เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 49
ตอนที่ 49 เจดีย์สืบสายเลือด, วิญญาณนำทาง
ร่างของหลงเฉินยังคงนอนหลับไหลอยู่บนเตียงอย่างสงบ ในขณะที่หลุมปริศนาก็ได้ปรากฏขึ้นบนร่างกายด้านขวาเหนือหัวใจของเขา ทันทีที่มันก่อตัวขึ้น.. วิญญาณของเขาก็ถูกดูดกลืนเข้าไปด้านใน โดยมิสามารถต้านทานแข็งขืนได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อวิญญาณของหลงเฉินออกจากร่าง และก่อนที่จะถูกหลุมปริศนาดูดกลืนเข้าไปนั้น เขายังสามารถมองเห็นร่างของตนเองที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ร่างของเขายังคงหายใจและไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปจากเดิมเลย ในความรู้สึกของเขานั้น คล้ายกับว่าตนเองเพียงแค่นอนหลับไหลไปอย่างสงบเท่านั้น
แต่แล้วจู่ๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นมืดมิดในทันที..
“ตื่นได้แล้ว! เจ้าจักนอนเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด?” หลงเฉินลืมตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆน่ารักร้องตะโกนอยู่ข้างหูของตน
“ห๊ะ?! นี่ข้าอยู่ที่ใดกัน?! หรือข้าฝันไปอีกแล้วอย่างนั้นรึ?”
หลงเฉินหันไปมองรอบตัวแต่ก็มิพบสิ่งใดนอกจากเมฆสีขาว.. และอีกหนึ่งสิ่งที่สะดุดตายิ่งนัก นั่นก็คือเจดีย์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า เจดีย์แห่งนี้โดดเด่นสะดุดตาเนื่องจากมันเป็นสีดำทะมึนทั้งหลัง
“เจ้างั่ง.. ฝันอะไรกันเล่า? ข้าไม่เข้าใจจริงๆเหตุใดคนเช่นเจ้าจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดด้วย สำหรับข้าแล้ว เจ้าดูไม่ต่างจากคนไร้ค่าเลยจริงๆ”
หลงเฉินได้ยินเสียงพูดดูถูกเย้ยหยันตนเองดังขึ้นเช่นนั้น จึงรีบลืมตาขึ้นและหันมองไปรอบๆตัว แต่ก็มิพบเห็นผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียว
“นั่นเสียงผู้ใดกัน? ออกมาปรากฏตัวให้ข้าเห็นเดี๋ยวนี้!!” หลงเฉินร้องตะโกนออกไปเสียงดังพร้อมกับหันมองไปรอบตัวอีกครั้ง
“เจ้านี่มันช่างโง่เง่าจริงๆ ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้านี่แล้วยังไงเล่า เหตุใดเจ้ายังหันมองไปทางอื่นอีก?” เสียงเดิมนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“เหตุใดข้าจึงมองไม่เห็นเจ้าเล่า?” หลงเฉินร้องถามด้วยความงุนงง
“เงยหน้าขึ้นสิเจ้าโง่!! เจ้าเป็นผู้สืบทอดของ ‘เขา’ อย่าได้สร้างความเสื่อมเสียและอับอายให้กับเขาล่ะ” เสียงเล็กน่ารักนั้นเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
“จะ.. เจ้าเป็นผู้ใดกัน??”
หลงเฉินตกใจอย่างมากเมื่อเงยหน้าขึ้นมองตามที่เสียงเล็กๆนั้นเอ่ยแนะนะ เขาพบเห็นสาวน้อยผู้หนึ่งกำลังบินอยู่กลางอากาศ เด็กสาวนี้ดูเหมือนจะอายุราวสิบสี่ถึงสิบห้าปีเท่านั้น ผมสั้นของนางเป็นสีชมพูงดงาม
แก้มทั้งสองข้างของนางนวลเนียนราวกับหยกขาว ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งดูน่ารักขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนร่างกายของนางเวลานี้ก็คือ.. ปีกใสงดงามทั้งสองข้างนั่นเอง หลงเฉินรู้สึกราวกับว่ากำลังได้พบเห็นนางฟ้าตัวน้อย..
