เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 67
ตอนที่ 67 ทะลวงอย่างบ้าคลั่ง
“ข้านึกว่าเจ้าจักไปเกลี้ยกล่อมเขาให้ช่วยขโมยลูกแก้วนั่นให้ แต่เจ้าไม่เพียงไม่ทำเช่นนั้น กลับขโมยของของเขามาแทนเช่นนี้ เจ้าคิดจักทำอันใดกันแน่?”
ซุนเอ่ยถามหลงเฉินที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้างุนงงสงสัย..
“ข้าหาได้ขโมยสิ่งใดไม่.. ข้าเพียงแค่ขอยืมมาชั่วคราวเท่านั้น เจ้าก็เห็นว่าข้ายืมสิ่งใดมาจากห้องขององค์ชายใช่หรือไม่?” หลงเฉินเหลือบมองซุนพร้อมกับถามยิ้มๆ
“แน่นอน.. ข้าย่อมต้องเห็นอยู่แล้ว! ระหว่างที่อยู่ในห้องเก็บเสื้อผ้าของเขา ข้าเห็นเจ้าแสร้งดึงความสนใจของเขาไปที่อื่น ในระหว่างนั้นเจ้าก็แอบหยิบอาภรณ์ของเขาเข้าไปเก็บไว้ในแหวนบรรจุ! อ่อ.. แล้วเจ้าก็ยังหยิบรองเท้าของเขามาด้วย เขามีอาภรณ์และรองเท้ามากมายเช่นนั้น ย่อมมิสังเกตเห็นว่ามีบางส่วนหายไปแน่ แต่ข้าก็ยังมิเข้าใจว่ามีเหตุผลอันใดที่เจ้าต้องทำเช่นนั้นอยู่ดี..” ซุนเอ่ยถามหลงเฉิน”
“ง่ายมาก.. เจ้ายังจดจำของสิ่งนี้ได้ใช่หรือไม่?”
หลงเฉินเอ่ยถามซุน พร้อมกับเรียกของสิ่งหนึ่งออกมาจากแหวนบรรจุของตน และยื่นให้ซุนดู..
“ข้าย่อมต้องรู้จัก.. นี่คือหน้าการอาถรรพ์มายาที่เจ้าได้มา”
ซุนเอ่ยตอบทันทีที่เห็นหน้ากากในมือของหลงเฉิน นางจำได้ว่าหน้ากากนี้ หลงเฉินได้มาจากใต้สระแห่งหนึ่งหลังจากที่สังหารหลงซูตาย
“แต่แล้วมันเกี่ยวอันใดกับหน้ากากนี้เล่า… ฮู่วว!!! ข้าเข้าใจแล้ว!!”
ซูเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเริ่มเข้าใจแล้วว่า หลงเฉินคิดจักทำเช่นใด..
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว.. อย่างน้อยเจ้าก็ดูเฉลียวฉลาดกว่ารูปลักษณ์ของเจ้า..” หลงเฉินเย้าแหย่ซุนพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“แน่นอน.. ข้าย่อมต้องฉลาดกว่ารูปลักษณ์ที่เห็นอยู่แล้ว.. เดี๋ยวก่อน.. นี่.. นี่เจ้าหาว่าข้าโง่เขลางั้นรึ??” ซุนถามขึ้นด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวเมื่อรู้ตัว
“หาใช่เช่นนั้นไม่.. ข้าหมายความว่ารูปลักษณ์ของเจ้านั้นดูเป็นคนฉลาดเฉลียว แต่ความจริง.. เจ้ากลับเฉลียวฉลาดกว่ารูปลักษณ์ที่เห็นอีก!!” หลงเฉินตอบยิ้มๆ
“’งั้นรึ?! เช่นนั้นก็ดี!” ซุนตอบพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“เอาล่ะ.. ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว รีบไปขโมยกันเลย!” ซุนเอ่ยแนะนำ
“ยังมิใช่ตอนนี้ ข้ายังต้องเตรียมการอีก..” หลงเฉินตอบ
“ยังต้องเตรียมการอันใดอีกเล่า?!” ซุนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“ความแข็งแกร่งอย่างไรเล่า!!!”
