เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 63
ตอนที่ 63 พบราชินี
ด้านหน้าของหลงเฉินเวลานี้มีแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่งขวางทาง เขาจึงต้องหยุดม้าทันที แม่น้ำสายนี้มีความกว้างราวห้าเมตรได้ และนับเป็นอุปสรรคที่ทำให้การเดินทางต้องหยุดชะงัก
“พวกเราจักข้ามแม่น้ำนี้ไปได้อย่างไร?” หลงเฉินเอ่ยถามเซี่ย
“ไม่ยาก! ก็แค่ให้ม้ากระโดดข้ามไปอีกฝั่งของแม่น้ำ..” เซี่ยตอบยิ้มๆ น้ำเสียงดูมิได้เดือดเนื้อร้อนใจ
“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?” หลงเฉินได้แต่ร้องอุทานออกไปอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านอย่าได้ตกอกตกใจไปนัก การกระโดดข้ามแม่น้ำเช่นนี้หาใช่เรื่องยากเย็นสำหรับม้าเอลเฟีย พวกเราทำเช่นนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่หากท่านมิต้องการที่จะให้ม้ากระโดดข้ามแม่น้ำ ก็ยังมีอีกหนทางหนึ่ง..”
“ทุกๆสามวัน จักมีสะพานพาดมาจากฝั่งแม่น้ำตรงข้าม แล้วพวกเราค่อยข้ามไป เพียงแต่นั่นจักทำให้ระยะเวลาในการเดินทางจักต้องยืดเยื้อไปอีกหลายวัน..” เซี่ยอธิบาย
“ข้าหาได้มีเวลามากมายเช่นนั้น เจ้าแน่ใจรึว่าม้าเอลเฟียสามารถกระโดดข้ามแม่น้ำได้จริงๆ?” หลงเฉินถามย้ำให้มั่นใจ
“ข้ามั่นใจอย่างที่สุด! ข้าจะจัดการบังคับม้าเอง”
เซี่ยเอ่ยบอกหลงเฉินพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกไปกุมบังเหียนม้าไว้ นางบังคับให้ม้าเอลเฟียเดินตรงไปที่ริมแม่น้ำ แล้วจึงบังคับให้มันกระโดดข้ามฝั่งไปทันที
หลงเฉินรู้สึกราวกับว่าเวลาได้หยุดนิ่งไปชั่วครู่เมื่อม้าเอลเฟียกำลังลอยอยู่กลางแม่น้ำ แต่เพียงแค่ชั่วพริบตา ม้าก็ร่อนลงที่ริมฝั่งแม่น้ำอีกด้านแล้ว
“น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!! ช่างน่าทึ่งจริงๆ!”
หลงเฉินถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น ส่วนม้าของเทียกับเทอร่าก็กำลังร่อนลงข้างๆม้าของเขา..
เวลานี้ความมืดเริ่มมาเยือน ท้องนภาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ทุกคนจึงต้องหาสถานที่สำหรับตั้งกระโจมเพื่อพักค้างคืน และเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม กระโจมก็ถูกสร้างเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้น ทุกคนต่างก็นำอาหารที่ได้ตระเตรียมไว้ออกมา แล้วจึงเริ่มตั้งหน้าตั้งตากินอาหารกันทันที..
“ท่านหลงเฉิน นี่เป็นอาหารของท่าน!”
เซี่ยได้นำอาหารในส่วนของหลงเฉินไปให้ เพราะสังเกตเห็นว่าหลงเฉินมิได้กินอะไรเลยตั้งแต่มาถึง แต่หลงเฉินกลับรีบปฏิเสธด้วยท่าทางที่อ่อนโยน และให้เหตุผลว่าเขายังมิได้รู้สึกหิว
หลังจากรับประทานอาหารกันอิ่มหนำแล้ว ทุกคนต่างก็เข้าไปนอนพักผ่อนในกระโจมของตนรวมทั้งหลงเฉินด้วย..
