เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 76
ตอนที่ 76 ไล่ล่า
ขุนพลเบกค์และลูกน้องได้แอบสะกดรอยตามหลงเฉินไปอย่างเงียบๆ
หลงเฉินใช้เส้นทางเดิมที่เขาใช้เดินทางมายังเผ่าแบนชี และเส้นทางทั้งหมดที่มุ่งหน้าสู่เผ่าเอลเฟีย ก็ได้อยู่ในความทรงจำของเขาจนหมดแล้ว
หลังจากออกเดินทางไปได้ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็เข้าใกล้แม่น้ำที่เขาข้ามมาก่อนหน้า ครั้งนี้หลงเฉินมิได้หยุดม้า แต่กลับเร่งความเร็วของม้าให้เร็วขึ้น และเมื่อไปถึงริมฝั่งเขาก็บังคับให้ม้ากระโจนขึ้นสู่ท้องฟ้า สายลมสดชื่นพัดปะทะเข้ากับใบหน้า ก่อนจะร่อนลงไปบนผืนดินอีกฝั่งของแม้น้ำ แล้วเขาก็เริ่มเดินทางต่อไป
ขุนพลเบกค์และคนอื่นๆที่แอบสะกดรอยตามมานั้น ถูกทิ้งไว้ห่างไกล และในที่สุดร่างของหลงเฉินก็หายลับตาไป..
“ฮึ่ม.. เขาหายไปไหนกัน?” ขุนพลเบกค์บ่นพึมพำออกมา
เขาตกใจที่จู่ๆ หลงเฉินก็หายวับไปจากสายตาของเช่นนี้ และได้แต่คิดว่าหลงเฉินคงจะควบม้าไปไกลมาก จนพวกเขามิสามารถมองเห็นได้อีก ขุนพลเบกค์และลูกน้องจึงรีบควบม้าตามไปข้างหน้าอีกกว่าครึ่งชั่วยาม ด้วยความเร็วสูงสุดที่พวกเขาจะสามารถทำได้ แต่ก็มิสามารถหาหลงเฉินพบ
“เจ้าตามเขาไม่ทันแล้วสินะ! หึ.. สงสัยฝีมือการสะกดรอยของเจ้าจักไร้ประสิทธิภาพจนทำให้เขาจับได้กระมัง?”
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องตะโกนของใครบางคนดังออกมาจากด้านหลัง..
“เจ้ากล่าววาจาเพ้อเจ้ออันใด? อยากตายมากนักรึ? การสะกดรอยของข้าขึ้นชื่อว่าสมบูรณ์แบบยิ่ง!”
ขุนพลเบกค์ร้องตะโกนตอบโต้ด้วยความโมโห เขาดึงดาบออกมาพร้อมหันหลังกลับไปเพื่อดูว่า ผู้ใดกันที่บังอาจกล่าววาจา และแสดงท่าทีที่ไร้ความเคารพกับตนเช่นนี้?
แต่ทันทีที่ขุนพลเบกค์หันหลังกลับมา สิ่งที่เขาพบคือเด็กผู้ชายผมดำนั่งอยู่บนม้า และดวงตาสีทองงดงามคู่นั้นก็กำลังจ้องมองมาที่ตน ใบหน้างดงามนั้นปรากฏรอยยิ้มเยี่ยงปีศาจ ขุนพลเบกค์ถึงกับตกใจสุดขีดเมื่อพบว่าเป็นมนุษย์ที่อยู่ด้านหลังของเขาเวลานี้ ในขณะที่หลงเฉินยังเองก็กำลังจ้องมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของขุนพลเบกค์ด้วยรอยยิ้ม
“ท่าน!! เหตุ.. ดะ.. เดี๋ยวก่อน แล้วลูกน้องของข้าเล่า?!!”
