เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - ตอนที่ 1429
ค่ายกลวิญญาณตกอสูรปีมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง มันไม่สั่นไหวแม้จะถูกโจมตีโดยอสูรปีวอกแรกกำเนิด
แต่เรื่องนี้ทำให้เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของอสูรปีวอกแรกกำเนิดปะทุขึ้น
“บึม บึม บึม”
มันใช้หมัดระดมชกกำแพงพลังงานราวกับฝนดาวตก
คราวนี้ค่ายกลวิญญาณเริ่มสั่นไหว ในการโจมตีแต่ละครั้งของอสูรปีวอกแรกกำเนิดทำให้วิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากถูกทำลาย
เทพธิดากระต่ายขาว ไห่ลั่วหลัน และอิงอู๋เซี่ยเร่งเติมวิญญาณระดับมนุษย์อย่างเร่งด่วน
ค่ายกลวิญญาณบางส่วนพังทลายลงหลังจากสูญเสียวิญญาณไปสิบส่วน
แต่ค่ายกลวิญญาณอมตะตกอสูรปีจะไม่บุบสลายตราบเท่าที่วิญญาณอมตะที่เป็นแกนกลางของมันยังอยู่
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่อนุญาตให้อสูรปีวอกแรกกำเนิดโจมตีต่อไป
ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นไป่เซียง!
ในเวลาต่อมาไป่หนิงปิงก็บินเข้าไป
“บึม!”
นางพุ่งเข้าโจมตีอสูรปีวอกแรกกำเนิด้วยความเร็วสูง
อสูรปีวอกแรกกำเนิดไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา มันก้าวถอยหลังและรู้สึกถึงความเจ็บปวด
มันคำรามก่อนจะใช้มืออันใหญ่โตคว้าร่างของไป่หนิงปิง
ร่างของไป่หนิงปิงถูกปกคลุมไปด้วยเงาดำ
แต่นางไม่ตื่นตระหนก นางสูดหายใจลึกและรีบบินหนี
มือของอสูรปีวอกแรกกำเนิดฟาดลงจากด้านบน
ด้วยความเร็วของไป่หนิงปิง นางสามารถหลบหนีได้อย่างแน่นอน แต่น่าแปลกที่นางกลับถูกจับอย่างรวดเร็ว
อสูรปีวอกแรกกำเนิดจับไป่หนิงปิงเอาไว้ในมือราวกับถือลูกแก้วคริสตัล
หากไป่หนิงปิงอยู่ในร่างปกติของนาง นางคงกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว แต่ร่างไป่เซียงของนางสูงห้าเมตรและมีสามเศียรหกกร
ร่างไป่เซียงถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เจี๊ยก เจี๊ยก…”
อสูรปีวอกแรกกำเนิดเห็นศัตรูถูกกำจัดแล้ว มันหัวเราะอย่างมีความสุขขณะโยนเศษน้ำแข็งในมือทิ้งไปและพุ่งเข้าโจมตีค่ายกลวิญญาณอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนน้ำแข็งกลับควบรวมเป็นร่างไป่เซียงอีกหนในเวลาเพียงเสี้ยวพริบตา
ไป่เซียงฟื้นคืนชีพ!
นี่คือข้อได้เปรียบของร่างไป่เซียง
ไป่หนิงปิงในร่างไป่เซียงสามารถกู้คืนร่างกายได้จากเศษน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อย
‘แต่ครั้งนี้ความเร็วในการฟื้นตัวของร่างไป่เซียงกลับลดลง ความเร็วในการบินของข้าก็เช่นกัน’ ไป่หนิงปิงคิดขณะบินเข้าไปหาอสูรปีวอกแรกกำเนิดอีกครั้ง
อสูรปีแรกกำเนิดมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาอยู่บนร่างกายมากมาย ทุกการเคลื่อนไหวของมันส่งผลกระทบต่อกาลเวลา นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ท่าไม้ตายอมตะดาบน้ำแข็ง!
“ปัง!”