ทันทีที่เข้าไปในกระโจม หลงเฉินก็เริ่มนำไข่ออกมาป้อนพลังชี่เหมือนเช่นเคย หลังจากนั้นจึงเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะพลังต่อ เขาต้องการอาศัยโลกนี้พัฒนาขั้นพลังของตนให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
หลงเฉินนั่งฝึกปรืออยู่นานกว่าครึ่งคืน และในที่สุดเขาก็เข้าสู่ระดับกลางของอาณาจักรผสานวิญญาณขั้นแปด หลงเฉินจึงได้เริ่มนอนหลับพักผ่อน เพราะคืนก่อนเดินทางนั้นเขาก็ฝึกฝนตลอดทั้งคืนจนมิได้หลับนอนมาแล้ว
……
รุ่งอรุณของวันใหม่ได้มาเยือนอีกครั้ง..
ทุกคนยังคงตั้งหน้าตั้งตาออกเดินทางต่อตลอดทั้งวัน เวลานี้หลงเฉินกำลังมีความสุขอยู่กับสายลม ที่โชยพัดกระทบกับใบหน้าของตนในระหว่างที่ควบม้าออกไปด้านหน้า หลงเฉินมีประสบการณ์และสามารถควบม้าเอลเฟียได้คล่องขึ้น และเก่งกว่าเมื่อวานมาก ทุกคนควบม้าออกไปด้วยความเร็วเต็มที่ โดยมีหลงเฉินขี่นำหน้าและเซี่ยเป็นผู้บอกทิศทาง
หลังจากเดินทางไปได้อีกราวห้าชั่วยาม ในที่สุดหลงเฉินก็มองเห็นเขตแดนของอีกเผ่าหนึ่ง ซึ่งก่อสร้างด้วยสิ่งที่ดูคล้ายศิลาสีขาว ในสายตาของหลงเฉิน เครื่องแสดงเขตแดนของเผ่านี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเครื่องแสดงเขตแดนของเผ่าเอลเฟียเสียอีก..
หลงเฉินหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้า ในขณะที่คนอื่นๆหยุดอยู่ด้านหลังของเขา ระหว่างที่ทั้งหมดกำลังลงจากม้านั้น หลงเฉินสังเกตเห็นว่ามีเด็กสาวอายุราวสิบสองถึงสิบสี่ปีสองคนยืนอยู่ข้างประตู มีสีหน้าตกอกตกใจอย่างมาก เส้นผมของพวกนางเป็นสีขาวทั้งศรีษะ แต่นั่นกลับมิทำให้พวกนางดูแปลกประหลาด กลับดูงดงามโดดเด่นยิ่ง
“แม่นาง.. พวกเจ้ามายืนทำอะไรตรงนี้รึ? พ่อแม่ของเจ้าเล่า? และผู้อารักขาประตูล่ะ.. มิมีหรอกรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองพวกนาง
“ท่านหลงเฉิน.. พวกนางก็คือผู้อารักขาประตูของเผ่านี้!” เซี่ยกระซิบบอกเสียงเบา
“ผู้อารักขาประตูงั้นรึ? เหตุใดเผ่าแบนชีจึงใช้เด็กสาวตัวเล็กๆมาอารักขาประตูเช่นนี้? หรือ.. หรือข้าเข้าใจบางสิ่งบางอย่างผิดไปงั้นรึ?” หลงเฉินพึมพำออกมาด้วยสีหน้างุนงง
“เอ่อ.. ท่านหลงเฉิน แม้พวกนางจักมีใบหน้าอ่อนเยาว์เยี่ยงเด็กสาวเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วพวกนางน่าจะมีอายุเท่าๆกับท่านพ่อของข้าทีเดีว!” เซี่ยเอ่ยบอกหลงเฉิน
“ข้าคือเซี่ย.. เป็นบุตรสาวของท่านซูรองหัวหน้าเผ่าเอลเฟีย ส่วนนั่นคือเทอร่าบุตรชายของท่านหัวหน้าเผ่า พวกเรามาที่นี่เพื่อพาท่านหลงเฉินมาพบกับราชินีของพวกเจ้า!”