ขุนพลเบกค์เพิ่งสังเกตเห็นว่า นอกจากหลงเฉินแล้วก็มิมีผู้ใดอีกเลย เขาหันมองไปรอบตัวแต่ก็ไม่พบลูกน้องของตนเลยแม้แต่คนเดียว
“อ่อ.. เจ้ากำลังมองหาลูกน้องของเจ้าหรอกรึ? ข้าเห็นพวกเขานอนอยู่บนพื้นดินในระหว่างทางที่ข้ามาที่นี่ มิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาทั้งหมด เพราะทุกคนล้วนมีโลหิตไหลท่วมกาย และบางคนก็ศรีษะขาดหายไป ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก.. เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ?!” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับทำท่าทางครุ่นคิด
“แต่หากเจ้าหันหลังไปมองพวกเขาก่อนหน้านี้ชั่วครึ่งก้านธูป ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะยังสามารถพบเห็นพวกเขาก็เป็นได้!” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้า.. นี่เจ้าฆ่าพวกเขาหมดงั้นรึ?!!!” ขุนพลเบกค์ร้องคำรามออกมา พร้อมกับจ้องมองหลงเฉินด้วยสีหน้าตกใจอย่างยิ่ง
“ข้าอีกแล้วรึ?! เหตุใดวันนี้ทุกคนจึงได้กล่าวหาข้าในสิ่งที่ข้ามิได้ทำนักนะ? ข้ามิได้สัมผัสแม้แต่ปลายผมของพวกเขา! เจ้าดูข้าสิ.. สภาพของข้าเยี่ยงนี้จักสามารถสังหารอสูรกายที่แข็งแกร่งเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?” หลงเฉินเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
“หยุดล้อเล่นกับข้าได้แล้ว!! ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฆ่าพวกเขา!” ขุนพลเบกค์ร้องตะโกนใส่หลงเฉิน พร้อมกับร่างกายที่สั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธและหวาดกลัว
ก่อนที่หลงเฉินจักทันได้ตอบกลับไป ขุนพลเบกค์ก็ได้ควบม้าพุ่งทะยานเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกำดาบไว้แน่น ขุนพลเบกค์ควบม้าของตนให้เร็วขึ้น แต่ทุกอย่างกลับมิเป็นไปอย่างที่หลงเฉินคาดคิด ขุนพลเบกค์กลับควบม้าเบียงหลบไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเขา
“มนุษย์ผู้นี้สามารถปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของข้าโดยข้ามิรู้ตัว มิหนำซ้ำยังสังหารลูกน้องของข้าตายจนหมดโดยข้าเองมิรู้ตัวอีกเช่นกัน! มนุษย์ผู้นี้ช่างอันตรายยิ่งนัก!! ข้าต้องรีบหนีเอาชีวิตรอดโดยเร็ว!” ขุนพลเบกค์พึมพำกับตัวเอง และรีบเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีก
“เชอะ.. ข้าคิดว่าเขาคงจักโกรธแค้นที่เห็นลูกน้องถูกสังหารตาย และจักต้องแก้แค้นแทนพวกเขาเป็นแน่! แต่ข้าคิดผิดหรือนี่.. เขากลับหนีเอาตัวรอดเช่นนี้ ช่างเป็นผู้นำที่น่าสมเพชยิ่งนัก เขามิคิดถึงผู้ใต้บังคับบัญชาบ้างเลยหรืออย่างไร? นี่น่ะหรืออสูรกาย!” หลงเฉินพึมพำขณะที่จ้องมองขุนเบกค์ขี่ม้าหนีไป
“หึ.. ในเมื่อข้าสังหารคนเลวไปตั้งมากมายแล้ว อีกหนึ่งคนจะเป็นไรไป เอาล่ะ.. ได้เวลาออกล่าแล้ว!” หลงเฉินพึมพำกับตนเองในขณะที่เริ่มขี่ม้าไล่ตามขุนพลเบกค์ไป
ระยะห่างระหว่างหลงเฉินกับขุนพลเบกค์มิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะม้าที่ขุนพลเบกค์ควบอยู่นั้น มีความเร็วที่ใกล้เคียงกับม้าเอลเฟียที่เขาขี่อยู่ แต่หลงเฉินหาได้สนใจระยะห่างระหว่างตนกับขุนพลเบกค์ไม่ เพราะเขาสามารถสังหารขุนพลเบกค์ได้ทันทีที่ต้องการ เขาแค่ยังคงสนุกับการไล่ล่าขุนพลเบกค์ที่กำลังวิ่งตรงไปในทิศทางเดียวกันกับจุดหมายปลายทางของตนเท่านั้น
หลังจากผ่านไปมากกว่าหนึ่งชั่วยาม จู่ๆขุนพลเบกค์ก็เปลี่ยนเส้นทาง แต่หลงเฉินเองก็ยังคงควบม้าตามหลังไปเช่นเดิม..