ดาบน้ำแข็งฟาดลงบนไหล่ของอสูรปีวอกแรกกำเนิดแต่มันไม่สามารถเจาะทะลวงชั้นผิวหนังของเป้าหมาย เปรียบเทียบกับวานรยักษ์ ดาบน้ำแข็งไม่ต่างจากมีดหั่นผลไม้
วานรยักษ์จับไป่หนิงปิงอีกครั้ง นางพยายามหลบแต่ล้มเหลว
แต่ไม่ว่าร่างของนางจะถูกทำลายกี่ครั้ง ตราบเท่าที่ยังเหลือชิ้นส่วนร่างกาย นางก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพ
แน่นอนว่าพวกเขาตรวจสอบแล้วว่าอสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้ไม่มีวิญญาณอมตะในการครอบครอง มิฉะนั้นไป่หนิงปิงย่อมไม่กล้าท้าทายพลังอำนาจของมัน
อสูรปีวอกแรกกำเนิดมีวิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากแต่วิญญาณเหล่านี้ไร้ประโยชน์ต่อหน้าไป่หนิงปิง
ภัยคุกคามที่แท้จริงคือตัวมันเอง
หลังจากผ่านไปหลายสิบรอบ การเคลื่อนที่รวมถึงการฟื้นตัวของไป่หนิงปิงก็ช้าลงเรื่อยๆ
ในทางตรงข้ามอสูรปีวอกแรกกำเนิดแทบไม่ได้รับความบาดเจ็บ แม้การโจมตีของไป่หนิงปิงจะสามารถเจาะชั้นผิวหนังของมัน แต่ความเร็วในการฟื้นฟูของอสูรปีแรกกำเนิดน่ากลัวเกินไป มันหายเป็นปกติในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
กระทั่งไป่หนิงปิงยังรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
นางรู้สึกเหมือนเป็นแมลงวันน่ารำคาญที่บินวนอยู่รอบๆ
บ่อยครั้งที่อสูรปีวอกแรกกำเนิดก็เพิกเฉยต่อการโจมตีของไป่หนิงปิงขณะที่มันยังพยายามโจมตีค่ายกลวิญญาณ
“อสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้ช่างทรงพลังนัก!” ฟางหยวนเฝ้ามองการต่อสู้และสรุป
เช่นเดียวกับผู้อมตะระดับแปดที่มีพลังการต่อสู้แตกต่างกัน อสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้มีพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อ ไป่หนิงปิงไม่สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงใดๆต่อมันแม้นางจะใช้พลังทั้งหมดก็ตาม
แม้ไป่หนิงปิงจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งพร้อมสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืดและมรดกที่แท้จริงของไป่เซียง แต่รากฐานของนางยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับอสูรปีวอกแรกกำเนิดที่มีชีวิตมานานหลายหมื่นปีตัวนี้
ค่ายกลวิญญาณอมตะตกอสูรปีพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการเติมเต็มวิญญาณของฟางหยวนและคนอื่นๆเริ่มตามไม่ทัน
เมื่ออสูรปีวอกแรกกำเนิดรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นจากการโจมตีของไป่หนิงปิง มันก็ยิ่งโจมตีค่ายกลวิญญาณมากขึ้น
สำหรับฟางหยวน เขาจะไม่ต่อสู้และปล่อยให้อสูรปีวอกแรกกำเนิดโจมตีค่ายกลวิญญาณต่อไปเพื่อลดความแข็งแกร่งของมันลงเป็นอันดับแรก
ท่ามกลางอสูรปีแรกกำเนิด พวกมันมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภท ในแง่ของความแข็งแกร่ง วานรตัวนี้ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ มังกร วัว หรือพยัคฆ์มีความแข็งแกร่งมากกว่าภายใต้สถานการณ์เดียวกัน
แต่กระทั่งมันจะเป็นเพียงวานร ค่ายกลวิญญาณก็ยังพังทลายลง
‘เมี่ยวหยินไปช่วยไป่หนิงปิง” ฟางหยวนออกคำสั่ง
เทพธิดาเมี่ยวหยินพยักหน้าและบินเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ
หลังจากเฝ้ามองการต่อสู้มานานและรู้จักกำลังของวานรตัวนี้ เทพธิดาเมี่ยวหยินจึงไม่กล้าเข้าประชิดตัวมัน นางบินอยู่ในระยะไกล
ท่าไม้ตายอมตะเนตรจันทร์เสี้ยว!
นางมองเข้าไปในดวงตาของวานรยักษ์
แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน มันกลับไม่เกิดสิ่งใดขึ้นราวกับเทพธิดาเมี่ยวหยินไม่เคยโจมตีมาก่อน
วานรยักษ์ยังโจมตีค่ายกลวิญญาณอย่างไม่หยุดยั้ง
เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของเทพธิดาเมี่ยวหยิน
การโจมตีด้วยสายตาของเทพธิดาเมี่ยวหยินไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
“ดี” จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนางปะทุขึ้น
ท่าไม้ตายอมตะคลื่นเสียงก้องกังวาน!
นี่ไม่ใช่ท่าไม้ตายสายโจมตีแต่เป็นสายสนับสนุน
ต่อไปเทพธิดาเมี่ยวหยินเริ่มร้องเพลง
ท่าไม้ตายอมตะเพลงกระดูกอ่อน!
