เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 46
ตอนที่ 46 ตอบไม่ถูก
“องค์หญิง.. หากท่านหมายถึงการพูดตรงไปตรงมาแล้วล่ะก็.. ถูกต้องแล้ว ข้าเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ ข้าพูดความจริงเสมอไม่ว่าจะต่อหน้าบุรุษ หรือว่าสตรี!” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าหาได้พูดถึงเรื่องนั้นไม่ ข้าหมายถึงเรื่องที่เจ้าชอบเยินยอสตรีต่างหากเล่า?” องค์หญิงเย่วเฟิงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่! ข้าเพิ่งจะเอ่ยชมท่านเป็นคนแรก แล้วสิ่งที่ข้าเอ่ยออกไปก็หาใช่การเยินยอ แต่ทุกอย่างที่ข้ากล่าวล้วนแล้วแต่เป็นความจริง”
หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับนั่งลงห่างจากองค์หญิงเย่วเฟยไปราวสองสามเมตร แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของนางได้อย่างชัดเจน
“โอ้.. นี่พวกเจ้าสองคนออกมานั่งคุยกันตามลำพังเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?” แต่ยังไม่ทันที่องค์หญิงเย่วเฟยจะทันได้ตอบอันใด หลงเฉินซึ่งอยู่ข้างๆก็ร้องตอบออกไปแทน
“องค์ชายสอง ข้ากับองค์หญิงเย่วเฟยเพิ่งจะออกมาได้สักพัก นางกำลังเล่าเรื่องความเก่งกาจขององค์ชายสองให้ข้าฟังตั้งมากมาย..”
“น้องสาวข้านี่นะ?! ข้ามิเคยรู้มาก่อนเลยว่านางชื่นชมในตัวข้ามากมายถึงเพียงนี้!” องค์ชายเย่วหรวนตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นี่.. เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกข้าว่าเจ้ามักพูดความจริงต่อหน้าทุกคนเสมอมิใช่รึ? แต่ตอนนี้เจ้ากลับกำลังพูดโกหกต่อหน้าพี่ชายของข้า เขาไม่มีทางเชื่อเจ้าหรอกว่าข้าจะชื่นชมเขาถึงเพียงนั้น..” องค์หญิงเย่วเฟยเย้าแหย่หลงเฉินพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“เมื่อครู่พวกเจ้าคุยเรื่องอะไรกันงั้นรึ?” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยถามออกมาด้วยความงุนงง เมื่อเห็นน้องสาวของตนกำลังหัวเราะคิกคักเช่นนั้น
“ไม่มีอะไร.. ข้าต้องเข้านอนแล้วล่ะ ราตรีสวัสดิ์!” หลังจากเอ่ยลา องค์หญิงเย่วเฟยก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปในกระโจมทันที แต่ก็อดที่จะหันมามองหลงเฉินก่อนที่จะเดินหายเข้าไปอีกครั้งไม่ได้
“เอาล่ะ.. น้องเฟยกลับเข้าไปแล้ว เจ้ากับข้าจะได้มีเวลาคุยกันตามลำพังเสียที!” องค์ชายเย่วหรวนร้องบอกหลงเฉินพร้อมกับเดินตรงไปนั่งข้างเขาทันที
“มิทราบองค์ชายมีเรื่องอันใดจักคุยกับข้างั้นรึ?” หลงเฉินถามขึ้นตรงๆ
“นี่.. เจ้าเลิกเรียกข้าว่าองค์ชาย หรือไม่ก็องค์ชายสองเสียทีจะได้หรือไม่?” องค์ชายเย่วหรวนบอกกับหลงเทียนด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
“ถ้าเช่นนั้นข้าควรเรียกท่านอย่างไรดีเล่า?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไปทันที
“ในเมื่อข้าเองก็เรียกเจ้าว่าน้องชาย เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่ชายก็แล้วกัน แต่หากเจ้าไม่ต้องการ.. ก็เรียกชื่อข้าเฉยๆก็ได้!” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยแนะนำ
“อายุของท่านมากกว่าข้า อีกทั้งข้าเองก็ชื่นชอบและนับถือท่านเช่นกัน คงจะเรียกชื่อของท่านเฉยๆเช่นนั้นมิได้แน่ เอาเป็นว่าข้าขอเรียกท่านว่าพี่เย่วหรวนแทนก็แล้วกัน” หลงเฉินตอบกลับยิ้มๆ
“อย่างน้อยก็ฟังดูดีกว่าองค์ชายเป็นไหนๆ นี่น้องชาย.. ข้ามีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตัวเจ้าที่สนใจใคร่รู้นัก เหตุใดทุกครั้งที่เราสองคนพบเจอกัน ข้าจึงมิสามารถสัมผัสถึงพลังบ่มเพาะของเจ้าได้ เป็นเพราะเจ้ามีพลังเหนือกว่าข้า หรือเป็นเพราะเจ้ามีเครื่องลางปิดบังติดตัวมาด้วยกันแน่?” องค์ชายเย่วหรวนจ้องมองหลงเฉินอย่างพินิจพิเคราะห์ในขณะเอ่ยถาม