“เจ้าช่างโง่เขลานัก!! นี่เขามิรู้รึว่ากำลังไปผิดเส้นทาง เอาล่ะ.. เวลาของเจ้าหมดแล้ว!” หลงเฉินพึมพำเบาๆ ในขณะที่ลุกขึ้นยืนบนหลังม้าอย่างชำนิชำนาญ
ปีกงดงามคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของหลงเฉิน ข้างหนึ่งสีทองและอีกข้างสีดำ ช่างเป็นความแตกต่างที่ลงตัวยิ่งนัก ปีกสีดำทำให้เขาดูประหนึ่งเทวดาร่วงหล่นและเอนเอียงเข้าหาความมืด ในขณะที่ปีกสีทองทำให้เขาดูราวกับฑูตสวรรค์แห่งความสว่างซึ่งต่อต้านความมืดทั้งมวล
หลงเฉินบินขึ้นสู่ห้วงนภา ปีกของเขากระพือขึ้นลงด้วยความรวดเร็วยิ่ง และเพียงไม่นานร่างของหลงเฉินก็กำลังบินอยู่เหนือศรีษะของขุนพลเบกค์โดยที่เขาเองก็ยังมิรู้ตัว
“เฮ้อ.. ดูท่าเจ้าปีศาจนั่นคงเปลี่ยนใจมิตามข้ามาแล้วสินะ! ข้าคงต้องรักษาความเร็วระดับนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อที่เขาจะได้ไล่ตามไม่ทัน”
ขุนพลเบกค์หันกลับไปมองด้านหลังของตนเอง พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อมิพบเห็นร่างของผู้ใดอีก..
“โอ้ว.. วาจาของเจ้าทำให้ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก เอาล่ะ.. ในเมื่อเจ้าเรียกขานข้าเป็นปีศาจ ข้าก็จักทำตัวโหดเหี้ยมเยี่ยงเดิม!”
เสียงนั้นดังมาจากท้องนภาเบื้องบนในขณะที่ขุนพลเบกค์กำลังควบม้าทะยานไปด้านหน้า เขาถึงกับสั่นกลัวขึ้นมาทันที เพราะเสียงนั้นช่างคุ้นหูของเขายิ่งนัก เขาเหลือบมองขึ้นไปตามทิศทางของเสียง แต่ก่อนที่ขุนพลเบกค์จักกระทำการใด ดาบในมือของหลงเฉินก็ได้สะบั้นเข้ากับศรีษะของเขา ดวงตาของขุนพลเบกค์ยังคงเบิกโพลงจ้องมองมือสังหารในขณะที่สิ้นใจตาย ร่างไร้วิญญาณนั้นร่วงหล่นจากม้าที่ยังคงทะยานออกไปโดยไร้ผู้ขี่
หลงเฉินไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาจัดการค้นตัวขุนพลเบกค์ และเก็บเอาสิ่งของต่างๆเข้าไปไว้ในแหวนบรรจุของตนเอง ก่อนจะบินกลับไปที่ม้าเอลเฟียซึ่งกำลังควบตรงมายังทิศทางเบื้องหน้าทันที
……
ยามนี้ความมืดของราตรีกาลได้เข้ามาเยือน หลงเฉินตัดสินใจที่จะพักค้างคืน และทำการผูกเปลผ้าไว้บนต้นไม้เช่นเดียวกับที่เคยทำเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกจริง แล้วจึงนอนหลับไหลไป..
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังนอนหลับพักผ่อนนั้น ไกลออกไปมีเมืองอสูรกายตั้งตระหง่านอยู่ ภายในเวลานี้ยังคงสงบสุข และเหล่าอสูรกายทุกตนเว้นเด็กเล็ก ต่างก็กำลังเตรียมพร้อมเพื่อจะเข้าสู่สงครามอีกครา..
อสูรกายทุกตนสวมเสื้อเกราะพร้อมอาวุธในมือ เหลือเพียงรอคำสั่งให้ออกเดินทางเท่านั้น จักรพรรดิแห่งเผ่าอสูรกายได้สั่งให้กองทัพอสูรทั้งหมดเตรียมพร้อม และสามารถออกเดินทางได้ในทันที
จักรพรรดิอสูรกายทั้งสามก้าวเดินออกมาจากนอกพระราชวัง โดยมีเหล่าจอมราชันย์อสูรกายทั้งสิบเดินตามหลังมา จักรพรรดทารัสและจักรพรรดิเชนเทียมีสีหน้าตื่นเต้นและฮึกเหิมกับการทำสงครามครั้งนี้ยิ่งนัก ในขณะที่จักพรรดิบาลังกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม