เทพสงครามอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 10
บทที่ 10 เซ่นไหว้
บนใบหน้าของเย่เทียนไม่มีความรู้สึกใดใด พยุงหวังซิ่วเหลียนขึ้นมา ดวงตาก็จ้องหูเหยียนตาโต
“อาขุย ทำลายให้หมด!”
“ทราบ!”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา ทุกคนรู้สึกเพียงว่ามีลมหนาวพัดผ่าน
จากนั้นภาพตรงหน้าก็พร่าเบลอ
เวลาเพียงชั่วพริบตา อาขุยยังคงยืนอยู่ที่เดิม ราวกับร่างกายโยกไหวอยู่แค่แวบเดียว
จากนั้นลูกสมุนหลายคนที่หูเหยียนพามาก็ล้มลงบนพื้น
ไม่ขยับแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เงียบสงัด!
เงียบเหมือนตาย!
นอกจากเย่เทียนแล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ล้วนเบิกตากว้างกันหมด
สายตาที่มองหลินขุยราวกับมองสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
เย่จิ้งซานอ้าปากกว้าง นิ่งค้างราวกับไร้วิญญาณ
ในตอนนั้นเขาโดนสองในสี่คนนี้ร่วมมือกันทำร้ายจนบาดเจ็บ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าตอนนั้นตระกูลหูยังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง เขาคงหนีไม่พ้นความตายแน่ ๆ
แต่ตอนนี้สี่คนนี้ร่วมมือกัน นึกไม่ถึงว่าจะโดนชายร่างใหญ่คนนี้สังหารอย่างง่ายดายภายในชั่ววินาที
กำลังของคนคนนี้แข็งแกร่งถึงระดับไหนกันนะ?
หลังจากอุทานด้วยความตกใจแล้วก็คิดขึ้นมาอีกที
คนคนนี้มีกำลังมากขนาดนี้กลับเชื่อฟังเย่เทียนทุกอย่าง เคารพนบนอบถึงเพียงนี้
เช่นนั้น กำลังของเย่เทียน ก็ยิ่งแข็งแกร่งไปถึงระดับไหนกันนะ?
ฐานะของเย่เทียนจะสูงส่งถึงระดับไหน?
พอคิดแบบนี้แล้วสายตาที่ทุกคนมองไปที่เย่เทียนก็เปลี่ยนแปลงไป
“แก แกเป็นใคร ทางที่ดีอย่าแส่ให้มาก ล่วงเกินตระกูลหูของฉันไม่มีผลดีกับแก”
หูเหยียนสับสนยากที่จะพูด ไม่กล้าสบตากับเย่เทียน
ถึงแม้ลูกสมุนสี่คนนั่นจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล แต่ไม่อ่อนแออย่างแน่นอน
แต่กลับโดนฆ่าตายชั่ววินาทีง่ายดายเช่นนี้
สองคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เย่เทียนเงยหน้าขึ้น เดินเข้าไปทางโลงศพ
หูเหยียนกลืนน้ำลาย พอสำนึกได้ก็ถอยหลังไปหลายก้าว
ความรู้สึกที่เย่เทียนส่งมาให้เขาราวกับภูเขาลูกหนึ่งทับอยู่บนหัว
“ตระกูลหู กล้าไม่น้อยเลย!” เย่เทียนมีน้ำเสียงไม่ใส่ใจ แต่ในหูของหูเหยียนที่ได้ยินนั้นกลับเป็นราวกับเสียงฟ้าร้อง
“ของสิ่งนี้คุณอาของผมไม่มีวาสนาจะได้ใช้ ถ้าหากว่าผู้นำตระกูลของพวกคุณอยากได้ วันหลังผมจะส่งไปให้เขาโลงหนึ่ง”
ว่าแล้วมือขวาก็โบกไปที่โลงศพเบา ๆ ปล่อยพลังลับออกมา
แอ๊ด… โครม!
เพียงชั่ววินาที โลงศพก็แตกออกในพริบตา ร่วงลงเป็นเศษบนพื้นดังพลั่ก
ไม่มีลางบอกเหตุใดใด!
เฮือก!
ทั้งบ้านมีเพียงเสียงสูดลมหายใจ
ถ้าหากพลังของหลินขุยเมื่อกี้ทำให้ทุกคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ
งั้นหนึ่งฝ่ามือของเย่เทียนนี้ก็เหนือความคาดหมายจริง ๆ
เพียงแค่โบกมือครั้งเดียวก็สามารถทำให้โลกศพแตกหักได้
ถ้าหากลงมือจริง ๆ ละก็ ใครจะเป็นคู่ประให้เขาได้?
เย่น่าช็อกจนเรียกสติกลับมาไม่ได้ ปิดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เธอนึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าพี่เสี่ยวเทียนที่ร่างกายอ่อนแอผอมบางมาโดยตลอด ในวันนี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้
หวังซิ่วเหลียนอ้าปากกว้าง พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
เธออยู่ใกล้กับเย่เทียนมากที่สุด ตอนนี้รู้สึกเพียงหายใจไม่สะดวก
นี่ยังเป็นสวะที่เธอเรียกไม่ขาดปากอยู่แต่ก่อนหรือเปล่านะ?
