เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - ตอนที่ 1221
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1221 ความรักมาหา
แปลโดย iPAT
ได้ยินพี่ชายของเขาต้องการมอบวิญญาณอมตะให้ ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง
ในกรณีของฟางหยวน เขาไม่ขาดแคลนวิญญาณอมตะระดับหกและยังมีวิญญาณอมตะระดับเจ็ดอีกมากมาย สำหรับวิญญาณอมตะระดับแปด ฟางหยวนมีวิญญาณทัศนคติ วิญญาณปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ และวิญญาณดาบแห่งปัญญา
ในแง่ของตัวเลข ฟางหยวนกระทั่งเหนือกว่าวูหยง
ยังไม่ต้องกล่าวถึงวิญญาณสติปัญญาระดับเก้า เพราะมันไม่ได้เป็นของเขาอย่างสมบูรณ์
ในคลังสมบัติของตระกูลวูมีวิญญาณที่มีประโยชน์และทรงพลังเก็บไว้มากมาย มีโอกาสสูงที่จะมีวิญญาณอมตะบางดวงที่เหมาะสมกับฟางหยวน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฟางหยวนต้องการมากที่สุดคืออาณาจักรแห่งความฝัน!
ตราบเท่าที่เขาสามารถเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน เขาจะใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันเพื่อยกระดับความสำเร็จของตน
เมื่อความสำเร็จของเขาเพิ่มสูงขึ้น เขาจะสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มากขึ้น
ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่เขาถูกจำกัดด้วยความสำเร็จและไม่สามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์มากมาย
โลกใบนี้มีผู้อมตะไม่มาก
ในภูมิภาคหนึ่งๆมีผู้อมตะทั้งหมดไม่กี่ร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับหก ผู้อมตะระดับเจ็ดและแปดมีน้อยลงตามลำดับ
ท่ามกลางผู้อมตะเหล่านี้ ฟางหยวนสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกและเจ็ดได้เพียงบางส่วน มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์บางเส้นทางเท่านั้นที่เขาสามารถกลืนกิน ตอนนี้ฟางหยวนไม่สามารถไปยังภาคกลาง สำหรับสี่ภูมิภาคที่เหลือ มีผู้อมตะมากมายที่ฟางหยวนไม่สามารถแตะต้องเช่นผู้อมตะระดับแปดหรือผู้อมตะระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดเช่นฟงจิวเก้อหรือซื่อเล่ย
สรุปแล้วมีแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ฟางหยวนไม่สามารถกลืนกินอยู่มากมาย
ก่อนหน้านี้ฟางหยวนสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของบางคนและยกระดับการบ่มเพาะของตนเป็นเพราะความสำเร็จที่เขาสะสมมาตลอดรวมถึงโชคที่เพียงพอ
ด้วยเหตุนี้ความสำเร็จบนเส้นทางสายต่างๆจึงมีความสำคัญต่อฟางหยวนเป็นอย่างมาก
เพราะมันจะทำให้เขาสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์และยกระดับการบ่มเพาะของตนเองอย่างรวดเร็ว
‘ก่อนหน้านี้ข้ากลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์และสามารถยกระดับการบ่มเพาะจากระดับหกสู่ระดับเจ็ด แต่หลังจากกลายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด การกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกทำให้ข้าก้าวข้ามภัยพิบัติได้น้อยมาก’
‘การบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร็วที่ช้าลงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง แต่หลังจากความสำเร็จของข้าเพิ่มสูงขึ้น การบ่มเพาะของข้าจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แม้แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดจะหายากกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหก แต่เปรียบเทียบกับวิธีการบ่มเพาะตามปกติ มันยังรวดเร็วกว่ามาก!’
