เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - บทที่ 1799 ซวนปู่จินตกลงสู่กับดัก
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1799 ซวนปู่จินตกลงสู่กับดัก
ทะเลทรายตะวันตก
ฐานทัพใหญ่ตระกูลฟาง
“พรวด!”
ฟางตี้เฉิงกระอักเลือดออกมาและล้มลงบนพื้น
“ท่านพ่อ!” ฟางหยุนรีบวิ่งเข้าไปสนับสนุน
อาการบาดเจ็บของฟางตี้เฉิงรุนแรงมาก หลังจากเขาตื่นขึ้น เขายังรู้สึกเวียนศีรษะอย่างหนัก
เขาตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตนและเผยรอยยิ้มขมขื่น
สมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือน จิตวิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บ ร่างกายของเขาเรืองแสงสีเขียวและปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางแห่งไม้ออกมา
ฟางตี้เฉิงถอนหายใจและมองไปยังวังขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า
มันคือวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์
“คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะบัวสวรค์ มันไม่มีช่องโหว่ ข้าพยายามอนุมานอย่างจริงจังแต่ยังได้รับผลกระทบย้อนกลับ ข้าประเมินพลังอํานาจของผู้อมตะระดับเก้าต่ําเกินไป ข้ารีบร้อนเกินไป” ฟางตี้เฉิงถอนหายใจ
“ท่านพ่อ สถานการณ์ของตระกูลฟางยังไม่เลวร้ายมากนัก เราสามารถค่อยๆทํามัน” ฟางหยุนปลอบโยน
ฟางที่เฉิงส่ายศีรษะ “แม้สถานการณ์จะมีเสถียรภาพแต่มันยังไม่ดี กองกําลังอื่นหยุดเคลื่อนไหวเพราะการข่มขู่ของเรา แต่พวกเขาจะไม่ยอมแพ้ เราต้องใช้ทุกวินาทีให้มีประโยชน์”
“ทราบแล้ว”
ฟางตี้เฉิงมองวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์และถอนหายใจอีกครั้ง “เห้อ..โชคไม่ดีที่ตระกูลฟางของเราไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งไม้ แกนกลางของวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์เป็นวิญญาณอมตะเส้นทางแห่งไม้ หากข้าได้รับความช่วยเหลือจากผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งไม้ มันจะมีความคืบหน้าเร็วขึ้น”
เนื่องจากสภาพแวดล้อมของทะเลทรายตะวันตก ผู้คนจึงไม่นิยมบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไม้ และเส้นทางแห่งปฐพี
ท่ามกลางห้าภูมิภาค ภาคใต้มีผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไม้มากที่สุด ขณะที่ทะเลตะวันออกมีผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวารมากที่สุด
ฟางหยุนกล่าวหลังจากครุ่นคิด “ตระกูลฟางของเราไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งไม้แต่เรามีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอีกคน”
“เจ้าหมายถึงซวนปูจินเช่นนั้นหรือ?” ฟางตี้เฉิงหรี่ตามอง “เขาขอให้เจ้าแนะนําเขางั้นหรือ?”
ฟางหยุนส่ายศีรษะ “ไม่ ไม่ ข้ากล่าวมันด้วยตนเอง ท่านชวนรู้จินไม่เคยขอร้องข้า แท้จริงแล้วตั้งแต่เขาเข้าร่วมกับตระกูลฟาง เขามักอยู่ข้างนอกและไม่เคยติดต่อกับข้าอีกเลย”
ใบหน้าของฟางตี้เฉิงผ่อนคลายลง “ชวนรู้จินไม่ใช่คนตระกูลฟาง แม้เขาจะเข้าร่วมกับพวกเราแต่เราต้องจําสิ่งนี้เอาไว้”
“ท่านพ่อ ท่านสงสัยความภักดีของท่านซวนจินเช่นนั้นหรือ?” ฟางหยุนเกาศีรษะ
ฟางตี้เฉิงหรี่ตาอีกครั้ง “หากข้าได้รับความช่วยเหลือจากเขา ภารกิจนี้จะมีความคืบหน้าอย่างแน่นอน แต่รู้หน้าไม่รู้ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าสมบัติล้ําค่าเช่นวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ แม้เขาจะไม่แสดงเจตจํานงนี้ออกมา แต่เมื่อเขาอยู่ใกล้ชิดกับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ทั้งกลางวันและกลางคืน มันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะไม่มีความโลภ”
ฟางตี้เฉิงหยุดก่อนถาม “ระยะนี้มีการเคลื่อนไหวของชวนรู้จินหรือไม่?”
