรมาจารย์จางก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติไปกับร่างกายของเขา หลงเทียนสุขภาพแข็งแรงดี เพียงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
แต่แล้วปรมาจารย์จางพลันชะงักหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อว่า
“แต่ข้าไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ แต่…ดูเหมือนว่าหลงเทียนจะสูญเสียสติปัญญาไปและกลายเป็นใบ้ เฮ้อ… ที่กล่าวว่าสูญเสียสติปัญญาคือ เขาไม่สามารถประมวลผลต่อสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้นได้ เสมือนกับท่านพยายามสนทนากับเด็กอายุสองขวบนั้นแหละ”
“แล้วมีวิธีรักษาหรือไม่?”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน บางทีเขาอาจกลับมาเป็นปกติหลังจากได้พักผ่อนเต็มอิ่มสักอาทิตย์ หรืออาจจะไม่ฟื้นสติอีกเลยก็เป็นได้ ข้าไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลย เพราะตั้งแต่เกิดมาข้าก็ไม่เคยพบเจออาการเช่นนี้มาก่อน แต่ข้าก็ขอภาวนาให้เขาหายดีโดยเร็ว”
“เช่นนั้นข้าขอลา”
ปรมาจารย์จางถอนหายเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยกล่าวขึ้นมา
“ข้าไปส่งท่านเอง”
หลงเหรินรีบกล่าวขึ้นพร้อมเชิญปรมาจารย์จางออกไป
……………………..
เมื่อหลงเฉินระลึกความทรงจำเหล่านี้ในอดีตได้ เขากลับรู้สึกขมขื่นใจไม่น้อย เด็กน้อยอายุแค่แปดขวบแต่กลับต้องมาเผชิญเรื่องอะไรเช่นนี้? และสิ่งที่ทำให้เขาอารมรณ์เสียที่สุดคือ หลังจากที่หลงเทียนผู้นี้สูญเสียสติปัญญาหรือเรียกง่ายๆว่าปัญญาอ่อน คงจะคาดเดากันได้ว่าคนในตระกูลหลงจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร?
หลงเทียนถูกลูกพี่ลูกน้องรังแกทำร้ายร่ายกายต่างๆนาๆ เนื่องจากความอิจฉาริษยาที่หลงเทียนมีพรสวรรค์โดดเด่นกว่าทุกคนในอดีต แต่พวกเขาก็ได้แต่เก็บงำความอิจฉาไว้ในใจและไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย
แต่ตอนนี้…เมื่อหลงเทียนสูญเสียทุกอย่างไป จึงถึงเวลาที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้แก้แค้นให้สมใจ!
คนเหล่านั้นมักอ้างว่าจะพาหลงเทียนออกไปเล่นด้วยกัน ในขณะที่ลับหลังผู้คน กลุ่มคนพวกนั้นมักจะสั่งให้หลงเทียนคุกเข่าต่อหน้าบ้าง สั่งให้คลานมาเลียเท้าพวกเขาบ้าง ถึงขั้นรุ่มทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บก็มี ขณะที่กลับไปบ้านก็อ้างว่าหลงเทียนลื่นล้มขณะเล่นกัน แน่นอนว่าไม่มีใครถามถึงเรื่องนี้เช่นกัน
แม้แต่คนรับใช้ยังไม่ให้ความเคารพเขาในยามที่ไม่มีใครอยู่ เหล่าคนใช้มักปฏิบัติต่อเขาราวกับเจ้านายแทน สั่งให้ทำโน้นทำนี่ต่างๆนาๆ
นั่นคือสี่ปีแห่งความอัปยศอย่างแท้จริง ตอนนี้เขาอายุสิบสองปีแล้ว แต่พลังยังคงหยุดอยู่แค่อาณาจักรปรับกายาระดับสิบขั้นสุด และนี่หาใช่ว่าโดดเด่นกว่าคนอื่นๆอีกต่อไป ตอนนี้เขามิใช่เยาวชนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น มีเด็กหลายคนที่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปรับกายาขั้นสิบได้แล้ว มิหนำซ้ำยังมีอีกหลายคนที่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรผสานวิญญาณได้อีกด้วย!
ยามนี้เยาวชนที่แข็งแกร่งที่สุดของรุ่นคือบุตรชายของผู้อาวุโสใหญ่ เขาอายุเพียงแค่สิบสามปีแต่กลับมีพลังสูงถึงอาณาจักรผสานวิญญาณระดับสาม!
“เหอะ ตอนนี้ฉันมาอยู่ในร่างหลงเทียนแล้ว! ได้เวลาที่ฉันเอาคืนในสิ่งที่คนพวกนั้นเคยทำไว้กับเขา! ฉันจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ไม่ว่ายังไงมังกรย่อมต้องเหนือกว่าหมาป่า!”
หลงเฉินแสยะยิ้มกว้างพร้อมลุกจากเตียงและออกเดินทางสู่โลกใบใหม่!