“ข้ามีนามว่าซุน เป็นวิญญาณนำทางของเจ้า หากเจ้าจักทำการโขกศรีษะคาราวะข้า ข้าก็จะมิห้ามปรามเจ้า” นางเอ่ยบอกหลงเฉินด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“วิญญาณนำทางงั้นรึ? มันคืออะไรกัน?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยความงุนงง เพราะมิรู้ว่านางกำลังพูดเรื่องอันใดกันแน่..
“เอาล่ะ.. ดูเหมือนข้าคงต้องบอกให้เจ้ารู้ก่อนสินะว่า เวลานี้เจ้ากำลังอยู่ที่ใด!” นางทำน้ำเสียงราวกับเป็นอาจารย์ของเขา
“เฮ้อ.. นั่นก็เป็นคำถามที่ข้าถามเจ้าตั้งแต่แรกแล้วมิใช่รึ? เพียงแต่เจ้าเองที่ยังมิได้ตอบข้าก็เท่านั้น..” หลงเฉินเอ่ยออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง
“นี่!! ข้ายังพูดไม่จบ ใครใช้ให้เจ้าพูดแทรกขึ้นมาเช่นนี้?” ซุนดุหลงเฉินด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“ข้าเป็นผู้ใดงั้นรึ?! อ่อ.. ไม่สิ! ก่อนที่เจ้าจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวข้า เจ้าควรจักต้องรู้ก่อนว่าเจ้ากำลังอยู่ที่ใด และเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรก่อนสินะ?” นางเอ่ยขึ้น
“ได้โปรดบอกข้าเสียที!” หลงเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ที่นี่คือเจดีย์สืบสายเลือด! ทุกคนที่ได้รับสายเลือดของ ‘เขา’ จักต้องมาที่เจดีย์สืบสายเลือด เพื่อรับมรดกและความรู้เกี่ยวกับสายเลือดนี้” นางบอกกับหลงเฉินด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จักมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้รับสายเลือดของเขาและมาที่นี่ได้ อย่างเช่นเจ้าเป็นต้น! และเจ้าก็คือคนที่สอง” นางจ้องมองหลงเฉินในขณะที่พูดต่อไปเรื่อยๆ
“ข้าคงจักต้องบอกเจ้าตามตรงว่า ผู้สืบทอดคนก่อนหน้าเจ้านั้น แม้จักมิได้ดีเลิศเท่าใดนัก แต่ในสายตาของข้าแล้ว เขาเหนือกว่าและแข็งแกร่งกว่าเจ้านับพันเท่าเลยทีเดียว”
“นี่เจ้าจักหยุดกล่าววาจาดูถูกดูแคลนข้าได้หรือยัง แล้วก็บอกข้าเสียทีว่าข้ามาอยู่ที่บ้าๆแห่งนี้ได้อย่างไร?” หลงเฉินร้องตะโกนถามด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม และเจือไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
“เจ้าต่างหากที่ต้องหยุดทำตัวเป็นเด็กทารก แล้วก็ตั้งใจฟังข้าและอย่าได้คอยพูดขัดจังหวะเช่นนี้อีก เพราะข้ากำลังจะบอกเจ้าว่าสายเลือดที่เจ้าได้รับไปนั้นช่างพิเศษยิ่งนัก มันเป็นของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างที่เจ้ามิอาจจะคาดเดาได้เชียวล่ะ เจดีย์สืบสายเลือดนี้คือสิ่งแรกที่เจ้าจักได้รับหลังจากที่รับสายเลือดนี้เข้าไปในร่าง นี่เป็นเพียงการทดสอบครั้งแรกเท่านั้น หากเจ้าสามารถผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้ เจ้าก็จักมีโอกาสได้รับสายเลือดที่เข้มข้นมากกว่านี้ และจักได้รับความรู้ที่มากกว่านี้เช่นกัน” สาวน้อยมีปีกเอ่ยบอกหลงเฉิน
“แล้วข้ารับสายเลือดนี้มาได้อย่างไรกัน? ข้ามิเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้จากท่านปู่ ท่านพ่อ หรือว่าท่านแม่มาก่อนเลย..” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
“แม้ว่าข้าจักไม่สามารถมองเห็นความทรงจำทั้งหมดของเจ้าได้ แต่จากความทรงจำในช่วงที่เจ้าสัมผัสแหวนวงนี้ในครั้งแรกนั้น ข้าก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยากนัก เจ้ายังจดจำสร้อยผลึกใสที่อยู่ภายในแหวนบรรจุที่สวมอยู่ได้หรือไม่?” ซุนเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลงเฉินก้มลงมองดูแหวนบรรจุในนิ้วของตน และพบว่ามันยังคงอยู่ที่เดิม..