ฟางหยุนตอบตามความจริง “ไม่มีการเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตามมีข่าวลือว่าท่านซวนปู่จินเป็นผู้สืบทอดของปีศาจเฒ่าหลี่เฉิน มีข่าวลือว่าตระกูลหว่านจะตรวจสอบเรื่องนี้และยืนยันตัวตนของท่านซวนปู่จิน”
ฟางตี้เฉิงเย้ยหยัน “คนเหล่านี้พยายามใส่ร้ายซวนงูจิน แต่ข้ออ้างของพวกเขาก็มีมูลบางอย่าง อย่างน้อยมันก็สมจริงกว่าข่าวลือก่อนหน้าที่ว่าชวนจินเป็นปีศาจฟางหยวน”
ฟางตี้เฉิงหัวเราะเย้ยหยันโดยไม่รู้เลยว่าข่าวลือก่อนหน้านี้เป็นความจริง
หลี่เฉินเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งปัญญาของตระกูลหว่าน แต่เนื่องจากอุบัติเหตุระหว่างการฝึกฝน เขาสูญเสียตัวตนและกลายเป็นคนบ้า เขาทําให้ตระกูลหว่านพบความสูญเสียครั้งใหญ่ เขายังสังหารผู้อมตะหลายคนของกองกําลังอื่น
เขาทําให้เกิดความโกหลาหลขึ้นในทะเลทรายตะวันตก นั่นทําให้ฝ่ายธรรมะของทะเลทรายตะวันตกร่วมมือกันและพยายามสังหารเขา แต่เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไข
ฟางตี้เฉิงกล่าว “ชวนปู่จินมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่น เขาเข้าใจกลอุบายราคาถูกเหล่านี้ แต่เขาพึ่งเข้าร่วมกับตระกูลฟาง มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนของพวกเรา เราต้องทําให้แน่ใจว่าเขาจะอยู่ในโอเอซิสน้ําค้างสวรรค์ เราไม่สามารถปล่อยให้เขาทําบางสิ่งและเปิดโอกาสให้ศัตรูจับตัวเขา สําหรับอัตลักษณ์ของเขา ตระกูลฟางของเราจะอธิบายเรื่องนี้กับกองกําลังฝ่ายธรรมะของทะเลทรายตะวันตกด้วยตัวเอง”
ทันทีที่เขากล่าวจบประโยค การแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป
ฟางหยุนเร่งถาม “ท่านพ่อ เกิดสิ่งใดขึ้น?”
ใบหน้าของฟางที่เฉิงยิ่งซีดลง “ซวนปู่จินส่งจดหมายมาบอกว่าเขาอนุมานย้อนกลับและพบผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่น่าจะเป็นคนปล่อยข่าวลืออยู่ใกล้ๆ เขากําลังออกไปจับคนผู้นี้”
ฟางหยุนตกตะลึง “อันใด!?”
ตามกฏ ผู้อมตะที่ปกป้องแหล่งทรัพยากรต้องรายงานกองกําลังก่อนเคลื่อนไหว พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวหลังจากกองกําลังอนุมัติเท่านั้น
แต่การกระทําของซวนงูจินกลับตรงข้าม เขาเคลื่อนไหวก่อนรายงาน ไม่ว่าตระกูลฟางจะตกลงหรือไม่ เขาก็ออกไปแล้ว
“หลังจากทั้งหมดเขาก็เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ เขามีธรรมชาติที่ดุร้าย” ฟางตี้เฉิงกัดฟัน ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ เขาไม่สามารถอนุมานได้มากนัก
ฟางตี้เฉิงต้องติดต่อฟางกงและปล่อยให้ฝ่ายหลังจัดการ
ฟางหยุนยังมึนงงเล็กน้อย “สถานการณ์อาจไม่เลวร้ายมากนัก เราอาจไม่ต้องส่งผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งออกไป ท่านชวนชูจินเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เขาต้องอนุมานและมีความมั่นใจก่อนจะเคลื่อนไหว
การแสดงออกของฟางตี้เฉิงกลายเป็นมืดครื้ม “ชวนรู้จินไม่ธรรมดาจริงๆ แต่เขามีความภาคภูมิใจในตนเอง คนอื่นๆสามารถใช้เรื่องนี้วางแผนต่อต้านเขา มันจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายหากกองกําลังอื่นจงใจหลอกล่อและวางกับดักเขา หากเขาถูกจับหรือถูกสังหาร ตระกูลเหล่านั้นจะสา มารถปลอมหลักฐานและใส่ร้ายตระกูลของเรา”
“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความเป็นไปได้ ข้าหวังว่าจะมีเพียงข้าที่มองโลกในแง่ร้าย สิ่งสําคัญกว่านั้นคือตระกูลฟางของเราไม่สามารถทําเรื่องผิดพลาดในช่วงเวลาสําคัญนี้”
ฟางหยุนเข้าใจในที่สุด “มันไม่ควรจะร้ายแรงขนาดนั้นใช่หรือไม่?”
แต่ความจริงก็คือมันร้ายแรงขนาดนั้น
เมื่อฟางหยวนพบผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของตระกูลหว่าน หว่านเหลียงฮันแสดงออกอย่างผ่อนคลาย “ซวนซูจิน เจ้ามาถึงในที่สุด ข้ารอมาสักพักแล้ว”
ทันทีที่เขากล่าวจบประโยค เขตแดนอมตะที่ถูกเตรียมไว้ก็เริ่มทํางานและกักขังฟางหยวนเอาไว้ภายใน
“กับดักงั้นหรือ?” ฟางหยวนในร่างซวนปู่จินเย้ยหยัน ดวงตาของเขาส่องประกายขึ้นเมื่อเขาเห็นผู้อมตะสามคนเดินเข้ามา
ทั้งสามเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด
คนแรกสูงและผอม เขาสวมชุดสีเขียวและมีลมหมุนอยู่รอบตัว เขาคือหว่านเสี่ยว เขากล่าว ด้วยความมั่นใจ “ชวนรู้จิน เจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาได้อย่างไร? เจ้ากระโดดเข้ามา ในกับดักของพวกเราอย่างง่ายดาย”
คนที่สองคือหว่านห่าวกวง ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเกราะแสงที่ปลดปล่อยความร้อนสูงออกมา “ชวนจิน หากเจ้ายังมีสติก็ยอมให้พวกเราจับกุมแต่โดยดี ร่วมมือกับตระกูลหว่านของเราและเปิดเผยตระกูลฟาง เราจะไม่สร้างความยากลําบากให้เจ้าและจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนแขกผู้มีเกียรติ”
คนที่สามเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาชื่อหว่านเหลียงฮัน เขามีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างน่าเกลียดแต่ตอนนี้เขากําลังยิ้ม “สหายชวนชูจิน ในฐานะผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าควรเข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบัน แม้วันนี้เจ้าจะรอดไปได้ แต่ปัญหามากมายจะพุ่งเข้ามาหาเจ้าอย่างไม่รู้จบสิ้น เจ้าไม่ควรอยู่ในตระกูลฟาง”
ฟางหยวนเย้ยหยันและแสดงออกด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยม
สามผู้อมตะตระกูลหว่านคิดว่าพวกเขาสามารถวางแผนจับกุมซวนงูจิน แต่พวกเขาไม่คิดว่าฟางหยวนจะกลับมาจากภาคใต้เพื่อจัดการพวกเขาโดยเฉพาะและสร้างความวุ่นวายขึ้นในทะเลทรายตะวันตก
ช่วงเวลาที่ผ่านมาหว่านเหลียงฮันอนุมานเกี่ยวกับฟางหยวนซ้ําแล้วซ้ําอีก ฟางหยวนต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะราชันภูตตลอดเวลา สิ่งนี้ทําให้รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาลดลง มันค่อนข้างน่ารําคาญ ดังนั้นเขาจึงต้องกําจัดสิ่งที่น่ารําคาญนี้ทิ้งไป
ฟางหยวนปล่อยอสูรวิญญาณออกมาทันที
กองทัพอสูรวิญญาณเดียวดายและอสูรวิญญาณบรรพกาลทําให้ผู้อมตะตระกูลหว่านตกตะลึง
เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เขาสามารถควบคุมอสูรวิญญาณจํานวนมากเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ไม่ว่าเจ้าจะนําอสูรวิญญาณออกมามากเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์ในเขตแดนนี้!” หว่านเสี่ยวส่งพายุหมุนพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน
กองทัพอสูรวิญญาณของฟางหยวนถูกผลักดันเล็กน้อยแต่จํานวนของพวกมันยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เขามีอสูรวิญญาณมากมายเพียงใด?” ผู้อมตะตระกูลหว่านตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่า ซวนงูจินเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา แต่เขากลับสามารถควบคุมกองทัพอสูรวิญญาณขนาดใหญ่ เขาละเลยเส้นทางหลักของตนมากเกินไปหรือไม่
หลังจากนั้นฟางหยวนเริ่มกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายเพื่อป้องกันพายุหมุน นี่ทําให้ความตกใจของผู้ อมตะตระกูลหว่านลดลงเล็กน้อยเพราะมันเป็นท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งปัญญา
“ข้าจะโจมตีเขา!” หว่านห่าวกวงตะโกน
“ไป เราจะปกป้องเจ้า” หว่านเหลียงฮันเห็นด้วย
หว่านห่าวกวงแสดงความเหนือชั้นของเส้นทางแห่งแสงออกมาและสามารถเคลื่อนที่ผ่านกองทัพอสูรวิญญาณอย่างรวดเร็ว
ทุกครั้งที่ฟางหยวนระดมกองทัพอสูรวิญญาณเพื่อปิดล้อมเขา หว่านเหลียงฮันและหว่านเสี่ยวจะใช้ท่าไม้ตายอมตะปกป้องหว่านห่าวกวง
ด้วยการประสานงานที่ยอดเยี่ยม หว่านห่าวกวงจึงสามารถบุกทะลวงเข้าไป
การแสดงออกของฟางหยวนยังไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เขาปล่อยอสูรวิญญาณอีกสี่ตัวออกมา
“อา…” หว่านห่าวกวงหยุดเคลื่อนที่ชั่วคราวและอุทานออกมาด้วยความตกใจ “อสูรวิญญาณแรกกําเนิด!”
หว่านเหลียงฮันและหว่านเสี่ยวกลายเป็นมีนงง ทั้งสองกรีดร้องด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “สี่ตัว?”