เซี่ยบอกเล่าจุดประสงค์ในการเดินทางมาครั้งนี้ให้ผู้อารักขาหญิงทั้งสองฟังทันที พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางหลงเฉิน แต่กลับพบว่าหลงเฉินกำลังเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“เผ่าแบนชีเป็นเผ่าที่มีลักษณะพิเศษเช่นเดียวกับเผ่าเอลเฟีย เจ้าได้เห็นลักษณะพิเศษของชนเผ่าเอลเฟียมาแล้ว ส่วนเผ่าแบนชีนั้นเอกลักษณ์ของพวกเขาก็คือผมสีขาว และอายุที่ดูเหมือนจักหยุดอยู่เพียงแค่สิบถึงสิบแปดปีเท่านั้น ที่นี่.. เจ้าอาจพบเห็นหญิงชราวัยแปดสิบปีที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็กอายุสิบปีเท่านั้น ฉะนั้นแล้วจึงมิอาจตัดสินอายุของชนเผ่าแบนชีจากรูปลักษณ์ภายนอกได้”
ซุนปรากฏตัวขึ้นข้างกายหลงเฉิน และเป็นผู้อธิบายให้เขาฟัง..
“น่าสนใจอีกแล้วสินะ! ขอบใจเจ้ามากสำหรับข้อมูลที่มอบให้..”
หลงเฉินพึมพำกับตัวเองพร้อมกับจ้องมองไปที่ประตูทางเข้าอีกครั้ง และเห็นเซี่ยที่เดินไปเจรจากับผู้อารักขาทั้งสอง กำลังเดินกลับมา
“เข้าไปข้างในกันเถิด! พวกเขาอนุญาตให้พวกเราเข้าไปแล้ว” เซี่ยร้องบอกทุกคน
จากนั้นทุกคนต่างก็กลับขึ้นไปบนหลังม้าของตน และขี่ผ่านประตูที่เปิดกว้างออกเข้าไป โดยมีผู้อารักขาทั้งสองนำทางให้
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจของผู้คนในเผ่า ทุกคนกำลังถูกนำตัวไปยังพระราชวังซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของเผ่าแบนชี ซึ่งผนังด้านนอกที่เห็นนั้นฉาบทาด้วยสีขาวที่สะอาดตา หลงเฉินสังเกตเห็นว่าแม้เผ่าแบนชีจะมีสิ่งปลูกสร้างที่หรูหรากว่า แต่ความเป็นอยู่กลับดูเรียบง่ายยิ่งนัก
“เฮ้อ.. ช่างโอ้อวดนัก!” เซี่ยพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อม้าของตนไปหยุดอยู่หน้าพระราชวังที่งดงาม
หญิงสาวแต่งกายคล้ายกับสาวใช้รีบเดินออกมาต้อนรับหลงเฉินและคณะของเขาทันที พวกนางเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถง หลงเฉินก็พบว่าภายในมีผู้คนอยู่อย่างมากมาย และมีบัลลังก์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า ซึ่งเวลานี้มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ และจ้องมองมาที่หลงเฉินด้วยสีหน้าแววตาสงสัย แต่นางกลับไม่แม้แต่จะลุกขึ้นยืนเมื่อพบเจอเขาเหมือนเช่นเท็นช่าหัวหน้าเผ่าเอลเฟียทำ..
“ท่านเป็นมนุษย์จริงๆงั้นรึ? น่าแปลก.. มนุษย์ปรากฏตัวขึ้นที่เผ่าเอลเฟียทั้งที แต่ข้ากลับมิระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย นับวันชนเผ่าเอลเฟียจักยิ่งปกปิดความลับเก่งมากขึ้นเรื่อยๆสินะ?”
เด็กสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ประกาศกร้าวแต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม..