เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 41
ตอนที่ 41 ใช้ดาบราชัน
“พวกเจ้าสองคนมีอะไรงั้นรึ?” หลงเฉินหันกลับไปถามหญิงสาวทั้งสองคน
“นายน้อยหลง.. พวกข้าสองคนล้วนเป็นหนี้ มาที่นี่ก็เพื่อล่าสัตว์ไปขายเพื่อหาเงินใช้หนี้ แต่พวกเรายังมิแข็งแกร่งพอ หากยังขืนล่าสัตว์อยู่ในป่าที่มีสัตว์อสูรเต็มไปหมดเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องพบเจออันตรายอีก..” ซวี่จับมือเม่ยไว้แน่นขณะที่เอ่ยกับหลงเฉิน
“นายน้อยหลง ในเมื่อท่านเป็นถึงคุณชายแห่งตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลง ได้โปรดรับพวกเราสองคนไว้เป็นบ่าวรับใช้ในตระกูลหลงจะได้หรือไม่?”
“พวกเรารู้ว่าท่านได้ช่วยชีวิตของพวกเราไปเมื่อครู่แล้ว มิควรที่จะร้องขออะไรมากไปกว่านี้ แต่ขอท่านได้โปรดรับพวกเราสองคนไว้เป็นบ่าวรับใช้ด้วยเถิด พวกเราสองคนจะขยันทำงานมิให้ท่านต้องผิดหวังเป็นแน่” ซวี่รีบเอ่ยสมทบ แล้วทั้งสองต่างพากันก้มศรีษะโน้มตัวทำการคาราวะหลงเฉิน
‘พวกนางคงจะเคยได้ยินมาว่า บ่าวรับใช้ในสามตระกูลใหญ่ล้วนได้ค่าตอบแทนงามนัก ก็เลยอยากขอให้ข้าช่วยพาพวกนางเข้าไปทำงานในตระกูลหลงสินะ หวังว่าพวกนางจะมิเป็นอันตรายกับตระกูลหลงนะ?’ หลงเฉินได้แต่แอบครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ
“เอาล่ะ ข้าจักยอมรับคำขอของพวกเจ้าทั้งสองคน รถม้าของข้าจอดอยู่ด้านนอกของป่าเหนือทมิฬแห่งนี้ คันที่สามที่จอดอยู่ด้านหลังสุด พวกเจ้าไปคอยข้าอยู่ที่นั่นจนกว่าข้าจะกลับออกไป” หลงเฉินร้องบอกหญิงสาวทั้งสองแล้วจึงเดินจากไป
“อ่อ.. หากพวกเจ้าสองคนนำเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ไปเปิดเผย หรือมีผู้คนร่ำลือเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้แล้วล่ะก็ พวกเจ้าสองคนคงรู้สินะว่าต่อให้พวกเจ้าเป็นหญิง ก็หาได้ใช้เป็นข้ออ้างให้ข้ายกโทษให้ได้ไม่ และพวกเจ้าทั้งสองจักต้องมีจุดจบดังเช่นชายที่นอนกองอยู่กับพื้นพวกนั้น”
ทันทีที่หลงเฉินพูดจบ ร่างของหญิงสาวทั้งสองก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อนึกถึงภาพที่หลงเฉินสังหารชายชั่วช้าพวกนั้นต่อหน้าตนเมื่อครู่
หลังจากนั้น หญิงสาวทั้งสองก็รีบเดินทางออกจากป่าแห่งนี้ทันที..