อู๋ทงหลบอยู่หลังคนอื่นเงียบ ๆ เช็ดเหงื่อเย็น ๆ ไม่หยุด แทบอยากจะมุดดินออกไป
ให้คนที่เก่งขนาดนี้มาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยให้เขา? นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกเหรอ?
เขายินดีเหลือเกินที่ตัวเองยังอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้
มีเพียงแค่เย่จิ้งซานที่สายตาเต็มไปด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ
เขารู้อยู่แล้วว่าเย่เทียนไม่ได้เป็นสวะแน่ ๆ
ลูกชายของคุณนายหลินจะต้องเก่งเหนือใคร
ในเวลาเดียวกันกับที่ตื่นเต้น ในใจก็มีความไม่แน่ใจอยู่นิด ๆ
สิบกว่าปีมานี้เย่เทียนไปเจออะไรมากันแน่?
“นี่ นี่…”
หูเหยียนมองเศษโลงศพที่อยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอย เหงื่อเม็ดใหญ่เท่าถั่วร่วงลงมาจากหน้าผาก
นี่มันเป็นพลังที่มนุษย์สามารถมีได้จริง ๆ เหรอ?
“กลับไปบอกกับตระกูลหูว่าถ้ากล้ามาสร้างความวุ่นวายอีก ตระกูลหูก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องคงอยู่ต่อไปแล้ว”
รุนแรงมาก รุนแรงโดยสมบูรณ์
นอกจากสี่ตระกูลใหญ่แล้ว ในหรงเฉิงก็มีแค่เย่เทียนคนเดียวที่กล้าพูดประโยคนี้
“แก แก ถือว่าแกแน่ แน่จริงก็บอกชื่อแกมาสิ”
เสียงที่พูดออกมาของหูเหยียนกำลังสั่น ข่มความกลัวไว้ข้างใน
“เย่เทียน ตระกูลเย่!”
เย่เทียน? ลูกบุญธรรมของเย่จิ้งซานเมื่อสิบกว่าปีก่อน?
หูเหยียนขมวดคิ้ว แต่กลับเห็นเย่เทียนมองมาที่เขาอย่างดุร้าย
“ไสหัวไป!”
“คำคำเดียวทำให้หูเหยียนหนาวไปทั้งร่าง หันหลังหนีไป”
จนใกล้จะถึงประตูกลับหยุดฝีเท้าไว้กะทันหัน ยิ้มอย่างเยือกเย็นขึ้นมา
“เย่เทียน เย่จิ้งซาน อย่ามาโทษว่าฉันไม่เตือนพวกแก ภูเขาซิ่วเสว่เป็นที่ที่ตระกูลสวีเอ่ยปากว่าจะเอา ควรจะทำอย่างไรพวกแกน่าจะเข้าใจที่สุด”
พูดจบก็กลัวว่าเย่เทียนจะโมโหขึ้นมาอีก จึงวิ่งหายวับไปกับตา
ตระกูลสวี?
ใบหน้าของเย่จิ้งซานกับหวังซิ่วเหลียนก็ยิ่งขาวซีดมากขึ้น
ตระกูลหูที่เป็นตระกูลอันดับสองตระกูลเดียวก็ก่อกวนตระกูลเย่จนเดือดร้อนกันไปหมด
ถ้าหากยังล่วงเกินตระกูลสวีอีก ตระกูลเย่คงแทบจะโดนสาปแช่งไปชั่วนิรันดร์
แขกทุกคนมองไปยังครอบครัวของเย่จิ้งซานด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
อู๋ทงยิ่งหนีไปไกลแทบไม่ทัน
ล่วงเกินตระกูลสวีเพื่อสุสานเดียวดายสุสานเดียว
คุ้มค่าเหรอ?
มีแค่เย่เทียนเท่านั้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
เห็นเขาหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เดินสองก้าวมาอยู่ตรงหน้าของเย่จิ้งซาน
ตุบ!
ดูเหมือนว่าพื้นดินจะสั่นสะเทือน เย่เทียนคุกเข่าอย่างไม่ลังเลอยู่ตรงหน้าเย่จิ้งซาน
ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นตำนานของวงการทหารอีกต่อไป ไม่ได้เป็นเทพสงครามหลิงเทียนอีกต่อไป
เป็นเพียงแค่ลูกบุญธรรมของเย่จิ้งซาน ทายาทของหลินซิ่วเสว่เท่านั้น
“เย่เทียนขอบพระคุณคุณอาที่ปกป้องสุสานเดียวดายของแม่ของผมครับ”
ประโยคขอบคุณสั้น ๆ รวมหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้มากมาย
เย่น่ากับหวังซิ่วเหลียนสั่นสะเทือนเพื่อสิ่งนี้ด้วยกันทั้งคู่!