“ขอบอกตามตรง.. ข้ามิคิดว่าเจ้าจักมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขั้นที่เหนือกว่าข้า ฉะนั้นแล้ว จึงเหลือคำอธิบายเพียงแค่ข้อเดียว คือเจ้ากำลังปิดบังอำพรางขั้นพลังของตนเองไว้!” องค์ชายเย่วหรวนกล่าวต่อ
‘ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าจักต้องถามข้าเรื่องนี้!’ หลงเฉินเองก็คาดเดาอยู่ในใจไว้ก่อนแล้วเช่นกัน
“แต่ถึงแม้เจ้าจะมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขั้นเดียวกับข้า ข้าก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่า เจ้าสามารถปิดบังพลังของเจ้าไว้ได้อย่าางไร? และเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นด้วย? น้องชาย.. ช่วยบอกให้ข้ารู้หน่อยจะได้หรือไม่เล่า? แต่หากเจ้ามิสะดวกใจที่จะพูด ก็มิเป็นไร..” องค์ชายเย่วหรวนยังคงกล่าวต่อ
‘เฮ้อ.. จะตอบเช่นไรดี? ข้าคงจะบอกความจริงให้กับองค์ชายรู้ไม่ได้แน่ แต่ก็มิอาจตอบว่าข้าบอกไม่ได้เช่นกัน และหากจะโกหกว่ามีเครื่องรางปกปิดพลังที่มีราคาสูงมากอยู่นับไม่ถ้วน จนสามารถปกปิดเขาไว้ได้ตลอดเวลาเช่นนี้ ก็จะยิ่งฟังดูไม่เข้าทีไปกว่าเดิม..’ หลงเฉินเฝ้าครุ่นคิดหาคำตอบอยู่ภายในใจ ในที่สุดจึงตัดสินใจตอบไปว่า..
“พี่เย่วหรวน.. หาได้มีเหตุผลอื่นใดไม่ ที่ข้าต้องปกปิดขั้นพลังของตนเองไว้เช่นนี้ ก็เพื่อมิให้ตระกูลหลงต้องอับอายขายหน้า หากให้ผู้ใดพบเห็นว่าพลังบ่มเพาะของข้านั้นต่ำต้อยเช่นนี้!”
“ก่อนออกเดินทางมาที่นี่ อาวุโสท่านหนึ่งของโถงสมบัติตระกูลหลงล่วงรู้ถึงความต้องการของข้า จึงได้มอบยันต์ให้กับข้า และด้วยอานุภาพของยันต์แผ่นนี้ จึงทำให้ข้าสามารถปกปิดขั้นพลังของตนเองไว้ได้” หลงเฉินโกหกองค์ชายเย่หรวนหน้าตาย
“ยันต์ชนิดนี้สามารถใช้งานได้เพียงแค่ครั้งเดียวดังเช่นยันต์ชนิดอื่นๆทั่วไป และฤทธิ์ของมันจะปรากฏอยู่ราวเจ็ดวันเท่านั้น นี่ก็เหลืออีกเพียงไม่กี่วันฤทธิ์ของยันต์แผ่นนี้ก็จะหมดแล้ว” หลงเฉินยังคงโกหกองค์ชายเย่วหรวนโดยมิรู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“งั้นรึ?! ข้ามิเคยได้ยินว่ามียันต์ประเภทนี้มาก่อนเลย อานุภาพของยันต์อัศจรรย์ถึงเพียงนี้ ราคาของมันคงจะสูงมากมายเลยทีเดียว มิน่า.. ตระกูลหลงจึงได้ยืนหยัดเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองมังกรได้เช่นนี้” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองหลงเฉินนิ่ง..
“น้องชาย เจ้ายังมียันต์ชนิดนี้อยู่อีกหรือไม่? หากมี.. ไม่ทราบว่าพอจะขายให้ข้าได้หรือไม่? ข้ายินดีจ่ายให้เจ้าในราคาที่งดงามทีเดียว!” องค์ชายเย่วหรวนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พี่เย่วหรวน ต้องขออภัยจริงๆ ยันต์ชนิดนี้ตระกูลหลงของข้าก็มีเพียงแค่แผ่นเดียวเช่นกัน แล้วข้าก็ใช้มันไปแล้วด้วย ว่าแต่.. ท่านอยากได้ยันต์นี่ไปทำไมกัน?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“เอ่อ.. ก็ไม่มีอะไรมาก เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่มีก็ช่างเถิด นี่ก็ดึกมากแล้วพวกเรารีบเข้านอนกันดีกว่า ราตรีสวัสดิ์น้องเทียน!”
“อ่อ.. หวังว่าพรุ่งนี้เจ้าจะไม่หายตัวไปก่อนที่พวกเราสองพี่น้องจะตื่นเหมือนครั้งก่อนล่ะ!” องค์ชายเย่วหรวนกล่าวจบก็หายเข้าไปในกระโจมทันที
‘ต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ องค์ชายสองจึงต้องการยันต์ที่ว่านี้! แต่ช่างเถิด เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าไม่’
หลงเฉินครุ่นคิดเรื่องขององค์ชายเย่วหรวนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดใจเลิกคิดไป แต่เขายังคงนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างนอกคนเดียวต่ออีกสักพัก แล้วจึงกลับเข้ากระโจมนอน
……
‘ได้เวลาหนีแล้ว..’