ในขณะที่หลงเฉินกลับเดินมุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึกมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาสัมผัสได้กับบางสิ่งบางอย่าง จึงรีบเปิดสัมผัสเทวะของตนออกสำรวจดูทันที แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจอย่างที่สุดเมื่อพบว่า สัตว์อสูรวิญญาณระดับสิบกำลังวิ่งตรงเข้ามาที่เขาอย่างรวดเร็ว และเวลานี้มันก็อยู่ห่างจากเขาไปเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น นอกเหนือจากสัตว์อสูรตนนี้แล้ว ก็หาได้มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดไม่
“ปีกมารสวรรค์!” หลงเฉินสร้างปีกสองข้างขึ้นที่แผ่นหลังของตน และรีบบินขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ของต้นไม้สูงที่อยู่ข้างๆทันที
เพียงแค่สองสามอึดใจ สัตว์อสูรตนนั้นก็มาถึงบริเวณที่หลงเฉินยืนอยู่เมื่อครู่ มันหยุดอยู่ตรงนั้น และหันมองไปรอบกาย
‘พยัคฆ์เจ็ดสี! สัตว์อสูรตนนี้เก่งกาจยิ่งนัก! อีกทั้งยังเป็นสัตว์อสูวิญญาณที่มีพลังโจมตีและป้องกันสูงที่สุดด้วย ความเร็วของมันนั้นยิ่งเหนือกว่าสิ่งใด! นี่ข้าควรจักสู้กับมันดีหรือไม่นะ? แต่ข้ามาที่นี่เพื่อพัฒนาทักษะการต่อสู้ของตนเองมิใช่รึ?’ หลงเฉินเฝ้าครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
‘เมื่อครั้งที่อยู่ในค่ายกลของโถงสมบัติ ข้าก็สู้กับสัตว์อสูรวิญญาณระดับสิบมาแล้วเช่นกัน ฉะนั้นดาบสะบั้นบรรพตของข้าคงมิอาจทำลายพลังป้องกันของสัตว์อสูรระดับนี้ได้เป็นแน่ ที่ผ่านมาเจ้าก็มิเคยทำให้ข้าผิดหวังเลย แต่ครั้งนี้ข้าคงมิอาจใช้เจ้าได้อีก’
หลงเฉินตัดสินใจที่จะเก็บดาบสะบั้นบรรพต ซึ่งตนใช้มาโดยตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้กลับคืนเข้าไปในแหวนบรรจุ พร้อมกับนำกระบี่ราชันออกแทน..
“เอาล่ะ.. ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะเก่งสมชื่อ ‘ดาบราชัน’ หรือไม่?”
หลงเฉินพึมพำกับตัวเอง ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในป่าเหนือทมิฬแห่งนี้ ก็ยังมิเคยนำดาบราชันเล่มนี้ออกมาใช้เลยสักครั้ง แต่เวลานี้เขากำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจและแข็งแกร่งยิ่งนัก
ทันทีที่ดาบราชันปรากฏขึ้น รัศมีที่แข็งแกร่งของดาบเล่มนี้ก็ได้แผ่ซานออกไปทั่วทั้งห้วงอากาศ ประหนึ่งว่าราชันแห่งกระบี่ได้ตื่นจากภวังค์แล้ว แม้กระทั่งพยัคฆ์เจ็ดสีเมื่อได้สัมผัสกับรัศมีที่แกร่งกล้านี้ ยังถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองตาม
แต่เพียงแค่มันเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบนเท่านั้น มันก็เห็นมนุษย์ผู้หนึ่งถือดาบพุ่งตรงลงมาอย่างรวดเร็ว..
เกราะป้องกันพลันปรากฏขึ้นรอบตัวของเจ้าพยัคฆ์เจ็ดสีในทันที บ่งบอกว่ามันเตรียมพร้อมป้องกันการจู่โจมจากศัตรู แต่ดาบราชันในมือของหลงเฉินก็สามารถทะลวงเกราะป้องกันของพยัคฆ์เจ็ดสีไปได้ และสร้างบาดแผลใหญ่ที่ลำคอให้กับมันทันที
“โฮก!!!!”
เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดของพยัคฆ์เจ็ดสีดังขึ้นในทันที และเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างของหลงเฉินได้ร่อนลงบนพื้นห่างออกไปไกลๆพอดี
“เพลงดาบยอดเซียนเจ็ดกระบวน วิถีที่สี่ – คลื่นวินาศ!“
หลงเฉินไม่เปิดโอกาสให้สัตว์อสูรตนนี้ได้ตั้งตัว เขาเข้าจู่โจมพยัคฆ์เจ็ดสีด้วยเพลงดาบที่แข็งแกร่ง และกระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดในทันที!
และเพียงแค่ไม่กี่อึดใจนับตั้งแต่เริ่มจู่โจมใส่พยัคฆ์เจ็ดสีตนนี้ ศรีษะของมันก็ปรากฏบาดแผลใหญ่ และกำลังนอนแน่นิ่งราวกับสิ้นชีวิตอยู่ต่อหน้าหลงเฉิน
‘หากเทียบกับการทดสอบในค่ายกลของโถงสมบัติแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้นับว่าง่ายกว่ามากนัก..’ หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจ
“การท่องไปในป่าที่มีสัตว์อสูรให้ต่อสู้ด้วยเช่นนี้ช่างได้ผลดียิ่งนัก เพียงแค่ไม่กี่วันทักษะการต่อสู้ของข้าก็พัฒนาขึ้นมาก แม้กระทั่งเพลงดาบยอดเซียนเจ็ดกระบวน วิถีที่สี ก็ถูกนำออกมาใช้ในการต่อสู้ด้วย” หลงเฉินพึมพำกับตัวเอง
“แม้เพลงดาบนี้จะเป็นเพลงดาบเชิงรุกที่แข็งแกร่งที่สุด และมีส่วนยิ่งในการสังหารพยัคฆ์เจ็ดสีตนนี้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลจักต้องยกความดีความชอบให้กับดาบราชัน ความแข็งแกร่งของดาบเล่มนี้นับว่าเหนือความคาดหมายของข้าไปมากนัก!”
“เมื่อครั้งที่อยู่ในห้องทดสอบของโถงสมบัตินั้น ดาบสะบั้นบรรพตของข้า กลับมิสามารถทำให้สัตว์อสูรวิญญาณระดับสิบเกิดบาดแผลได้แม้แต่น้อย แต่ดาบราชันเล่มนี้กลับสามารถสังหารมันได้ในทันที ยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณสูงสุดนี้ช่างแข็งแกร่งมากทีเดียว มิน่า.. ผู้ฝึกยุทธล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะได้มันไปครอบครอง” หลงเฉินรำพึงรำพันขณะที่เก็บร่างของสัตว์อสูรวิญญาณเข้าไปเก็บไว้ในแหวนบรรจุของตน
หลงเฉินยังคงท่องไปในป่าอีกตลอดทั้งวัน จนกระทั่งค่ำคืนได้เวียนกลับมาอีกครา..
‘นี่มันอะไรกัน?! ป่านี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใดกันแน่?! ข้าเดินทางมาร่วมสองวันสองคืนแล้ว แต่กลับยังมิพบเจอหลงซูกับพวก แม้ข้าจะเร่งเดินทางรวดเร็วถึงเพียงนี้ ก็ยังมิสามารถไล่ตามพวกมันได้ทันงั้นรึ? นี่ย่อมหมายความว่าพวกมันต้องสามารถเดินทางกันได้อย่างรวดเร็วยิ่ง.. แต่จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?’
‘พวกมันมาที่นี่เพื่อฝึกทักษะการต่อสู้ หรือมาเพราะจุดประสงค์อื่นกันแน่? เหตุใดจึงต้องเร่งเดินทางถึงเพียงนี้?’
หลงเฉินเฝ้าครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็เปิดสัมผัสเทวะของตนออกสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว..
เมื่อพบว่ามิมีผู้ใดอยู่ในรัศมีสองร้อยของสัมผัสเทวะ หลงเฉินจึงได้ใช้ปีกมารสวรรค์บินขึ้นไปผูกเปลไว้บนต้นไม้สูงเหมือนเช่นเคย
‘ข้ารู้สึกราวกับว่า ตนเองจักสามารถทะลวงเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นห้าระดับสูงสุดได้ในคืนนี้..’
คิดได้เช่นนั้นหลงเฉินจึงเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะตามคัมภีร์ไร้นาม นับตั้งแต่เดินทางเข้ามาในป่าเหนือทมิฬแห่งนี้ ยังมิเคยมีคืนไหนที่หลงเฉินจะหยุดการฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะของตนเลยสักครั้ง
หลงเฉินนั่งฝึกปรืออยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ในที่สุดเขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญาณขั้นห้าระดับสูงสุดได้จริงๆ
“ฮู่ว.. ข้าสัมผัสได้ว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนนัก อีกเพียงเล็กน้อยก็จักสามารถเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นหกได้แล้วสินะ!” หลงเฉินพึมพำกับตนเองและยิ้มออกมาอย่างพอใจ
หลงเฉินยังคงฝึกปรือต่ออีกเล็กน้อยแล้วจึงหยุด เขานำไข่ของสัตว์อสูรที่ได้มาจากก้นเหวของผาสวรรค์ออกมาจากแหวนบรรจุ จากนั้นจึงเริ่มถ่ายเทพลังชี่ของตนเองป้อนให้กับไข่ใบนั้น
หลงเฉินทำเช่นนี้ทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง เขาเชื่อว่าการป้อนพลังชี่ของตนเข้าไปในไข่เช่นนี้ จักทำให้ไข่ของสัตว์อสูรใบนี้ฟักเป็นตัวได้ หลังจากป้อนพลังชี่ให้กับไข่สีดำนี้แล้ว เขาก็นำมันเก็บเข้าไปไว้ในแหวนบรรจุตามเดิม แล้วจึงเข้านอน..
เช้าวันต่อมา..
หลงเฉินตื่นขึ้นมาแต่เช้าและเริ่มออกเดินทางเข้าไปในป่าลึกทันที เขาเดินทางต่อไปอีกครึ่งวัน ในที่สุดก็สังเกตเห็นใครบางคนอยู่ในรัศมีสัมผัสเทวะของตน