“สร้อยผลึกใสนั่นเกิดจากการตกผลึกของบรรพชนสูงสุด และผู้ที่ถูกลิขิตไว้แล้วเท่านั้นจึงจักได้รับมันไป ทันทีที่สายเลือดนี้ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเจ้าแม้เพียงเล็กน้อย มันจักค่อยๆเปลี่ยนโลหิตในกายของเจ้าอย่างช้าๆ และเมื่อโลหิตในกายของเจ้าเปลี่ยนถึงหนึ่งในร้อยเมื่อใด เจ้าก็จักถูกนำตัวมาที่เจดีย์สืบสายเลือดนี้” นางอธิบายพร้อมกับจ้องหน้าหลงเฉินไปด้วย
“บรรพชนสูงสุดที่เจ้าพูดถึงคือผู้ใดกัน? ใช่ชายหนุ่มที่ข้าพบเจอในความฝันหรือไม่? ผู้ที่มีผมสีแดง มีนัยน์ตาสีทองสุกสว่างที่ข้าได้พบในความฝันครั้งแรก กับครั้งที่สอง..” หลงเฉินยังจดจำชายหนุ่มที่เข่นฆ่าทุกคนราวกับปีศาจได้ไม่ลืม
“มิใช่! ชายผู้นั้นคือคนที่สองที่ได้รับสายเลือดของ ‘เขา’ เข้าไปก่อนหน้าเจ้า ชายผู้นั้นมาที่นี่ก่อนเจ้า หากข้าจำไม่ผิดน่าจะหลายพันปีมาแล้ว..”
หลงเฉินเห็นนางทำท่าทางครุ่นคิดราวกับว่ายังจดจำช่วงเวลานั้นได้..
‘แย่แล้ว! เมื่อครู่ที่นางกล่าวว่าข้าเทียบมิได้เลยกับผู้ที่มาก่อนหน้า ข้านึกว่านางเพียงพูดจาเยาะเย้ยถากถางข้าเท่านั้น แต่ในเมื่อเขาคือผู้ที่มาก่อนข้า ดูเหมือนที่นางพูดจะเป็นความจริงเสียแล้ว!’ หลงเฉินแอบครุ่นคิดอยู่ในใจระหว่างที่ฟังซุนกล่าวไปเรื่อยๆ
“เช่นนั้นแล้วก็หมายความว่า.. ชายผู้นั้นคือผู้สืบทอดคนแรก และข้าก็คือคนที่สองสินะ? ว่าแต่ ‘เขา’ ที่เจ้าพูดถึงนั้นคือผู้ใดกันแน่? เจ้ายังมิได้บอกเล่าเรื่องของบรรพชนสูงสุดให้ข้ารู้เลย” หลงเฉินถามขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เจ้ายังมิคู่ควรที่จะได้รู้..” นางเอ่ยตอบพร้อมกับก้มลงมองหลงเฉินที่กำลังเงยหน้าขึ้นมามองเช่นกัน
“เหตุใดข้าจึงไม่คู่ควร? แต่เอาล่ะ.. ข้าว่าพวกเรานอกเรื่องไปมากแล้ว และนั่นยิ่งทำให้ข้างุนงงเข้าไปใหญ่ ข้าจักเป็นฝ่ายถามเจ้าเองดีกว่า..” หลงเฉินเป็นฝ่ายเสนอความคิดเห็น
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ก็เชิญถามข้ามาได้เลย..” นางทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจนัก แต่นั่นกลับทำให้ใบหน้าของนางยิ่งดูน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้น
“เอาล่ะ.. ข้าพอเข้าใจเรื่องเจดีย์นี้บ้างแล้ว และพอรู้แล้วว่ามาที่นี่ได้อย่างไร แต่ยังมิรู้เหตุใดข้าจึงต้องมาที่นี่ด้วย?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นทันที
“หลังจากที่โลหิตในกายเจ้าเปลี่ยนถึงหนึ่งในร้อยแล้ว เจ้าจึงต้องมาที่นี่เพื่อทำการทดสอบ หากเจ้าสามารถผ่านการทดสอบไปได้ การเปลี่ยนแปลงโลหิตในกายของเจ้าก็จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จนกว่าจะถึงการทดสอบครั้งต่อไป..”
