เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - ตอนที่ 1184
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1184 ผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตง
แปลโดย iPAT
แดนศักดิ์สิทธิ์นี้ดูค่อนข้างแปลกตา
ภูมิประเทศทั้งหมดของมันเป็นชายหาดน้ำตื้น
มีน้ำสีเขียวหยกลึกเพียงสามเมตร บนชายหาดเต็มไปด้วยกรวดหิน มีแอ่งน้ำสีเขียวหลายแห่งกระจัดกระจายอยู่ทำให้มันดูเหมือนกระดานหมากรุก
‘นี่ค่อนข้างคล้ายกับแดนศักดิ์สิทธิ์สระหยกของเผ่าตงฟาน’ ฟางหยวนคิด
แต่เขาทราบดีว่าสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากแดนศักดิ์สิทธิ์สระหยก
แดนศักดิ์สิทธิ์สระหยกเต็มไปด้วแอ่งน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า ในแอ่งน้ำเหล่านั้นเป็นสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำจำนวนมากที่แตกต่างกัน
แต่น้ำของที่นี่เชื่อมต่อกันทั้งหมด มันเป็นเพียงกรวดหินใหญ่น้อยที่ก่อตัวขึ้นคล้ายกับชายหาดเท่านั้น
ฟางหยวนมองสัตว์น้ำทุกประเภทรวมถึงวิญญาณระดับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้น้ำ
สิ่งที่มีมากที่สุดคืออสรพิษชนิดหนึ่ง
อสรพิษชนิดนี้มีร่างกายสีแดงอมชมพู ศีรษะของพวกมันมีขนาดเท่าหัวแม่มือของมนุษย์และมีร่างกายยาวเพียงไม่กี่เซนติเมตร
มันคืออสรพิษวิญญาณ
ผู้อมตะฮันตงมีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนร่างเป็นอสรพิษชนิดนี้
นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตง
ผู้อมตะฮันตงเป็นหนึ่งในสามผู้พเนจร ย้อนกลับไปเมื่อตงฟางชางฟานพยายามยึดครองร่างของตงฟานหยูเหลียง เขาใช้ซากศพค้างคาวมรณะแรกกำเนิดเป็นสร้างฐานที่มั่น
ในเวลานั้นผู้อมตะฮันตงเสียชีวิตที่นี่
สามผู้พเนจรประกอบด้วยลู่ชิงหมิง ซูกวง และฮันตง
พวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่มีชื่อเสียง
พวกเขาสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นรถม้าแสง
ในโลกของผู้อมตะ เมื่อผู้อมตะบางคนสร้างความร่วมมือ พวกเขาจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันรวมถึงบ่มเพาะด้วยกัน เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะคุ้นเคยกันมากขึ้น หากพวกเขามีพรสวรรค์ พวกเขาจะสามารถสร้างท่าไม้ตายร่วมกัน
สามผู้พเนจรอยู่ในกรณีนี้
ท่าไม้ตายอมตะเสียงคำรามของวายุสายฟ้าของเชาเหลาอู๋กับห่าวเจิ้นก็เช่นกัน
ท่ามกลางสามผู้พเนจร ลู่ชิงหมิงบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวายุ ท่าไม้ตายเฉพาะตัวของเขาคือพันวายุ
ซูกวงเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งแสงขณะที่ฮันตงบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
เขาเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตงจึงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
ฟางหยวนลอยอยู่บนท้องฟ้าขณะที่อสรพิษสีแดงชมพูเลื้อยเข้ามาหาเขา
“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”
มันส่งเสียงข่มขู่มาที่ฟางหยวน
เสียงของอสรพิษดังเข้าหูของฟางหยวนและเปลี่ยนเป็นคำพูดของมนุษย์ “เจ้าคือผู้ใด? เหตุใดเจ้าถึงบุกรุกบ้านของข้า? ออกไปเดี๋ยวนี้! เจ้าไม่ได้รับการต้อนรับที่นี่!”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง “ข้ามาที่นี่เพราะข้าต้องการเป็นเจ้านายคนใหม่ของเจ้า บอกเงื่อนไขมา”
“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”
อสรพิษสีแดงชมพูส่งเสียงอย่างไม่มีความสุข
ฟ่างหยวนพยักหน้าและคิดกับตนเอง ‘ดังนั้นความปารถนาก่อนตายของฮันตงก็เกี่ยวข้องกับลู่ชิงหมิงและซูกวง’
แดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตงดูเรียบง่ายแต่มันมีเงื่อนไขที่เข้มงวด
อสรพิษที่อยู่ตรงหน้าฟางหยวนคือจิตวิญญาณแผ่นดินของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
จิตวิญญาณแผ่นดินตนนี้จะยอมรับเฉพาะลู่ชิงหมิงหรือซูกวงเท่านั้น
หากคนทั้งสองมาที่นี่ พวกเขาจะกลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ทันที
จากจุดนี้สามารถเห็นได้ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามผู้พเนจร
“หากเป็นเช่นนั้นข้าจะพาลู่ชิงหมิงมาที่นี่ พวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน”
“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”
อสรพิษถาม “เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? หากเจ้าสามารถพาท่านลู่ชิงหมิงมาที่นี่ นั่นจะดีมาก”
“อันที่จริงเขาอยู่ในบริเวณนี้ ร่างหลักของเจ้าเสียชีวิตที่นี่ ลู่ชิงหมิงและซูกวงจึงคิดถึงเรื่องนี้ แต่ไท่ชิวอันตรายเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงขอความช่วยเหลือจากข้าและในที่สุดพวกเราก็พบเจ้า” ฟางหยวนเริ่มโกหก
อสรพิษเลื้อยไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น
มันทำข้อตกลงกับฟางหยวน ก่อนจะส่งฟางหยวนออกจากแดนศักดิ์สิทธ์ฮันตงอย่างอบอุ่น “ขอบคุณเจ้ามาก เจ้าเป็นคนดีจริงๆ”
“เจ้าต้องตามหาท่านลู่ชิงหมิงให้พบ!” อสรพิษกล่าวก่อนจะปิดประตูทางเข้าออกแดนศักดิ์สิทธิ์
ฟางหยวนบินห่างออกไปก่อนจะใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเปลี่ยนร่างเป็นลู่ชิงหมิง
เขาย้อนกลับมาขณะที่ทางเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดออกจากภายใน
“ท่านลู่ชิงหมิง…” อสรพิษที่รออยู่สะอื้นไห้เมื่อเห็นลู่ชิงหมิง
ฟางหยวนปลอบใจมัน
อสรพิษถามว่า “ท่านลู่ชิงหมิง สหายของท่านมาจากที่ใด เขานำท่านมาที่นี่ เขาเป็นคนดีจริงๆ!”
“เขาเป็นคนใจดีและเป็นสหายที่พึ่งพาได้ เขาจากไปแล้ว เขาบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เขาทำหน้าที่ของตนสำเร็จแล้ว” ฟางหยวนกล่าวตามบทละครที่เขาแต่งขึ้น
จิตวิญญาณแผ่นดินที่น่าสมเพชไม่สามารถมองทะลุใบหน้าที่คุ้นเคยและคิดว่ากำลังพูดคุยอยู่กับลู่ชิงหมิงตัวจริง ดังนั้นมันจึงรับลู่ชิงหมิงเป็นเจ้านายคนใหม่ทันที
“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”
อสรพิษแดงชมพูขดตัวอยู่บนไหล่ของฟางหยวน “จากนี้ไปท่านคือเจ้าของคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”
ฟางหยวนเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “วิเศษมาก ข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว เมื่อข้าได้รับแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ข้าจะมอบมันให้กับสหายคนก่อนหน้าของข้า”
“ฟ่อ!”
อสรพิษตะลึง
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง “…”
“ฟ่อ ฟ่อ”
อสรพิษก้มศีรษะลงอย่างไม่มีความสุขแต่มันก็ยังยอมรับการตัดสินใจของเจ้านายคนใหม่
ฟางหยวนจากไปก่อนจะเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนเดิมและเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตง
จิตวิญญาณแผ่นดินอสรพิษแดงชมพูยอมรับเขาเป็นเจ้านายคนใหม่
“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”
อสรพิษกล่าว “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านคือเจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เห้อ…แม้ข้าจะโศกเศร้า แต่นี่คือความปารถนาของท่านลู่ชิงหมิง”
แต่คำกล่าวที่น่าเศร้ายิ่งกว่ากลับดังออกมาจากปากของฟางหยวน “เนื่องจากเจ้ายอมรับข้าเป็นเจ้านายแล้ว เจ้าก็ต้องร่วมมือกับข้า ข้าต้องการผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เข้ากับมิติช่องว่างของข้า”
“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”
อสรพิษตกตะลึงและโวยวาย “อันใด? เหตุใดเราต้องทำเช่นนั้น? หากทำเช่นนั้น ข้าจะหายไป!”
“แน่นอน ข้ารู้เรื่องนั้น แต่ด้วยการหลอมรวมแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติต่างๆ” ฟางหยวนกล่าวต่อ
อสรพิษนึกถึงบางสิ่งและกรีดร้องออกมา “หากต้องการผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ อย่างน้อยท่านต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง!”