คลื่นเสียงหมุนวนอยู่รอบแขนของวานรยักษ์ภายใต้การสนับสนุนจากคลื่นเสียงก้องกังวาล
บทเพลงนี้ทำให้กระดูกแขนของอสูรปีวอกแรกกำเนิดอ่อนแอลง
อสูรปีวอกแรกกำเนิดรู้สึกสลับสน มันหยุดโจมตีชั่วคราวและมองไปที่แขนของมัน
จากนั้น…
มันกลับไปโจมตีค่ายกลวิญญาณอีกครั้ง
เปลือกตาของเทพธิดาเมี่ยวหยินกระตุก
นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายสองท่าติดต่อกันแต่มันทำได้เพียงทำให้วานรยักษ์ตัวนี้รู้สึกสับสนเล็กน้อยเท่านั้น
‘ความแตกต่างระหว่างระดับเจ็ดและระดับแปดแตกต่างกันมากเกินไป การโจมตีของเราไม่มีประสิทธิภาพ’
‘ในช่วงสองสามพันปีที่ผ่านมมีเพียงฟางหยวนและฟงจิวเก้อที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดด้วยการบ่มเพาะระดับเจ็ด’
ความรู้สึกคล้ายคลึงกันปรากฏขึ้นในใจของสมาชิกนิกายเงา
ท่าไม้ตายอมตะลำแสงสีแดง!
ท่าไม้ตายอมตะวิหคเพลิงพิโรธ!
ท่าไม้ตายอมตะวิหคเพลิงอมตะ!
ไห่ลั่วหลันบินออกไปเช่นกัน นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะอย่างดุเดือดแต่กลับสร้างความเสียหายให้กับวานรยักษ์ได้เพียงเล็กน้อย
ฟางหยวน อิงอู๋เซี่ย และเทพธิดากระต่ายขาวยังซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลวิญญาณ
‘ท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดแทบไร้ประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตระดับแปด’ ฟางหยวนเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจนในการต่อสู้กับวูหยงและฟงจิวเก้อก่อนหน้านี้
ฟางหยวนมีวิธีการมากมายในการต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปด แต่การสังหารผู้อมตะระดับแปดยังเป็นไปไม่ได้ นอกจากการหลบหนี ฟางหยวนมีเพียงวิธีป้องกันที่โดดเด่น
หากกระทั่งเขายังไม่สามารถทำสิ่งใดก็ลืมสมาชิกนิกายเงาไปได้เลย
มีเพียงท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันของอิงอู๋เซี่ยเท่านั้นที่เป็นภัยคุกคามต่อผู้อมตะระดับแปด
แต่ฟางหยวนจะไม่ใช้มันในครั้งนี้
ประการแรก การต่อสู้กับอสูรปีวอกแรกกำเนิดจะทำให้ทุกคนได้รับประสบการณ์การต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับแปด
ประการที่สอง ด้วยการเอาชนะอสูรปีวอกแรกกำเนิดในการต่อสู้เท่านั้นที่จะทำให้ฟางหยวนสะกดข่มมันได้ด้วยท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยในภายหลัง หลังจากกำหราบมันแล้ว อสูรปีวอกแรกกำเนิดจะเชื่อฟังเขามากขึ้น
“เกือบถึงเวลาแล้ว” หลังจากไม่นานค่ายกลวิญญาณก็ใกล้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์
เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางหยวนบินออกไป
ท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตน!
ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล!
ท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน!
ฟางหยวนกลายเป็นมังกรดาบบรรพกาล แต่ต่อหน้าอสูรปีวอกแรกกำเนิด เขาดูไม่ต่างจากอสรพิษตัวเล็กตัวน้อย
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
ต่อไปฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกฎ
ใหญ่!
ใหญ่ ใหญ่ ใหญ่ ใหญ่…
ร่างของมังกรดาบบรรพกาลขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับอสูรปีวอกแรกกำเนิด
อสูรปีวอกแรกกำเนิดมองฟางหยวนอย่างระมัดระวัง
ฟางหยวนพุ่งเข้าโจมตีวานรตัวนี้โดยตรง
อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของเขายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับอสูรปีวอกแรกกำเนิด
ฟางหยวนมักถูกอสูรปีวอกแรกกำเนิดส่งบินกลับหลังแต่มันก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
นี่เป็นเพราะเกราะหวนคืนสะท้อนพลังโจมตีของมันกลับไป
การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลาหลายชั่วโมง
ฟางหยวนมุ่งเน้นไปที่การโจมตีขณะที่คนอื่นๆช่วนสนับสนุน แม้ท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดจะไม่มีประสิทธิภาพ แต่ความเสียหายของมันก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น
อสูรปีวอกแรกกำเนิดได้รับบาดเจ็บจนถึงจุดที่มันต้องการหลบหนี
มันพยายามกลับไปยังสายธารแห่งกาลเวลาแต่ฟางหยวนปิดกั้นเส้นทางของมันเอาไว้
อสูรปีวอกแรกกำเนิดถูกกีดขวางและไม่สามารถหลบหนี
ในที่สุดฟางหยวนก็ใช้ท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อย หลังจากครั้งที่สาม มันก็ก้มศีรษะยอมจำนนต่อฟางหยวน
อสูรปีวอกแรกกำเนิดถูกกำหราบในที่สุด!
หลังจากสูญเสียอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด ฟางหยวนก็ได้รับพลังการต่อสู้ระดับแปดอีกครั้ง!