เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - บทที่ 1804 จิตวิญญาณเดียวดาย
บทที่ 1804 จิตวิญญาณเดียวดาย
มิติช่องว่างจักรพรรดิ
ค่ายกลวิญญาณอมตะถูกจัดตั้งขึ้นอย่างพิถีพิถัน มันปล่อยแสงที่มืดมิดออกมาและทําให้มันดูน่าขนลุก
ฟางหยวนตรวจสอบค่ายกลหลายครั้งและรู้สึกพึงพอใจ “ค่ายกลนี้ถูกดัดแปลงมาจากท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ มันมีความเสถียรมากกว่าท่าไม้ตายและสามารถควบคุมได้ง่ายกว่า”
นี่เป็นวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณที่ถูกบันทึกไว้ในมรดกที่แท้จริงของนิกายเงา มันจะช่วยยกระดับรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณจากจิตวิญญาณมนุษย์สู่จิตวิญญาณเดียวดาย
หลังจากจัดเตรียมทุกสิ่ง ฟางหยวนส่งดวงวิญญาณของเขาเข้าสู่ค่ายกล
เมื่อดวงวิญญาณของเขาเข้าสู่จุดศูนย์กลางของค่ายกล มันถูกบดขยื้อย่างรุนแรง
หมอกหนาทึบ
วงวิญญาณของฟางหยวน หลังจากหลายชั่วโมงหมอกก็เริ มบางเบาลงก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์
ดวงวิญญาณของฟางหยวนยังอยู่ที่เดิมแต่มันดูแข็งแกร่งขึ้น
‘นี่คือจิตวิญญาณเดียวดาย’
ฟางหยวนตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงอยู่ภายใน
รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณระดับจิตวิญญาณเดียวดายทําให้ดวงวิญญาณของพวกเขาสามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรเดียวดายได้โดยตรง
ด้วยความตั้งใจของฟางหยวน ดวงวิญญาณของเขาบินออกจากค่ายกลวิญญาณอมตะ
ฟางหยวนเตรียมการไว้แล้ว สัตว์อสูรเดียวดายถูกขังอยู่ไม่ไกล
สัตว์อสูรเดียวดายที่พึ่งได้รับอิสรภาพเห็นดวงวิญญาณที่อยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์บินเข้าไปหามัน
มันคํารามก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีดวงวิญญาณของฟางหยวนด้วยความดุร้าย
ดวงวิญญาณของฟางหยวนบินขึ้นไปด้านบนเพื่อหลบเลี้ยงสัตว์อสูรเดียวดายในวินาทีสุดท้าย จากนั้นเขาก็ฟาดขาขวาลงบนศีรษะของสัตว์อสูรเดียวดายราวกับขวาน
“ปัง!”
สัตว์อสูรเดียวดายที่มีร่างกายเท่าเนินเขาล้มลงและได้รับบาดเจ็บ
“อีกครั้ง!” ดวงวิญญาณของฟางหยวนไล่ล่าและทุบตีมัน
หลังจากถูกทุบตีสักพัก สัตว์อสูรเดียวดายเริ่มส่งเสียงครวญครางและพยายามหลบหนี
ดวงวิญญาณของฟางหยวนไม่ได้ไล่ล่า
‘ดวงวิญญาณของข้ามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับสัตว์อสูรเดียวดายจริงๆ’
‘เพิ่มเติมด้วยทักษะการต่อสู้ของข้า สัตว์อสูรเดียวดายไม่ใช่คู่แข่งของข้าในการต่อสู้ตัวต่อตัว’
‘อย่างไรก็ตามดวงวิญญาณของข้าไม่สามารถบินทะลุสิ่งของได้อีกต่อไป นอกจากนั้นข้ายังต้องพึ่งพาวิญญาณหากต้องการบิน’
อสูรวิญญาณบางชนิดบินได้แต่บางชนิดก็บินไม่ได้
ดวงวิญญาณของมนุษย์เป็นประเภทที่ไม่สามารถบิน กระทั่งเทพปีศาจจิตวิญญาณก็ยังไม่สามารถบินได้โดยตรง
‘ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของข้าเพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว ตอนนี้มันทะลุหนึ่งหมื่นไปแล้ว’
นี่เป็นเพราะฟางหยวนใช้ภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ หากเขาใช้วิธีอื่น เขาจะไม่ได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า
ร่างกายเป็นภาชนะบรรจุร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ ดวงวิญญาณก็เช่นกัน
ไม่เพียงร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ แต่เส้นทางอื่นก็สามารถทํา
ตัวอย่างเช่น ผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เซี่ยชา นางสามารถจัดเตรียมการป้องกันไว้ในดวงวิญญาณของนาง นั่นทําให้ดวงวิญญาณของนางถูกปกคลุมไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งกาลเวลาจํานวนมาก