ฟางหยวนไม่สามารถประเมินความเร็วที่แน่ชัดเพราะมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเขาโชคดีพอ เขาอาจสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดจำนวนมากได้ในครั้งเดียว
เมื่อกลืนกินได้มากพอ การก้าวเข้าสู่ระดับแปดก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
หลังจากทั้งหมดนี่คือความสามารถอันเป็นที่สุดของมิติช่องว่างจักรพรรดิ
หากเป็นผู้อมตะทั่วไป การบ่มเพาะวิธีนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา
‘อย่างไรก็ตามแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดมีไม่มากนักแม้จะรวมทั้งห้าภูมิภาค การก้าวเข้าสู่ระดับแปดยังเป็นไปไม่ได้สำหรับตอนนี้’
ฟางหยวนคิดและตระหนักว่าโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับแปดมีน้อยเกินไป
ฟางหยวนไม่ได้โลภมากเกินไป เขารู้ว่าสิ่งใดสำคัญและสิ่งใดน่ากังวล
ดังนั้นเขาจึงตอบกลับวูหยง “ข้าไม่จำเป็นต้องไปที่คลังสมบัติ ข้ารู้ว่าตนเองต้องการสิ่งใด”
“โอ้?” วูหยงรู้สึกประหลาดใจ
จากนั้นฟางหยวนจึงกล่าวชื่อวิญญาณอมตะสองดวงออกมา หนึ่งเป็นวิญญาณอมตะระดับหกและอีกหนึ่งเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด
วูหยงรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น ตอนนี้เขาต้องประเมินฟางหยวนใหม่อีกครั้ง
วูหยงตระหนักถึงความต้องการของฟางหยวนแต่ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ “วิญญาณอมตะสองดวงนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลวิญญาณ พวกมันถูกใช้เพื่อปิดผนึกอาณาจักรแห่งความฝัน เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการพวกมัน?”
ฟางหยวนพยักหน้าโดยไม่ลังเลและแสดงให้เห็นว่าเขาตัดสินใจแล้ว
เพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณปิดผนึกอาณาจักรแห่งความฝัน ฝ่ายธรรมะของภาคใต้ทั้งหมดต้องให้การสนับสนุนทั้งด้านกำลังคนและทรัพยากร ตระกูลวูใช้วิญญาณอมตะหกดวง ข้อมูลนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิด
ฟางหยวนเรียนรู้เรื่องนี้มาจากผู้อมตะตระกูลเฉียว
สำหรับเหตุผลที่เขาเลือกวิญญาณอมตะสองดวงนี้เป็นเพราะพวกมันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อค่ายกลวิญญาณ
อาจกล่าวได้ว่าหากฟางหยวนกลายเป็นเจ้าของวิญญาณอมตะเหล่านี้ เขาจะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่นั่น
ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านพี่ ท่านอยู่ในตระกูลมาตั้งแต่เกิด ท่านได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ แต่ข้าแตกต่างจากท่าน ข้าเติบโตขึ้นที่ทะเลตะวันออกโดยปราศจากผู้สนับสนุน ท่านไม่เคยเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ ท่านย่อมไม่เข้าใจความเจ็บปวดของพวกเรา”
“ครั้งนี้เมื่อข้ามายังภาคใต้และเข้าร่วมกับตระกูลวู ข้าก็ไม่ต้องการกลับทะเลตะวันออกอีก”
“ข้ายอมรับว่าข้ามีความทะเยอทะยาน แต่ผู้อมตะคนใดที่ไม่มีความทะเยอทะยาน”
“ท่านพี่ ข้าขอกล่าวตามตรง ท่านเป็นผู้อมตะระดับแปด ท่านมีวิญญาณอมตะระดับแปด ท่านเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวู ท่านสามารถทำทุกสิ่งในตระกูล แต่ข้า ข้ามาจากทะเลตะวันออก ข้าเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด ข้ามีทักษะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ข้าจะแข่งขันกับท่านได้อย่างไร? ข้าไม่เคยคิดที่จะต่อสู้กับท่าน!”
