เทพสงครามอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 11-12
บทที่11 ศักดิ์ศรีของคุณชาย เหยียบย่ำไม่ได้
“หลุมศพของแม่ผู้เป็นที่รัก หลินซิ่วเสว่!”
คำไม่กี่คำ แต่เต็มไปด้วยความทรงจำและความเสียใจของเย่เทียนอย่างมาก
ในความทรงจำ ตอนที่อายุเพียง 3-4 ขวบ ในขณะที่ต้องหนีไปทั่วสารทิศตามคุณแม่
ความหมดหวังและหมดหนทางของคุณแม่ เหมือนกับว่ายังคงอยู่ในสายตา
ในตอนนั้น เย่เทียนไม่เข้าใจ
คนอื่นมีบ้าน ทำไมเขาไม่มี
คนอื่นมีพ่อ ทำไมเขาไม่มี
คนอื่นไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ ทำไมเขากลับต้องเร่ร่อนใช้ชีวิตลำบาก
เย่เทียนเคยถามคุณแม่ แต่ไม่ได้คำตอบ
แม้กระทั่งพ่อของตัวเองเป็นใครก็ยังไม่รู้
สิ่งเดียวที่ชัดเจนก็คือ เย่เทียน เพียงสองคำนี้
จนถึงตอนที่อายุ 4 ขวบ คุณแม่เสียชีวิตด้วยอาการป่วย เย่เทียนเหมือนจะเข้าใจแล้ว!
ทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดจากการโต้เถียงกันเรื่องอำนาจ
เกิดจากศักดิ์ศรีที่ดื้อด้านของคนที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า!
ก่อนที่คุณแม่จะเสีย มีความหวังว่าเย่เทียนจะเป็นแค่บุคคลธรรมดา
เพราะว่าคนที่ตามฆ่าพวกเขาสองแม่ลูกนั้นมีอำนาจมาก มากจนทำให้รู้สึกว่าหมดหวัง
และยิ่งไม่อยากให้ความแค้นของรุ่นก่อนมาฉายซ้ำอีก
แต่เย่จิ้งซานกลับคอยบอกกับเขาตลอดว่า
“เย่เทียน จำไว้นะ ตัวตนของแม่นายไม่ธรรมดามาก สามารถกดดันเธอจนถึงจุดนี้ได้ อำนาจของอีกฝ่ายฉันเองก็ไม่อาจคาดถึง อยากแก้แค้นให้กับแม่ของนาย นายก็จะต้องมีอำนาจและเป็นคนที่เหนือกว่าผู้คน มีอำนาจที่ผู้คนไม่อาจคาดถึง”
“ไม่อย่างนั้น ความเสียใจนี้ นายทำได้แค่เพียงเก็บซ่อนไว้ตลอดชีวิต สุดท้ายก็พามันเข้าพร้อมกับโลงศพ”
“และฐานะตัวตนของนาย นายทำได้เพียงแค่ตามหามันเอง!”
“เย่เทียน คุณนายหลินหวังว่านายจะเป็นคนธรรมดา แต่ฉันเชื่อว่า เธอจะต้องไม่พอใจ รวมทั้งนายเองก็ไม่พอใจเช่นกัน!”
“ไปเถอะ บางทีในกองทัพอาจจะเหมาะกับนาย! ไปเถอะ…”
เย่เทียนจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะเข้าร่วมกองทัพ!
ไปครั้งนี้ ก็นานกว่าสิบปี!
ในวันนี้ เย่เทียนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงเลื่องลือ
แต่ก็ยังสืบหาคนที่ไล่ฆ่าพวกเขาแม่ลูกไม่ได้เลย รู้เพียงแค่ว่า อีกฝ่ายอยู่เมืองจิงตู มีลูกน้องมากมาย
“แม่ครับ ลูกไม่กตัญญูเอง!”
สิบปี ถึงแม้เย่จิ้งซานจะคอยมาทำความสะอาดหลุมศพบ่อยครั้ง แต่เนินดินก็ยังมีพวกวัชพืชอยู่มากมาย
เย่เทียนรู้ ว่าคุณแม่ไม่พอใจ ไม่พอใจที่เร่ร่อนใช้ชีวิตลำบาก ไม่พอใจที่ต้องตายไปอย่างนั้น
“ลูกขอสัญญา จะต้องหาคนร้ายมาให้ได้! หนี้แค้นเลือดนี้ จะต้องมีเลือดมาชดใช้!”
