เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - ตอนที่ 1196
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1196 จิตวิญญาณดาบ
แปลโดย iPAT
ทุ่งโลหิต
การต่อสู้ระหว่างเหนียงเอ๋อปิงซื่อกับยายหยินดึงดูดความสนใจของทุกคน
ยายหยินเป็นปีศาจอมตะที่มีประสบการณ์สูง นางบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งภูตผีและมีชื่อเสียงโด่งดังในภาคเหนือ
นางเคลื่อนไหวราวกับภูตผีและมีวิญญาณอาฆาตเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ
เหนียงเอ๋อปิงซื่อเป็นทายาทผู้สืบทอดของผู้พิทักษ์ดาบเผ่าเหนียงเอ๋อ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วราวกับสายฟ้า
ทั้งสองต่อสู้กันมาหลายกระบวนท่าและตอนนี้การต่อสู้กำลังเข้าสู่จุดสำคัญ
กลางสนามรบ ความมืดปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด
แสงดาบของเหนียงเอ๋อปิงซื่อถูกปิดกั้น แม้มันจะพุ่งไปทุกทิศทางแต่ความมืดก็ยังกลืนกินมันเข้าไป โดยรวมแล้วยายหยินสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
“ยายหยินเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางสายปีศาจ นางแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยประสบการณ์” หวังอู๋หมิงยกย่อง
แต่ชูตู๋ขมวดคิ้วและนิ่งเงียบ
เขาคิด ‘ยายหยินเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่นางไม่สามารถสังหารเหนียงเอ๋อปิงซื่อได้ในทันที แม้นางจะดูเหมือนเหนือกว่า แต่แสงดาบของเหนียงเอ๋อปิงซื่อยังอาละวาดไปรอบๆ เขายังคิดว่าสามารถเอาชนะ!’
ในวังตะวันตก เมื่อเห็นอัจฉริยะของเผ่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เหนียงเอ๋ออี้ฟางรู้สึกกระวนกระวายใจและไม่สามารถละสายตาจากการต่อสู้
หากสถานการณ์เลวร้ายลง เขาจะรีบออกไปช่วยเหนียงเอ๋อปิงซื่อทันที
ไม่ว่ามันจะเป็นการทำลายกฎหรือทำลายชื่อเสียงของเผ่าเหนียงเอ๋อ เขาก็ต้องรักษาชีวิตของเหนียงเอ๋อปิงซื่อเอาไว้!
“ฮิฮิ เด็กน้อย เจ้าไม่มีที่ให้หลบแล้ว ยอมรับความตายซะ!” เป็นเพียงเวลานี้ที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสนามรบ
ยายหยินชี้นิ้วไปที่เหนียงเอ๋อปิงซื่อ
ท่าไม้ตายอมตะกรงขังภูตพราย!
ดวงตาของเหนียงเอ๋อปิงซื่อกลายเป็นไร้แวว แสงดาบที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสูญสลายไปและเผยให้เห็นร่างจริงของเด็กหนุ่ม
“ฮิฮิ” ยายหยินหัวเราะด้วยความพึงพอใจ
มือของนางขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าก่อนที่นางจะฟาดลงบนศีรษะของเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
หากการโจมตีนี้เกิดขึ้น กะโหลกศีรษะของเหนียงเอ๋อปิงซื่อจะถูกบดขยี้
“หยุด!” เหนียงเอ๋ออี้ฟางตะโกนและพุ่งออกจากวังตะวันตก
อย่างไรก็ตามชูตู๋เตรียมการไว้ล้วงหน้าแล้ว เขารู้ว่าเมื่อยายหยินลงมือสังหารเหนียงเอ๋อปิงซื่อ ผู้อมตะฝ่ายธรรมะจะออกมาขัดขวาง
ดังนั้นชูตู๋จึงจัดทัพรออยู่แล้ว
ห่าวเจิ้นเคลื่อนไหวทันที
“สหาย ช่างไร้ยางอายนัก เจ้าต้องการขัดขวางการต่อสู้ตัวต่อตัวงั้นหรือ?” ห่าวเจิ้นยิงสายฟ้าไปที่ใบหน้าของเหนียงเอ๋ออี้ฟาง
เกราะไม้สีมรกตปรากฏขึ้นบนร่างกายของเหนียงเอ๋ออี้ฟางอย่างรวดเร็ว
นี่คือท่าไม้ตายอมตะของเหนียงเอ๋ออี้ฟาง มันมีพลังป้องกันที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าสายฟ้าของห่าวเจิ้นจะรุนแรงเพียงใด มันก็ไม่สามารถฝากร่องรอยไว้บนเกราะไม้มรกต ตรงข้ามมีใบไม้สีเหลืองและสีเขียวงอกออกมาราวกับมันได้รับประโยชน์จากสายฟ้าของห่าวเจิ้น
ชูตู๋อ้าปากค้าง
เขารู้สึกประหลาดใจ
สิ่งที่ทำให้ชูตู๋ประหลาดใจไม่ใช่เกราะไม้ของเหนียงเอ๋ออี้ฟางเนื่องจากเกราะไม้ของเขามีชื่อเสียงในภาคเหนืออยู่แล้ว มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่เขาคิดค้นขึ้นด้วยตนเอง เกราะใบไม้ผลิ
แต่สิ่งที่ทำให้ชูตู๋ประหลาดใจคือการแสดงออกของเหนียงเอ๋ออี้ฟาง
สายฟ้าของห่าวเจิ้นทำให้เหนียงเอ๋ออี้ฟางสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการช่วยเหนียงเอ๋อปิงซื่อไปแล้ว
ชูตู๋พิจารณาสิ่งที่เขาทำ เหนียงเอ๋อปิงซื่อเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นของเผ่าเหนียงเอ๋อ ชีวิตของเด็กผู้นี้กำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เหนียงเอ๋ออี้ฟางกลับเลือกที่จะปกป้องตนเองจากสายฟ้าของห่าวเจิ้นมากกว่าการช่วยชีวิตเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
การกระทำนี้หมายความว่าเขาไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะช่วยเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
เกิดสิ่งใดขึ้น?
