เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 62
ตอนที่ 62 หัดขี่ม้าเอลเฟีย
หลังจากที่กล่าวอำลาเท็นช่าและซูแล้ว หลงเฉินและคณะของตนก็ได้เดินทางออกจาเผ่าเอลเฟีย..
หลงเฉินนั่งซ้อนท้ายเซี่ย มือทั้งสองข้างของเขากอดเอวบอบบางของนางไว้ ในขณะที่เทียซึ่งเป็นหัวหน้าผู้อารักขาก็มีเทอร่านั่งไปด้วย หลังจากออกเดินทานไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลงเฉินก็เริ่มคุ้นชินกับม้าเอลเฟีย และตระหนักว่าแม้มันจักมีรูปร่างหน้าตาที่แปลกประหลาดกว่าม้าทั่วไป นอกเหนือจากรูปร่างที่แตกต่างกันนี้ อย่างอื่นล้วนคล้ายคลึงกับม้าที่เขาเคยขี่มา หลงเฉินรู้สึกว่าตนเองน่าจะสามารถขี่มันได้หากลองฝึกฝนดู
‘ตายแน่แล้ว! ข้ามิควรต้องมานั่งซ้อนท้ายหญิงใดเช่นนี้ มิรู้ว่าข้าจะควบคุมตนเองไปได้อีกนานเพียงใด?’ หลงเฉินได้แต่พึมพำอยู่ในใจขณะที่กำลังควบคุมอวัยวะบางส่วนในร่างกายมิให้ตั้งโด่ขึ้นมา..
หลงเฉินเดินทางมาได้เพียงไม่นานก็พบว่า การนั่งซ้อนท้ายเซี่ยมาโดยต้องใช้มือสองข้างโอบเอวนางไว้แน่นเช่นนี้ ทำให้กระบี่เล็กในกายของเขาต้องสัมผัสอยู่กับบั้นท้ายของนางตลอดเวลา และเหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้นในยามที่ม้ากำลังควบไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว
หลงเฉินพยายามที่จะดึงความสนใจของตนเองออกจากเรื่องนี้ จึงได้พยายามคิดเรื่องน่าเบื่ออย่างการคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์ที่เคยเรียนมา แต่การที่ร่างกายช่วงล่างของเขาต้องเสียดสีกับก้นของเซี่ยเป็นครั้งคราวอยู่เช่นนี้ กลับเป็นอุปสรรคต่อการใช้ความคิดของเขา
‘ห๊ะ.. ข้าจักทำเช่นใดดี เจ้านั่นผงกหัวขึ้นมาแล้ว!!!!’
หลงเฉินได้แต่ร้องอุทานอยู่ในใจ เพราะในเวลานี้เขาเองก็ไม่สามารถควบคุมน้องชายของตนได้อีก และมันก็กำลังผงกหัวสู้กับบั้นท้ายของเซี่ย เมื่อเซี่ยสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จู่ๆก็แข็งขึ้นมา และกำลังเคาะอยู่ที่บั้นท้ายของตน นางก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีเลยทีเดียว
“เอ่อ.. ท่านหลงเฉิน ท่านกำลังทำบางสิ่งที่มิเหมาะสมยิ่ง?”
เซี่ยกระซิบเสียงเบา แต่ก็ดังพอที่หลงเฉินจักได้ยินอย่างชัดเจน แม้นางจะมิเคยมีคนรักหรือมีประสบการณ์ในเรื่องเช่นนี้ แต่นางย่อมรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้คืออะไร ทางด้านหลงเฉินซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง ก็มิอาจเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนางได้เช่นกัน
“เอ่อ.. ข้าต้องขอภัยแม่นางเซี่ย ข้าหาได้ตั้งใจที่จักทำเช่นนั้นไม่ เจ้าหยุดม้าก่อนเถิด ข้าจักเปลี่ยนไปนั่งกับเทียแทน แล้วให้เทอร่ามานั่งกับเจ้า!” หลงเฉินบอกกับนาง
“มิเป็นไร! ท่านนั่งต่อไปเถิด มิจำเป็นต้องสลับเปลี่ยนในระหว่างเดินทางเช่นนี้ก็ได้ ต่อให้เปลี่ยนเป็นเทอร่ามานั่งแทนท่าน ข้าก็ย่อมเจอกับเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้เป็นแน่ อีกอย่าง.. ผู้คนจักสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน”
เซี่ยทำเสียงกระซิบในขณะที่ตอบหลงเฉิน โดยมิหันใบหน้าแดงก่ำนั้นมามองเขาเลยแม้แต่น้อย..