เย่เทียนคุกเข่าสองข้าง แผ่นหลังยืดตรง เหมือนดั่งรูปปั้นแข็งทื่อ ไม่เอ่ยอะไรและก็ไม่ขยับ
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หลินขุยรู้ว่าในตอนนี้ คุณชายกำลังสื่อสารผ่านจิตวิญญาณอยู่กับนายท่านหญิงอยู่
“ไปเถอะ!”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เย่เทียนถึงกลับไปที่รถ ท่าทางอ้างว้างโดดเดี่ยว
หลินขุยสตาร์ตรถเงียบๆ ในใจรู้สึกเคร่งขรึม
สิบปีแล้ว ทั่วโลกรู้เพียงแค่ว่าเทพสงครามเป่ยเย่ออกรบไม่เคยพ่ายแพ้ เทพสงครามหลิงเทียนชื่อเสียงน่าเกรงขาม มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์
แต่จะมีใครที่รู้ถึงความลำบากและหมดหนทางในใจของคุณชายบ้าง?
ยิ่งยื่นอยู่สูง ก็ยิ่งเหน็บหนาว
ถ้าไม่มีเรื่องการเมืองมารั้งไว้ คุณชายคงจะฆ่าไปทั่วเมืองจิงตูแล้ว
ตั้งแต่สมัยโบราณ เรื่องความจงรักภักดีและกตัญญูยากที่จะสำเร็จพร้อมทั้งสองอย่าง ช่างน่าเศร้าและน่าขันสิ้นดี
รถยนต์ค่อยๆไกลจากภูเขาซิ่วเสว่ สายตาของเย่เทียนก็ยิ่งหนักแน่นขึ้น!
ครั้งหน้าที่มาเคารพศพคุณแม่ จะต้องเอาเลือดของคนร้ายมาสักการะให้ได้
ไม่อย่างนั้น ความแค้นยี่สิบกว่าปีนี้ จะสามารถลบล้างได้ยังไง?
“ฮืม? คนๆนี้ขับรถยังไงกัน? ไม่รู้จักตัดไฟต่ำรึยังไง?”
เพิ่งจะโค้งได้ที่หนึ่ง หลินขุยก็ขมวดคิ้ว
สิ่งที่ตามมา นอกจากเสียงคำรามของเครื่องยนต์รถสปอร์ต ก็ยังมีแสงไฟที่แสบตาจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
ไม่มีทางเลือกจึงต้องลดความเร็วของรถลง
ที่นี่มีทางโค้งเยอะ ถนนก็แคบ ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุ จะเสียเวลาของคุณชายได้
แต่ว่าในขณะที่รถสองคันกำลังจะสวนทาง ความเร็วรถของอีกฝ่ายนั้นเร็วเกินไป ล้อหน้าลื่น รถหมุน แล้วก็มุ่งตรงเข้ามายังรถจี๊ป
เอี๊ยด ——
ปึง ——
หลินขุยรีบเหยียบเบรกรถ ล้อรถจี๊ปหมุนไปสักระยะ แล้วก็จอดลงอย่างรวดเร็ว
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ยังถูกรถสปอร์ตชนเข้ากับหน้ารถ
แรงกระแทกอย่างรุนแรง ร่างกายของหลินขุยพุ่งไปด้านหน้า จนเกือบจะชนเข้ากับกระจกหน้ารถ
เย่เทียนเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงนั่งชิดกับเบาะนั่ง ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
“คุณชายครับ คุณ…”
หลินขุยเปิดปากพูดอย่างตื่นตกใจ แต่กลับเห็นเย่เทียนโบกมือนิ่งๆ : ไม่เป็นไร ลงไปดูเถอะ
“ครับ!”
เปิดประตูรถออก ก็เห็นเข้ากับรถ Porsche 911 ใหม่เอี่ยม ถึงขั้นยังไม่มีทะเบียนรถด้วยซ้ำ
ตรงที่ชนกันของหัวรถ มีรอยบุบเข้าไปแผ่นใหญ่ ส่วนไฟขวานั้นเสียไปแล้ว
“กึก!”