หลงเฉินตื่นนอนมาตั้งแต่เช้า และกำลังเก็บกระโจมอย่างเงียบเชียบที่สุด เพื่อเตรียมที่จะหนีออกไปก่อนที่สองพี่น้องจะตื่นขึ้นมา..
“นี่.. เจ้าคิดที่จะหนีพวกเราไปเหมือนครั้งก่อนสินะ!” ทันทีที่หลงเฉินเก็บกระโจมเสร็จ ก็มีเสียงร้องตะโกนถามดังขึ้นนอยู่ด้านหลังของเขา
“องค์หญิงเย่วเฟย.. ข้าจะแอบหนีกลับไปโดยไม่รอพบใบหน้าอันงดงามของท่านก่อนได้อย่างไรกันเล่า? โอกาสเช่นนี้ใช่ว่าคนอย่างข้าจะสามารถพบเจอได้ง่ายๆ ข้าเพียงแต่ตื่นขึ้นมาเก็บกระโจมก่อนเท่านั้นเอง กะว่าจะนั่งรอท่านกับพี่เย่วหรวนตื่นก่อน หลังจากร่ำลาพวกท่านทั้งสองแล้วจึงค่อยออกเดินทาง”
หลงเฉินหันไปตอบองค์หญิงเย่วเฟยพร้อมกับยิ้มกว้างให้นาง..
“ขี้โกหก..” องค์หญิงเย่วเฟยตอบกลับด้วยสีหน้าบึ้งตึงโมโห แต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางดูงดงามมากขึ้น
“องค์หญิง ข้าบอกท่านแล้วมิใช่รึ ข้าเป็นผู้ที่พูดแต่ความจริงเท่านั้น ข้ามิได้โกหกท่านเลยแม้แต่น้อย” หลงเฉินตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“’งั้นรึ? แล้วเมื่อคืนผู้ใดกันที่โกหกท่านพี่ของข้า?” องค์หญิงเย่วเฟยสวนกลับยิ้มๆเช่นกัน
“เอ่อ.. นั่น.. ข้าเพียงแค่หยอกล้อพี่เย่วหรวนเล่นต่างหากเล่า แล้วที่ข้าบอกว่าข้าพูดความจริงเสมอนั้น ข้าก็หมายถึงยามที่ข้ากล่าวชมใครบางคนต่างหากเล่า” หลงเฉินแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ
“อะไรกัน?! เหตุใดทุกครั้งที่ข้าออกมา จักต้องพบเจอพวกเจ้าทั้งสองคนคุยกันกระหนุงกระหนิงราวกับนกน้อยที่มันจู๋จี๋กันเช่นนี้? อ้าว.. น้องชาย นี่เจ้าเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วรึ?” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เดินออกจากกระโจมมา
“พวกเราสองคนหาได้กำลังจู๋จี๋กันไม่พี่เย่วหรวน ข้ากำลังร่ำลาองค์หญิงเย่วเฟยต่างหากเล่า เอาล่ะ.. ในเมื่อพวกท่านทั้งสองตื่นแล้ว ก็ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้วเช่นกัน” หลงเฉินตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นี่เจ้าจักไปเลยงั้นรึ? แต่นับว่ายังดีที่อย่างน้อยครั้งนี้เจ้าก็ไม่แอบหนีไปเหมือนครั้งก่อน..” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยตอบ
“ใครบอกเล่า.. เขาแอบหนีไปไม่ได้ต่างหาก!” องค์หญิงเย่วเฟยเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองไปทางหลงเฉิน
“เอ่อ.. เหตุใดข้าต้องแอบหนีไปด้วยเล่า?!” หลงเฉินยิ้มเก้อเมื่อหันไปเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจนักขององค์หญิงเย่วเฟย
“เอาล่ะ.. ในเมื่อพี่เย่วหรวนตื่นแล้ว ข้าก็ขอร่ำลาพวกท่านเลย ได้เวลาที่ข้าต้องออกเดินทางแล้ว ขอให้พวกท่านทั้งสองเดินทางปลอดภัย หวังว่าพวกเราจักมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง และข้าจะรอคอยวันนั้น..”
หลงเฉินเอ่ยร่ำลาสองพี่น้องทันที และในขณะที่เขาจักก้าวเท้าเดินจากไปนั้น เขาก็หันไปเห็นองค์หญิงเย่วเฟยที่กำลังจ้องมองตรงมาพอดี
“พวกเราต้องได้พบกันอีกแน่น้องชาย!” องค์ชายเย่วหรวนตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พี่ชาย เหตุใดเขาจึงเรียกท่านว่าพี่เย่วหรวนแล้วล่ะ?”
ระหว่างที่หลงเฉินเดินห่างออกไปนั้น หูของเขาก็ยังคงได้ยินเสียงขององค์หญิงเย่วเฟยที่เอ่ยถามองค์ชายเย่วหรวนดังรอดออกมา..