“ข้าบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและยังเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางสายนี้!” ฟางหยวนเย้ยหยัน
อสรพิษก้มศีรษะลงอย่างหมดสิ้นหนทาง “ท่านเป็นเจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์ ท่านสามารถทำทุกสิ่งที่ท่านต้องการ ข้าจะให้ความร่วมมือ”
มิติช่องว่างสามารถหลอมรวมกันแม้จะมีข้อจำกัดค่อนข้างมากก็ตาม
ประการแรก มิติช่องว่างขนาดเล็กไม่สามารถกลืนกินมิติช่องว่างที่ใหญ่กว่า
ประการที่สอง มิติช่องว่างที่ตายแล้วไม่สามารถกลืนกินมิติช่องว่างที่มีชีวิต
สุดท้ายการกลืนกินมิติช่องว่างของผู้อื่น คนผู้หนึ่งจำเป็นต้องมีระดับการบ่มเพาะและความสำเร็จบนเส้นทางสายนั้นพอสมควร
เมื่อบรรลุข้อกำหนดเหล่านี้ พวกเขาก็จะสามารถผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้อื่นเข้ากับมิติช่องว่างของตนเอง
สิ่งนี้มีประโยชน์มากมาย
ประการแรก ทรัพยากรที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เป้าหมายจะถูกย้ายไปยังมิติช่องว่างหลักของผู้อมตะอย่างสมบูรณ์โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้าย
ประการที่สอง พวกเขาจะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากแดนศักดิ์สิทธิ์เป้าหมาย
ประการที่สามและเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด นั่นคือการก้าวข้ามภัยพิบัติ
ตัวอย่างเช่นผู้อมตะไป่หู นางเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษบนเส้นทางแห่งทาสที่เสียชีวิตในภัยพิบัติพิภพครั้งที่ห้าโดยมนุษย์เงาสายฟ้า แม้มนุษย์เงาสายฟ้าจะยังอยู่ แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูก็สามารถก้าวข้ามภัยพิบัติครั้งนั้น
หากผู้อมตะบางคนผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูเข้ากับมิติช่องว่างของพวกเขา พวกเขาจะได้รับทรัพยากรทั้งหมดของแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หู ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าและสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติอย่างน้อยหนึ่งครั้ง สูงสุดห้าครั้ง นอกจากนี้การนับถอยหลังสู่ภัยพิบัติของพวกเขาก็จะกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ภาคใต้ ภูเขาหม้อหยก
กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยมาถึงด้านในของภูเขา
“ผู้ใดจะคิดว่าภูเขาหม้อหยกที่ธรรมดาจะมีโลกน้ำแข็งซ่อนอยู่ภายใน” ไป่หนิงปิงมองถ้ำน้ำแข็งและถอนหายใจ
ที่นี่หนาวเย็นมาก กระทั่งผู้อมตะจะมีวิธีป้องกัน แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกถึงมวลอากาศเย็นที่พุ่งเข้าโจมตีร่างกายของพวกเขาตลอดเวลา
อิงอู๋เซี่ยหยุดเท้าและมองไปยังที่ว่างด้านหน้า “แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกถูกทิ้งไว้ที่นี่โดยผู้อมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งของนิกายเงา”
อิงอู๋เซี่ยหันกลับมาพูดกับไห่ลั่วหลัน “ไห่ลั่วหลัน นี่สำหรับเจ้า ความสำเร็จบนเส้นทางความแข็งแกร่งของเจ้าเพียงพอที่จะผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ มันจะทำให้เจ้าสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติ”
การแสดงออกของไห่ลั่วหลันเปลี่ยนไป
นางมีร่างสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริง ภัยพิบัติของสิบสุดยอดกายาทรงพลังมาก
การผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์สามารถแก้ปัญหาของนาง แต่มันก็จะทำให้นางสูญเสียศักยภาพในการเติบโต นี่ถือเป็นผลประโยชน์ระยะสั้นเท่านั้น
นางลังเลแต่ในที่สุดนางก็กัดฟันเดินออกไปข้างหน้า
อิงอู๋เซี่ยพยักหน้า เขาเข้าใจความรู้สึกของไห่ลั่วหลัน “ในการบ่มเพาะของผู้อมตะ การแสวงหาศักยภาพและการเติบโตระยะยาวไม่ใช่เรื่องฉลาดหากเจ้าไม่สามารถก้าวข้ามภัยพิบัติ อย่ากังวล เจ้าจะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งไม่น้อยไปว่าที่เจ้ามี นอกจากนั้นนิกายเงายังมีวิธีการมากมายที่สามารถช่วยในการบ่มเพาะ แต่เจ้าจะดูดซับมันได้มากน้อยเท่าใด นั่นขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง เนื่องจากการดูดซับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากการผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์มีโอกาสที่เจ้าจะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าน้อยลงระดับหนึ่งหากเปรียบเทียบกับการดูดซับร่องรอยของพลังงานแห่เต๋าจากศพของผู้อมตะโดยตรง”
ไห่ลั่วหลันแสดงออกด้วยความเคร่งเครียด
อิงอู๋เซี่ยนึกถึงฟางหยวนอย่างช่วยไม่ได้ เขากล่าวเสริม “แน่นอนว่าร่างทารกอมตะเป็นข้อยกเว้น”