“โอ้ ไม่!” ทันใดนั้นหัวใจของชูตู๋พลันสั่นสะท้านขึ้น เขามองไปที่สนามรบ
เขากำลังจะเตือนยายหยิน แต่มันสายไปแล้ว
เหนียงเอ๋อปิงซื่อปล่อยแสงลึกลับออกมาจากดวงตาของเขา
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เสียงหัวเราะของยายหยินหยุดชะงักลงทันที
หัวใจของนางส่งสัญญาณเตือนถึงอันตราย นางต้องการป้องกันตนเอง แต่มันสายเกินไป
แสงดาบสว่างไสวขึ้น
ชีวิตและความตาย ชัยชนะและความพ่ายแพ้ พวกมันถูกกำหนดภายในช่วงเวลานี้
วิญญาณอาฆาตยังบินวนเวียนอยู่รอบๆแต่ยายหยินล้มลงบนพื้นด้วยร่างที่ถูกตัดออกเป็นสองส่วน
นางมองเหนียงเอ๋อปิงซื่อด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ เขาหยุดพ้นจากท่าไม้ตายอมตะของนางได้อย่างไร?
“กรงขังภูตพรายเป็นท่าไม้ตายที่ยายหยินภาคภูมิใจ นางใช้มันสร้างชื่อและท่องเที่ยวไปทั่วภาคเหนือ แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับเหนียงเอ๋อปิงซื่องั้นหรือ?” ชูตู๋และกลุ่มของเขาตกตะลึง
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ในวังตะวันตก ผู้อตะฝ่ายธรรมะรู้สึกประหลาดใจ
“นี่คือจิตวิญญาณดาบ มันเป็นท่าไม้ตายอมตะจากมรดกของผู้พิทักษ์ดาบ มันเป็นทักษะที่หลอมรวมเส้นทางแห่งปัญญาและเส้นทางสายอื่นๆเข้าด้วยกัน” เหนียงเอ๋ออี้ฟางหัวเราะ
เย่หลิวเสี่ยวจินคิด ‘เขากำลังบอกว่าเหนียงเอ๋อปิงซื่อเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์งั้นหรือ?’
เย่หลิวเสี่ยวจินเป็นอัจฉริยะของเผ่าเย่หลิวแต่น่าเสียดายที่เขาแพ้เซี่ยอู่เหิง
ในทางตรงข้ามเหนียงเอ๋อปิงซื่อสามารถสังหารยายหยินผู้อมตะระดับเจ็ด นี่ทำให้ทุกคนเห็นถึงความแตกต่าง
“เหนียงเอ๋ออี้ฟางเข้าใจสถานการณ์ของเหนียงเอ๋อปิงซื่อแต่ยังแสร้งรีบร้อนออกมาด้วยความตื่นตระหนก” เชาเหลาอู๋รู้สึกไม่พอใจกับความไร้ยางอายของเหนียงเอ๋ออี้ฟาง
การแสดงของเหนียงเอ๋ออี้ฟางทำให้ผู้อมตะทั้งสองฝ่ายคิดว่าเหนียงเอ๋อปิงซื่อตกอยู่ในอันตราย
กระทั่งยายหยินยังถูกหลอก
เขาทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ
‘ไม่ อาจเป็นเพราะยายหยินมั่นใจกับท่าไม้ตายอมตะกรงขังภูตพรายของนางมากเกินไป’ ชูตู๋ลอบประเมินอยู่ในใจ ‘และเหนียงเอ๋อปิงซื่อผู้ไม่ได้เป็นเพียงคนโหดเหี้ยมแต่เขายังมีทักษะในการแสดงและสามารถหลอกลวงยายหยิน การโจมตีของเขาทั้งทรงพลังและรวดเร็ว เขายังเด็กแต่กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!’