“ข้าจักต้องฝึกบ่มเพาะให้ตนเองแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้ อย่างน้อยก็ต้องเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคำให้ได้เสียก่อน พลังชี่ในโลกนี้มีประโยชน์ต่อข้ายิ่งนัก ข้าเชื่อว่าตนเองจักสามารถก้าวหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็วเป็นแน่” หลงเฉินอธิบายให้ซุนฟัง
“ถ้าเช่นนั้น.. หวังว่าความล่าช้าเล็กน้อยนี้ จักมิทำให้แผนการของเจ้าต้องชะงัก!” ซุนเอ่ยขึ้นลอยๆ
หลังจากที่หลงเฉินสนทนากับซุนจบแล้ว เขาก็เริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะทันที เขานั่งฝึกฝนอยู่ตลอดทั้งวัน และในที่สุดก็สามารถเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นเก้าได้
ทันทีที่เข้าสู่ระดับสูงสุดของอาณาจักรผสานวิญญาณได้แล้ว หลงเฉินสังเกตเห็นว่า จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของตนนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นั่นเพราะเวลานี้รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นคล้ายคลึงกับหลงเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ
ชุดเกราะสีทองเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนร่าง ในขณะที่ดาบในมือก็มีรัศมีของการทำลายล้างแผ่ซ่านออกมา ดวงตาทั้งสองข้างของจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธยังคงปิดอยู่ หลงเฉินนึกขึ้นมาได้ว่าตนไม่เคยได้เห็นดวงตาของจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธเลยสักครั้ง แต่เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นสีทองคล้ายกับดวงตาของหลงเทียน
‘ในที่สุดข้าก็สามารถเข้าสู่จุดสูงสุดของอาณาจักรผสานวิญญาณได้แล้ว หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง ข้าจักต้องฝึกวรยุทธบ่มเพาะต่อ เพื่อที่จะทะลวงเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคำให้จงได้!’ หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะเริ่มฝึกปรือต่อนั้น จู่ๆเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าจักต้องป้อนพลังชี่ให้กับไข่แล้ว เขาจึงรีบนำมันออกมาจากแหวนบรรจุ และทำการป้อนพลังชี่ให้กับมันทันที
‘ห๊ะ!! มันเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว!!’ หลงเฉินได้แต่คิดอยู่ในใจเมื่อสัมผัสได้ถึงชีพจรด้านในของไข่
‘ไม่ล่ะ.. ข้าจักมิเสียเวลาบอกเรื่องนี้กับซุนอีก นางคงไม่เชื่อคำพูดของข้าอยู่ดี’ หลงเฉินได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆคนเดียว เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของซุนในคราแรก
หลังจากที่ไข่ดูดซับพลังชี่เข้าไปจนอิ่มหนำแล้ว ครั้งนี้หลงเฉินยังมิเก็บมันเข้าไปในแหวนบรรจุทันทีเหมือนเช่นเคย แต่เขากลับเฝ้าพินิจมองมันอีกครั้งอย่างละเอียด และพยายามที่จะมองหาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่เขาก็มิพบเห็นสิ่งใดที่แตกต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย หลงเฉินจึงนำมันเก็บเข้าไป และเริ่มฝึกบ่มเพาะอีกครั้ง..
หลงเฉินรู้ว่า.. ในอาณาจักรแก่นปราณทองคำนี้ ชื่อของมันก็ได้บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว ผู้ที่ฝึกวรยุทธบ่มเพาะจนเข้าสู่อาณาจักรนี้ ภายในร่างกายจะมีแก่นปราณสีทองเกิดขึ้นอยู่ในห้วงผู้ฝึกยุทธ ซึ่งห้วงผู้ฝึกยุทธนี้ก็คือที่ที่จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธแฝงตัวอยู่นั่นเอง ว่ากันว่า.. ห้วงผู้ฝึกยุทธและจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธนี้ จะมีผลต่อการก่อตัวของแก่นปราณสีทองที่ก่อตัวขึ้นด้วย
หลงเฉินกลับมาเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะอีกครั้ง และผ่านไปเพียงแค่ช่วงสั้น เขาก็พบว่าในห้วงผู้ฝึกยุทธของตนนั้น ได้เกิดจุดแสงปรากฏขึ้น และขนาดของมันก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หลงเฉินมองเห็นว่า พลังชี่ซึ่งอยู่รอบๆห้วงอากาศนั้น ค่อยๆซึมซับเข้าสู่ร่างกายของตน ก่อนจะค่อยๆหายเข้าไปในจุดสว่างภายในร่าง เขามิรู้ว่าปรากฏการณ์นี้คือสิ่งใดกันแน่ เพราะจุดสว่างนี้เป็นสีแดงทั้งหมด ต่างกับแก่นปราณทองคำที่ควรจะเป็น..
หลงเฉินคิดว่าจะหยุดฝึกชั่วคราวเพื่อที่ถามไถ่ปรากฏการณ์นี้กับซุน แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ เพราะการหยุดฝึกฝนกลางคันเช่นนี้ อาจเป็นอันตรายถึงขั้นทำลายพื้นฐานการบ่มเพาะที่เขาสู้ฝึกปรือมาตลอดได้
กระบวนการฝึกฝนในขั้นนี้ยังคงดำเนินต่อไปอีกยาวนานถึงสองวันเต็มๆ และตลอดสองวันที่ผ่านมานั้น พลังชี่จำนวนมากมายมหาศาล ก็ได้ถูกจุดสว่างสีแดงที่ปรากฏขึ้นนี้ดูดซับเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ในตอนแรก.. จุดสว่างสีแดงนี้จะทำการดูดซับพลังชี่จากพื้นที่กว้างในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรรอบตัวหลงเฉิน จากนั้นรัศมีนี้ก็ได้ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งร้อยเมตรเป็นหนึ่งกิโลเมตร จากหนึ่งกิโลเมตรเป็นสิบกิโลเมตร และเวลานี้รัศมีดังกล่าวก็ได้ครอบคลุมถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตรโดยรอบ และพลังชี่ที่ดูดซับเข้าไปในร่างก็ค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ
ราชินีเมี่ยเองที่เริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะของตน ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในห้วงอากาศเช่นกัน นางพบว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของตนค่อยๆลดลงหากเทียบกับเวลาที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งในที่สุดนางก็โมโหจนแทบคลุ้มคลั่งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
นางพยายามที่จะฝึกวรยุทธบ่มเพาะ แต่กลับพบว่ามิมีพลังชี่ไหลเข้าสู่ร่างกายเช่นนี้ แต่ก็มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ และหากนางสามารถมองเห็นว่ามวลพลังชี่ทั้งหมดนั้น กำลังไหลสู่ทิศทางที่มุ่งหน้าไปยังห้องนอนของหลงเฉินแล้วล่ะก็ มิรู้ว่านางจักมีท่าทีเช่นใด?
ปรากฏการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆถึงห้าวันห้าคืนจึงกลับเป็นปกติ..