ในช่วงเวลานี้ร่างแยกบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของฟางหยวนยังมุ่งเน้นที่การอนุมานขณะที่ร่างหลักของเขาเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับร่างแยกมนุษย์มังกร
แม้ร่างแยกมนุษย์มังกรจะถูกสร้างขึ้นโดยตัวเขาเองแต่มันยังมีประโยชน์ที่จะทําวิจัย
รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของร่างแยกมนุษย์มังกรอยู่ในระดับสามสิบล้านคน
เดิมที่ดวงวิญญาณแยกของฟางหยวนอยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ แต่หลังจากมันหลอมรวมกับร่างแยกมนุษย์มังกร มันค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์มังกรเช่นเดียวกับร่างกายภาพของมัน
นอกจากนั้นรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของร่างแยกมนุษย์มังกรยังตกลงอย่างมาก
ฟางหยวนสร้างร่างแยกมนุษย์มังกรขึ้นมาเพื่อแย่งชิงคฤหาสน์วิญญาณอมตะวังมังกร
หลังจากดวงวิญญาณของร่างแยกมนุษย์มังกรเปลี่ยนรูปลักษณ์ มันก็กลายเป็นมนุษย์มังกรที่สมบูรณ์แบบในที่สุด
ในความเป็นจริงเมื่อฟางหยวนได้รับร่างทารกอมตะ ดวงวิญญาณของเขายังไม่เหมาะสมกับร่างกาย เขาต้องใช้เวลานานก่อนที่ดวงวิญญาณของเขาจะสามารถหลอมรวมกับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
มนุษย์มังกรเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ขณะที่มนุษย์กลายพันธุ์แต่ละประเภทมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน
หินมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งปฐพี มนุษย์หิมะมีร่องรอยของพลัง งานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งหิมะและน้ําแข็ง มนุษย์ขนมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งการหลอมรวม มนุษย์เงือกมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งวารี และมนุษย์มังกรมีร่องรอยของพลังเต๋บนเส้นทางแห่งทาสตั้งแต่กําเนิด
มนุษย์มังกรมีความเชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งทาส พวกเขาคือราชาโดยธรรมชาติที่สา มารถปกครองสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
ตามการอนุมานของฟางหยวน ด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งทาส โครงสร้างสังคมของเผ่ามนุษย์มังกรจะเข้มงวดกว่าเผ่าพันธุ์อื่น
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากอิทธิพลภายนอกแต่มันเป็นเพราะตัวตนของมนุษย์มังกรเอง
ฟางหยวนรู้สึกว่าร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งทาสมีความสําคัญต่อมนุษย์มังกรมากกว่าอิทธิพลภายนอก
เผ่ามนุษย์มังกรมักจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สิ่งนี้ไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์อื่น
เส้นทางแห่งทาสมีความเชี่ยวชาญด้านการลดพลังการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม หากมีความสําเร็จระดับหนึ่ง พวกเขาจะสามารถต่อสู้กับศัตรูจํานวนมากหรือเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าด้วยตัวเอง
มีเส้นทางไม่กี่สายที่มีคุณสมบัติพิเศษในการต่อสู้เพื่อเอาชนะศัตรูจํานวนมากหรือศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ตัวอย่างเช่นเส้นทางแห่งทาสและเส้นทางแห่งค่ายกล
ฟางหยวนเคยใช้วิธีบนเส้นทางแห่งทาสในการต่อสู้แย่งชิงตําแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือ เขายังเคยใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะจับผู้อมตะภาคใต้เมื่อไม่นานมานี้
ฟางหยวนตระหนักถึงจุดหนึ่ง “ไม่แปลกใจเลยที่วังมังกรสามารถกดขี่ตี้จางเฉิง คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้เป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งทาส!”
ฟางหยวนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับวังมังกรมากนัก นอกจากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดไปหนิงปิงจึงกลายเป็นเจ้าของวังมังกรในชีวิตก่อนหน้า
แต่มันไม่สําคัญ
“ต่อให้ร่างแยกมนุษย์มังกรของข้าไร้ประโยชน์ ข้าก็ยังมีไป่หนิงปิง”
ร่างแยกมนุษย์มังกรยังเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งเท่านั้น ขั้นตอนหลังจากนี้คือการนํามันก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะบนเส้นทางแห่งทาส
ฟางหยวนปิดผนึกร่างแยกกายาแห่งความฝันของเขาไว้แล้วแต่ดวงวิญญาณแยกยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับร่างกาย
ร่างแยกทั้งสองมีรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณแต่มันอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น พวกมันไม่สามารถบรรลุระดับจิตวิญญาณเดียวดายเหมือนร่างหลักของฟางหยวน
เหตุผลเป็นเพราะร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ที่แตกต่างกันจะเกิดการต่อต้านกัน มันไม่เหมือนร่างทารกอมตะ
“ข้าจะฝึกฝนอีกสักพักก่อนจะเริ่มโจมตี” ดวงตาของฟางหยวนลุกไหม้ขึ้นด้วยความคาดหวัง
ในวังสวรรค์ เทพธิดาจื่อเว่ยได้รับข้อความบางอย่าง นั่นทําให้คิ้วที่ขมวดของนางคลายลงเล็กน้อย
“ดี ปีศาจอมตะเซี่ยหูยอมรับข้อเสนอขององค์ชายฟงเซี่ยนและรับความช่วยเหลือทางการเงินจากพวกเรา!”
ถ้ําสวรรค์นิรันดรต้องการรวบรวมผู้อมตะของภาคเหนือ ดังนั้นมันจึงเกิดการเผชิญหน้าครั้งใหญ่กับผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะ
เทพธิดาจื่อเว่ยวางแผนและส่งองค์ชายฟงเซี่ยนกลับภาคเหนือเพื่อโน้มน้าวปีศาจอมตะเซี่ยหู
แรกเริ่มปีศาจอมตะเซี่ยหูไม่เต็มใจแต่ภายใต้การชักจูงของภรรยา เขาจึงต้องร่วมมือกับวังสวรรค์แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
“แม้ความร่วมมือในปัจจุบันจะค่อนข้างจํากัด แต่มันจะไม่เหมือนเดิมในอนาคต” เทพธิดาจื่อเว่ยเผยรอยยิ้มมั่นใจ
ภาคเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทะเลทรายตะวันตกเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ภาคกลางไม่มีเหตุการณ์สําคัญใดเป็นพิเศษ กองกําลังใหญ่ของทะเลตะวันออกสา มารถแบ่งปันผาสวรรค์ ขณะที่วังสวรรค์พยายามสร้างปัญหาให้กับทุกฝ่ายและค้นหาวังมังกรอย่างลับๆ
“สําหรับภาคใต้” รอยยิ้มของเทพธิดาจื่อเว่ยหายไป
สถานการณ์ของภาคใต้ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของนาง
กองกําลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ถูกฟางหยวนข่มขู่ เทพธิดาจื่อเว่ยไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ ในเวลาเดียวกันกองกําลังพันธมิตรภาคใต้ก็ถือกําเนิดขึ้นแล้ว ตําแหน่งผู้นํากองกําลังพันธมิตรยังว่างเปล่า แต่หอคอยดวงประทีปถูกสร้างขึ้นทุกหนทุกแห่ง
สถานการณ์เหล่านี้เป็นข่าวร้ายสําหรับวังสวรรค์
“นอกจากนี้ยังมีฟางหยวน เขาจับผู้อมตะภาคใต้จํานวนมากและรีดไถทรัพยากรอมตะจํานวนนับไม่ถ้วน เขายังมีผู้อมตะเผ่ามนุษย์ทั้งหมดของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา…”
เทพธิดาจื่อเว่ยให้ความสนใจเกี่ยวกับฟางหยวนอย่างใกล้ชิด
แต่นางยังหาฟางหยวนไม่พบ
เทพธิดจื่อเว่ยรู้สึกกดดันมาก นางต้องการให้ฟางหยวนก่อเหตุจลาจลและอาละวาดไปทุกหนทุกแห่งแต่เขาไม่ได้ทําเช่นนั้น
ปัจจุบันนางไม่ได้ยินข่าวใดๆเกี่ยวกับฟางหยวนเลย
“ฟางหยวนกําลังทําสิ่งใดอยู่?”
“ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมากเพียงใด?”
“เขาจะปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อใดและที่ไหน?”
คําถามสุดท้ายไม่ได้รบกวนจิตใจของเทพธิดาจื่อเว่ยนานนัก
ประมาณครึ่งเดือนต่อมานางก็ได้รับข้อมูลบางอย่าง
ฟางหยวนปรากฏตัวขึ้นในสายธารแห่งกาลเวลาและต่อสู้กับสี่ขุนจือ
เขาไม่ได้มาเพียงผู้เดียวแต่เขานําคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดมาด้วย!