“แต่แม้ว่าเจ้าจะล้มเหลวมิสามารถผ่านการทดสอบได้ สายเลือดหนึ่งส่วนในกายเจ้าก็หาได้หายไปด้วยไม่ มันจักยังคงอยู่ในกายของเจ้าเช่นนั้นตลอดไป และเพียงแค่หนึ่งส่วนนั้นเจ้าก็จักได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลทีเดียว แต่หากเจ้าสามารถผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้ รางวัลที่เจ้าจักได้รับคือความรู้ที่เพิ่มพูนมากขึ้น และข้ามั่นใจว่าเจ้าจักต้องชื่นชอบมันเป็นแน่!” ซุนกล่าวกับหลงเฉินด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง
หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพยายามที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา
“เอาล่ะ.. อย่างน้อยเวลานี้ข้าก็กระจ่างขึ้นมาก คำถามที่สอง.. เจ้าเป็นสิ่งใดกันแน่?” หลงเฉินถามต่อ
“ข้าก็คือวิญญาณนำทางของเจ้า หรือหากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ข้าก็คือวิญญาณของแหวนที่อยู่ในนิ้วของเจ้าอย่างไรเล่า..” ซุนตอบพร้อมกับชี้นิ้วไปที่แหวนบรรจุในมือของหลงเฉิน
“ในเมื่อเจ้าเป็นวิญญาณของแหวนวงนี้ เหตุใดจึงไม่อยู่ในแหวน แต่กลับมาอยู่ที่เจดีย์สืบสายเลือดของข้าเล่า” หลงเฉินยกมือขึ้นสัมผัสแหวนในนิ้วพร้อมกับเอ่ยถาม
“ข้าเชื่อมโยงกับสายเลือดนี้มานานมาก และเวลานี้สายเลือดของเจ้า วิญญาณของเจ้า และแหวนวงนี้ก็ได้เชื่อมต่อถึงกันแล้ว” นางจ้องมองหลงเฉินพร้อมกับอธิบายให้ฟัง
“บรรพชนสูงสุดเป็นผู้สร้างเจ้าขึ้นมางั้นรึ?” หลงเฉินถามต่อ
“ข้ามิอาจบอกเจ้าได้ว่าข้ากำเนิดมาได้อย่างไร แต่ข้ารู้เพียงว่าข้ามีหน้าที่ต้องคอยชี้แนะผู้สืบทอดของ ‘เขา’ เท่านั้น..” นางตอบ
“เจ้าเป็นผู้ที่คอยชี้แนะชายหนุ่มผมแดงด้วยสินะ? ข้าเห็นเขาสวมแหวนเช่นเดียวกับข้า” หลงเฉินเอ่ยถาม
“ถูกต้องแล้ว.. ข้าก็อยู่กับเขาด้วยในครั้งนั้น!” ซุนกล่าว
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา? และเหตุใดเจ้าจึงไปอยู่ที่ก้นเหวของผาสวรรค์?” หลงเฉินถามต่อทันที