มีศักยภาพขนาดนี้ยังรู้จักสำนึกบุญคุณ
ไม่พูดไม่ได้เลยว่าเย่เทียนคนนี้ไม่ใช่คนที่คนอย่างอู๋ทงจะเทียบได้เลย
“เสี่ยวเทียน เจ้าทำอะไรน่ะ รีบลุกขึ้นมา!”
เย่จิ้งซานน้ำตาไหล รีบพยุงเย่เทียนให้ลุกขึ้น
“เจ้าโตแล้ว เป็นคนที่ทำเรื่องยิ่งใหญ่ จะคุกเข่าลงง่าย ๆ ได้อย่างไร?”
เย่เทียนส่ายศีรษะ “คุณอาเอาที่ไหนมาพูดครับ ผมเป็นคนที่ท่านเลี้ยงจนโตมากับมือ การคุกเข่าครั้งนี้ท่านสามารถรับไว้ได้”
เย่จิ้งซานนิ่ง จากนั้นก็พยักหน้าหนัก ๆ เขา…มองคนไม่ผิดจริง ๆ
หลินขุยมองเย่เทียนด้วยสายตาที่เคารพบูชามากกว่าเดิม!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเคารพนบนอบเย่เทียนอย่างถึงที่สุด นอกจากศักยภาพของเย่เทียนแล้ว ยังมีอุปนิสัยการเป็นมนุษย์ของเขาอีกด้วย
บนโลกนี้คนที่สามารถรับการคุกเข่าจากคุณท่านได้ ก็มีเพียงแต่เย่จิ้งซานคนเดียวเท่านั้น
“คุณอาวางใจเถอะครับ ผมจะจัดการเรื่องภูเขาซิ่วเสว่เอง นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านรีบไปพักผ่อนเถอะครับ”
พูดจบเขาก็พาหลินขุยเดินออกไปด้านนอก
เย่จิ้งซานรีบตามไปส่ง หวังซิ่วเหลียนกับเย่น่าตามอยู่ด้านหลัง
“เสี่ยวเทียน ที่นี่ก็เป็นบ้านของเจ้าเหมือนกัน เจ้าจะต้องกลับมาเยี่ยมบ่อย ๆ นะ”
เย่เทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณอาวางใจได้ ผมจะอยู่ที่หรงเฉิงอีกพักหนึ่ง จะมาบ่อย ๆ ครับ อาสะใภ้ เสี่ยวน่า พวกคุณรีบพักผ่อนเถอะ”
พูดจบก็นั่งรถจี๊ปค่อย ๆ หายไปจากที่ไกล ๆ
เย่น่ามองรถค่อย ๆ จากไปไกลอย่างเหม่อลอย ในใจเกิดความรู้สึกโหวงขึ้นมา
“คุณท่านครับ จัดการคฤหาสน์เทียนเชว่ไว้เรียบร้อยแล้วครับ ท่านสามารถเข้าพักได้ตลอดเวลา”
คฤหาสน์เทียนเชว่ เขตคฤหาสน์ที่หรูหราที่สุดในหรงเฉิง แม้แต่ตระกูลสวีก็ไม่มีสิทธิ์มาเข้าพัก
เย่เทียนส่ายศีรษะ “ไปภูเขาซิ่วเสว่ก่อน!”
“ทราบ!”
ภูเขาซิ่วเสว่ตั้งอยู่ที่ฝั่งเหนือของเมืองหรงเฉิง เขตพัฒนาใหม่ก็กำหนดไว้ที่นี่
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ยอดเขาเล็ก ๆ แต่กลับครอบครองพื้นที่ไม่น้อย ตำแหน่งที่ตั้งก็ไม่เลว จะถูกคนหมายตามองก็เป็นแค่เรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น
เย่เทียนมองเห็นเส้นทางภูเขาที่คุ้นเคยจากที่ไกล ๆ กว้างกว่าเมื่อก่อนไม่น้อยเลย ต้นแปะก๊วยที่เรียงรายอยู่สองแถวด้านข้าง ๆ ก็เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์
เมื่อสิบกว่าปีก่อน เย่จิ้งซานจะพาเขาไปเซ่นไว้แม่ของเขาด้วยถนนเส้นนี้ทุก ๆ เดือน
ผ่านไปแวบเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปเป็นสิบปีแล้ว!
เห้อ! น่าทอดถอนใจเช่นนี้!
“คุณท่านครับ พวกเราถึงกันแล้วครับ!”
รถหยุดลงแล้ว หลินขุยเปิดประตูให้กับเย่เทียน
เย่เทียนถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดินไปทางสุสานเดียวดายที่อยู่ไม่ไกลทีละก้าว ๆ
หลินขุยไม่ได้ตามมาด้วย เขายืนตัวตรง ก้มศีรษะไว้อาลัย