“เอ่อ.. ข้าคิดคิดว่าอีกไม่นานมันก็คงสงบลงแล้วล่ะ.. หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลงเฉินเอ่ยตอบเซี่ยด้วยน้ำเสียงที่เบา โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่แม้แต่ตัวเขาเองยังแทบมิได้ยิน
หลงเฉินยังคงโอบแขนทั้งสองข้างไว้ที่เอวบอบบางของเซี่ย เพราะเขาเองก็มิอยากตกม้าเช่นกัน ส่วนกระบี่น้อยของเขานั้นก็คอยแต่จะจู่โจมบั้นท้ายของเซี่ยอยู่ตลอดการเดินทาง ระหว่างการเดินทางที่ยาวไกลนี้ ทั้งเซี่ยและหลงเฉินต่างก็นิ่งเงียบมิได้พูดจาอันใดตลอดเส้นทาง หลงเฉินเองก็บอกมิได้ว่าเวลานี้ตนเองกำลังมีความสุขกับสัมผัสนี้ หรือว่ากำลังทรมานกันแน่..
“แม่นางเซี่ย.. เจ้าช่วยหยุดม้าก่อนจักได้หรือไม่? ข้าต้องการเปลี่ยนไปนั่งด้านหน้าแทน เพราะเจ้านั่นของข้าคงจะมิยอมอ่อนข้อแน่หากข้ายังนั่งอยู่ด้านหลังเจ้าเช่นนี้ อีกอย่าง.. ข้าเองอยกจะลองหัดขี่ม้าเอลเฟียดูเช่นกัน” หลงเฉินเอ่ยบอกเซี่ยที่กำลังจดจ่ออยู่กับการขี่ม้า
“ท่านอยากจะอยากจะขี่ม้าเองงั้นรึ? หรือข้าขี่ให้ท่านซ้อนท้ายไปเช่นนี้ ท่านยังมิพอใจรึ?”
เซี่ยวกล่าวกับหลงเฉินด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่ความจริงแล้วนางเองก็เริ่มติดใจ และมีความสุขกับการที่กระบี่น้อยของหลงเฉินเสียดสีอยู่กับบั้นท้ายของตนเช่นนี้ บางครานางถึงกับขยับบั้นท้ายของตนสู้กับกระบี่น้อยของเขาไปด้วยในระหว่างควบม้าไปด้วย
“แม่นางเซี่ยอย่าได้เย้าแหย่ข้านัก ข้าอยากจะลองหัดขี่ม้านี่ดูสักคราจริงๆ ข้ามั่นใจว่าตนเองสามารถทำได้แน่!” หลงเฉินตอบยิ้มๆ
“’งั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นท่านก็ลองฝึกบังคับม้าในระหว่างที่ยังนั่งซ้อนท้ายข้าอยู่เสียก่อน หากท่านสามารถควบคุมมันได้สักระยะ ข้าจักยอมให้ท่านมานั่งควบม้าด้านหน้าตามที่ต้องการ” เซี่ยยื่นข้อเสนอให้หลงเฉิน
“หากให้ข้าควบม้าจากด้านหลังของเจ้า ข้าจักมองเห็นหนทางด้านหน้าได้อย่างไรกัน อย่างไรการควบม้าด้านหน้าย่อมดีกว่าการควบม้าจากด้านหลังเช่นนี้แน่..” หลงเฉินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เรื่องนั้นเจ้ามิต้องกังวลใจไป ตลอดระยะทางกว่าหนึ่งลี้นี้ มิมีสิ่งใดกีดขวางเส้นทางอยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว เจ้าทดลองควบคุมม้าดูก่อน แต่หากเกิดมีสิ่งกีดขวางปรากฏขึ้น ข้าย่อมสามารถหยุดม้าได้ทันแน่..” เซี่ยย้ำด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“ตกลง! เช่นนั้นแล้วข้าจะลองควบคุมม้าดู..”