“ข้าเพียงต้องการบ่มเพาะต่อไป ข้ามีข้อตกลงกับตระกูลเฉียว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสนับสนุนข้า โดยปราศจากความช่วยเหลือจากพวกเขา ข้าจะไม่สามารถมาร่วมงานศพของท่านแม่”
“แต่ข้ายังเป็นคนของตระกูลวู สายเลือดของตระกูลวูไหลเวียนอยู่ในร่างกายของข้า ท่านแม่ทิ้งข้าไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก แต่นางก็ขอให้ข้ากลับมาในวันสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร นางก็ยังคงเป็นมารดาของข้า นางเป็นผู้ให้กำเนิดข้า!”
“สองสามวันที่ผ่านมา ข้าตัดสินใจว่าอาณาจักรแห่งความฝันคือสถานที่ที่ข้าต้องการไป ข้าเต็มใจที่จะออกจากตระกูลวูและปิดประตูฝึกตนอยู่ที่นั่นตลอดไป ทั้งหมดที่ข้าต้องการมีเพียงการสนับสนุนจากตระกูลู ด้วยวิธีนี้ข้าจะมีทรัพยากรเพียงพอในการบ่มเพาะ สิ่งนี้จะสามารถเติมเต็มความต้องการของข้า!”
ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงใจ พวกมันล้วนเป็นถ้อยคำที่สะเทือนอารมณ์
ในตอนท้ายดวงตาของเขายังเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาก้มศีรษะให้กับวูหยงอย่างสุดซึ้ง
วูหยงรู้สึกหวั่นไหว
เขาลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินเข้าไปจับไหล่ฟางหยวน
“น้องชายของข้า!” เขากล่าวเสียงสั่นและแสดงออกด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าเป็นน้องชายของข้า เรามีมารดาคนเดียวกัน!”
“ข้าเข้าใจความตั้งใจของเจ้า ข้าเข้าใจความยากลำบากของเจ้าและข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจความยากลำบากของข้า”
“ข้ายอมรับคำขอของเจ้าและเจ้าก็อย่าลืมสิ่งที่เจ้ากล่าวในวันนี้!”
“ท่านพี่!” ฟางหยวนสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตา “ข้าจะไม่ลืมคำกล่าวของข้าในวันนี้ ท่านพี่ผู้ประเสริฐของข้า ข้าจะสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่ในอนาคต หากท่านพี่ไม่อนุญาต ข้าจะไม่ทำสิ่งใดโดยพละกาล ข้าจะไม่ก้าวเข้าสู่ฐานทัพใหญ่ของตระกูลวู ข้าจะไม่ติดต่อกับผู้อมตะของตระกูลวูมากเกินไป!”
วูหยงจับมือฟางหยวน “ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังและข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังเช่นกัน!”
ครู่ต่อมาฟางหยวนก็เดินออกจากห้องทำงานของวูหยง
‘ในที่สุดข้าก็สามารถเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณและสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันได้อย่างเปิดเผย!’ ความตื่นเต้นในใจของเขาไม่สามารถบรรยายให้ผู้ใดฟัง
ในเวลาเดียวกันวูหยงนั่งลงบนเก้าอี้และมองไปในระยะไกล
‘น้องชายของข้ารู้ว่าสิ่งใดดีต่อตัวเขา เขาเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันอย่างชัดเจน ไม่เลว ไม่เลว’
‘เขาไม่ได้กล่าวถึงวิญญาณอมตะของท่านแม่และยังบอกว่าจะออกจากฐานทัพใหญ่ของตระกูลวู เมื่อเขาไม่อยู่ ข้าจะสามารถควบคุมตระกูลได้ง่ายขึ้น’
‘อาณาจักรแห่งความฝันไร้ประโยชน์ ในปัจจุบันไม่มีผู้ใดสามารถขุดค้นขุมทรัพย์แห่งนี้ ตราบเท่าที่เขาอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องอาณาจักรแห่งความฝันอย่างเงียบๆและบ่มเพาะอย่างสงบโดยไม่พยายามช่วงชิงอำนาจในตระกูลวู นั่นย่อมเป็นเรื่องดี แต่เขาจะขอทรัพยากรมากมายเพียงใด?’