“กลับมาเร็วเข้า!” เหนียงเอ๋ออี้ฟางตะโกนเรียกเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
เหนียงเอ๋อปิงซื่อสังหารยายหยินแต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
เขาเร่งล่ายถอยแต่ก่อนจากไปเขายังเก็บซากศพของยายหยินกลับไปด้วย
นี่คือการต่อสู้ของเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
นิกายชูไม่ได้หยุดเขาเพราะนี่เป็นหนึ่งในกฎของการประลองครั้งนี้
ก่อนหน้านี้เซี่ยอู่เหิงก็เก็บศพของผู้อมตะหลิวฮุ้ยไว้เช่นกัน
เซี่ยอู๋เหิงอาจชนะสามครั้งแต่เขาสามารถสังหารหลิวฮุ้ยที่เป็นผู้อมตะระดับหกเท่านั้น ในขณะที่เหนียงเอ๋อปิงซื่อชนะเพียงครั้งเดียวแต่เขาสามารถสังหารผู้อมตะระดับเจ็ดยายหยิน
อาจกล่าวได้ว่าฝ่ายธรรมะเหนือกว่าเล็กน้อย
ชูตู๋รู้สึกกดดัน
‘ข้าควรส่งผู้ใดออกไป?’
ชูตู๋ลังเล
ในไม่ช้าผลของการต่อสู้ครั้งนี้ก็เดินทางมาถึงฟางหยวน
ฟางหยวนยังบ่มเพาะอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา
‘เหนียงเอ๋อปิงซื่อสังหารยายหยิน?’ ฟางหยวนประหลาดใจเล็กน้อยกับข้อเท็จจริงนี้
มีผู้อมตะระดับหกหลายคนสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ด แต่ผู้อมตะระดับหกที่สามารถสังหารผู้อมตะระดับเจ็ดหาได้ยาก
เหนียงเอ๋อปิงซื่อ…ฟางหยวนไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นี้
แต่คนที่ฟางหยวนรู้สึกสนใจมากกว่าคือเซี่ยอู่เหิง
หากกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือเขาสนใจแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้อมตะหลิวฮุ้ยที่อยู่กับเซี่ยอู่เหิง
‘ผู้อมตะหลิวฮุ้ยบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งปฐพี เขาผ่านภัยพิบัติสวรรค์มาแล้วสองครั้ง ด้วยการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขา ข้าจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดได้อย่างแน่นอน’
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฟางหยวนรีบเขียนจดหมาย
เขาบอกชูตู๋ว่าต้องการซื้อแดนศักดิ์สิทธิ์ของหลิวฮุ้ยจากเซี่ยอู่เหิง
สำหรับคำเชิญของชูตู๋ ฟางหยวนใช้เหตุผลว่าเขากำลังปิดประตูฝึกตนเพราะต้องการชะลอเวลาเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ
“ข้าต้องก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้’
ข้อตกลงพันธมิตรนิกายชูไม่ได้ผูกมัดมากนัก แม้นิกายชูจะถูกทำลาย ฟางหยวนก็สามารถเลือกที่จะไม่ปรากฏตัว
ฟางหยวนให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะของเขาเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่น ทั้งหมดเป็นเรื่องรอง
ชูตู๋ขมวดคิ้วเมื่อได้รับคำตอบจากฟางหยวน
“เห้อ…หากหลิวกวนซื่อมาที่นี่ ข้าจะไม่รู้สึกยากลำบากเช่นนี้” ชูตู๋ถอนหายใจ
เซี่ยอู่เหิงที่ยืนอยู่ด้านข้างถามด้วยความสงสัย “เมื่อครู่พี่ชูกล่าวถึงผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อเช่นนั้นหรือ?”
ชูตู๋หัวเราะ “เขากล่าวถึงเจ้าในจดหมาย เขาหวังว่าเจ้าจะขายแดนศักดิ์สิทธิ์ของหลิวฮุ้ยให้เขา”
เซี่ยอู่เหิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้รับวิญญาณอมตะของหลิวฮุ้ย นอกจากนั้นข้ายังไม่รู้ว่ามีทรัพยากรที่อยู่ในมิติช่องว่างของเขามากน้อยเพียงใด ดังนั้นข้าจะขายมันได้อย่างไร?”
ความตั้งใจของเขาชัดเจนมาก