หลงเฉินเอ่ยตอบเซี่ยพร้อมกับดึงมือข้างหนึ่งออกจากเอวของนาง และเอื้อมไปจับบังเหียนม้าแทน เวลานี้ฝ่ามือของเขากุมมือของเซี่ยที่จับบังเหียนม้าอยู่เช่นกัน จากนั้นเขาจึงดึงมือที่เหลืออีกข้างออกจากเอวของนาง และเวลานี้มือทั้งสองข้างของหลงเฉินก็กำลังกุมบังเหียนอยู่
เซี่ยค่อยๆดึงมือของตนเองออก และปล่อยให้หลงเฉินควบคุมม้าแต่เพียงผู้เดียว ส่วนนางเพียงแค่นั่งยืดตัวตรงและจ้องมองไปข้างหน้า
คนอื่นๆ ต่างก็เห็นว่าหลงเฉินนั่งกำบังเหียนอยู่ด้านหลังของเซี่ย โดยร่างของเขาเบียดติดอยู่กับแผ่นหลังของนางแนบแน่น แต่ก็มิมีผู้ใดคิดมากในเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเฉินกำลังพยายามที่จะหัดขี่ม้าเท่านั้น จากนั้นทุกคนก็เลิกสนใจคนทั้งคู่ และหันกลับมาสนใจเส้นทางของตนเองต่อไป
แต่เวลานี้ลำแขนของหลงเฉินทั้งสองข้างกลับเสียดสีอยู่ที่หน้าอกของเซี่ยในระหว่างที่ควบม้าแทน ไม่เพียงนางมิกล่าววาจาอันใดออกมา บางครั้งยังดูเหมือนว่านางจงใจเบียดหน้าอกเข้ากับลำแขนของเขาอีกด้วย
หลังจากที่บังคับม้าจากด้านหลังเซี่ยไปได้ไม่ถึงหนึ่งลี้ หลงเฉินจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “เอาล่อ.. ข้าไปขี่ม้าด้านหน้าได้หรือยัง?!”
“ได้!” เซี่ยตอบรับทันที เพราะมิมีเหตุผลอันใดที่นางจักต้องปฏิเสธอีก
เซี่ยจัดการหยุดม้าเอลเฟีย และทุกคนในคณะก็หยุดม้าตามนางไปด้วย..
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ? เหตุใดเจ้าจึงหยุดม้ากะทันหันเช่นนี้? หรือเจ้าเหนื่อยล้าแล้ว?” เทอร่าที่นั่งอยู่ด้านหลังเทียเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะออกมา
“เจ้าคิดว่าข้าอ่อนแอเช่นเจ้างั้นรึ?” เซี่ยมิตอบแต่กลับถามเทอร่าแทนพร้อมกับจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ
“ข้าเพียงแค่จะหยุดม้าให้ท่านหลงเฉินเปลี่ยนไปขี่ม้าด้านหน้าตามความต้องการของเขาต่างหากเล่า..” เซี่ยร้องตะโกนบอกทุกคนให้เข้าใจ
หลังจากที่หลงเฉินกับเซี่ยสลับที่นั่งกันแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทางต่อทันที..
ถึงแม้จะสลับที่นั่งกับเซี่ยแล้ว เหตุการณ์กลับมิได้ดีขึ้นดังที่หลงเฉินคิดไว้ แต่ดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม นั่นเพราะเพราะเซี่ยที่นั่งอยู่ด้านหลังเขานั้น ได้กอดเขาแนบแน่นมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก จนหลงเฉินสัมผัสถึงหน้าอกนุ่มนิ่มทั้งสองข้างที่เบียดเสียดแผ่นหลังของตนได้อย่างชัดเจน
แม้เหตุการณ์นี้จักทำให้หลงเฉินรู้สึกเป็นปัญหาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น.. สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาเวลานี้ ก็หาได้เกิดจากเรื่องนี้ไม่ แต่เป็นเพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ต่างหากเล่า!