‘อาณาจักรแห่งความฝันเป็นเช่นนี้แต่ในอนาคตยังไม่มีสิ่งใดแน่นอน โดยเฉพาะคำทำนายเกี่ยวกับเทพอมตะแห่งความฝัน ฮ่าฮ่า กล่าวไปแล้วความทะเยอทะยานของน้องชายข้าก็ไม่น้อยเลย’
‘อย่างไรก็ตามเช่นที่เขากล่าว มีผู้อมตะคนใดที่ไม่มีความทะเยอทะยาน มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจะมีความทะเยอทะยาน แต่มันจะน่ากลัวหากความทะเยอทะยานของพวกเขาใหญ่โตเกินไป เป็นเรื่องโง่เขลาหากพวกเขาทำบางสิ่งที่เกินขีดจำกัดของตน ตัวอย่างเช่นตระกูลเฉียว ฮืม!’
…..
ภาคกลาง
จ้าวเหลียนหยุนยังคุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับรูปปั้น
บ้านด้านหน้าของนางถูกปิดแน่นและไม่มีสิ่งใดสามารถเข้าไป
ฟงจินฮวงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่อีกแล้ว
จ้าวเหลียนหยุนรู้เรื่องนี้แต่นางยังคุกเข่าอยู่ที่นี่
เพราะนางรู้ดีว่านี่คือความหวังเดียวของนาง นางต้องคว้ามันมาให้ได้!
ตอนนี้ขาของจ้าวเหลียนหยุนกลายเป็นไร้ความรู้สึกไปแล้ว ความมึนงงพุ่งเข้าโจมตีจิตใจของนาง ความทรงจำในอดีตปรากฏขึ้นในความคิดของนางอย่างต่อเนื่อง
มีทุ่งหญ้า มีดอกไม้ป่าผลิบาน
“ดอกไม้เหล่านี้สำหรับคุณหนูเสี่ยวหยุน พวกเขาบอกว่าผู้หญิงชอบดอกไม้” หม่าหงหยุนถือช่อดอกไม้มายืนอยู่ด้านหน้าจ้าวเหลียนหยุนด้วยรอยยิ้มเขินอาย
“เหม็น!” จ้าวเหลียนหยุนปิดจมูกของนางและกล่าวด้วยความรังเกียจ “เจ้านำดอกไม้มาจากที่ใด? มันเหม็นมาก พวกมันอาจเติบโตขึ้นบนกองอึของสัตว์ป่า นำพวกมันออกไปห่างๆข้า!”
หม่าหงหยุนตกตะลึง “ถูกต้อง พวกมันเติบโตขึ้นจากอึก้อนใหญ่!”
จ้าวเหลียนหยุนกลอกตาและเหยียบเท้าหม่าหงหยุนด้วยความโกรธ “งี่เง่า! เหตุใดเจ้าถึงนำดอกไม้เหล่านี้มาให้ข้า เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วมารดาผู้นี้จะพอใจงั้นหรือ!?”
หม่าหงหยุนแทบจะกระโดดขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขาเร่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าต้องการขอบคุณคุณหนูที่ช่วยข้า มิฉะนั้นข้าอาจถูกประหารชีวิตไปแล้วเพราะข้อหาขโมยรองเท้า”
ภาพในอดีตค่อยๆจางหายไป จ้าวเหลียนหยุนกลับสู่ความจริงที่แสนหนาวเหน็บ
‘คนโง่!’
‘แต่สิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่โง่เขลามาก’
‘ผู้ใดจะคิดว่าข้าจ้าวเหลียนหยุนจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้!’
‘เจ้าทำเรื่องงี่เง่าเสมอแต่ผลลัพธ์กลับจบลงด้วยดีทุกครั้ง ข้าไม่เหมือนเจ้า แต่นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำ…ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา’
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ น้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาของจ้าวเหลียนหยุน ความโศกเศร้าและความเจ็บปวดในใจของนางไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด
เป็นเพียงเวลานี้ที่สายตาอันพร่ามัวของนางมองเห็นวิญญาณบางดวง
วิญญาณแห่งความรัก!
วิญญาณอมตะระดับเก้า!
มันบินเข้ามาหาจ้าวเหลียนหยุน