หลินขุยกำลังจะเข้าไปดู ประตูรถ Porsche ก็เปิดออก เด็กสาวอายุราวๆยี่สิบต้นๆใส่เสื้อเดรสสั้นสีดำเดินลงจากรถมา
“นายตาบอดหรอไง? หรือว่ารีบไปหายมบาล? เกือบทำเอาฉันตกใจตาย”
เด็กสาวหน้าตาถือว่าไม่เลว นวดหัวอย่างเจ็บปวดไปด้วยและจี้ถามหลินขุยไปด้วย
หลินขุยคิ้วขมวด ในใจก็คิดว่า
คงจะเป็นคุณหนูจากตระกูลไหนออกมาซิ่งรถแน่ๆ
ยังดีที่คนขับคือหลินขุย ไหวตัวเร็ว ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงจะเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่มีคนตายก็เป็นไปได้
“คุณหนูท่านนี้ครับ คุณเป็นคนไม่ปัดไฟต่ำก่อน และขับเร็วอีกด้วย จะมาโทษผมได้ยังไง? คุณมีใบขับขี่มั้ย ทำไมไม่รู้แท้กระทั่งเรื่องพื้นฐานของการขับรถเลย?”
“นายคือตำรวจจราจรหรอ? ฉันจะมีไม่มีใบขับขี่แล้วเกี่ยวอะไรกับนาย?”
ใครจะไปรู้ ว่าสาวน้อยถลึงตาแล้วก็โวยวายอย่างไร้เหตุผล
“ถนนนี้ ฉันจะขับยังไงก็ได้ นายจะทำอะไรฉันได้? คนแก่โง่ๆอย่างนาย ชนตายก็ถือว่าสมน้ำหน้า”
“เห็นมั้ยว่านี่คือรถที่ฉันซื้อมาใหม่ Porsche 911 สิบกว่าล้านเชียวนะ ตอนนี้ถูกนายชนจนเป็นแบบนี้ ขายตัวนายทิ้งยังไม่มีปัญญาชดใช้ได้เลย”
เห็นว่าเด็กสาวไร้เหตุผลไม่หยุด หลินขุยก็คิ้วขมวดอีก รู้สึกไม่พอใจ
“แล้วเธอจะเอายังไง?”
“ฉันจะเอายังไง?” เด็กสาวแสยะยิ้ม “รถจี๊ปแค่นี้อย่างพวกนาย ยังสามารถทำยังไงได้? วันนี้ฉันอารมณ์ดี แค่เพียงนายคุกเข่าขอโทษฉัน ฉันสามารถปล่อยพวกนายไปได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันรับประกันได้ว่า พวกนายจะไม่มีทางได้เห็นแสงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้แน่นอน”
เห็นเด็กสาววางตัวเองเป็นใหญ่ขนาดนี้ หลินขุยเองก็ขี้เกียจยืดเยื้ออยู่กับเธอ “ให้ฉันขอโทษเธอ? เธอยังไม่สมควรได้รับ แจ้งตำรวจเถอะ ถ้าเป็นความรับผิดชอบของพวกเรา พวกเราจะรับผิดชอบ ไม่อย่างนั้น ก็อย่ามาหาว่าพวกเรารังแกง่าย”
“โอ๊ะ ปากแข็งซะด้วย” เด็กสาวยิ้มแสยะ แล้วขวางตรงหน้าหลินขุย “ยังจะแจ้งตำรวจ? นายรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร? นายก็ไม่ไปสอบถามดูว่าทั้งเมืองหรงเฉิง มีใครกล้าพูดจาอย่างนี้กับหยางเจียวเจียวคนนี้บ้าง”
หยางเจียวเจียวถลึงตาใส่หลินขุยอย่างเย่อหยิ่ง “จะบอกนายนะ ว่าให้พวกนายขอโทษนี่ถือว่าเห็นใจนายแล้ว ถ้าตามนิสัยเมื่อก่อนของฉัน คงจะเหยียบคันเร่งชนพวกนายตายไปแล้ว”
“ให้ไว เวลาฉันมีจำกัด อย่าทำให้ฉันโมโห แล้วก็ไอ้คนบนรถ ยังไม่รีบลงมาอีก ขับแค่รถจี๊ปเท่านั้น ยังจะทำเป็น….แค่ก….”
หยางเจียวเจียวยังพูดไม่จบก็หยุดกะทันหัน ใบหน้ามีสีแดงก่ำ
เพราะว่า อยู่ๆมือของหลินขุยก็บีบเข้าที่คอของเธอ ยกเธอขึ้นอย่างไม่อ่อนโยนเลยสักนิด
เหมือนกับว่ายกลูกไก่ตัวหนึ่ง
“หยางเจียวเจียวใช่มั้ย? ถ้ากล้า เธอก็พูดอีกครั้งสิ?”
สายตาหลินขุยเย็นชา น้ำเสียงอำมหิต
หยางเจียวเจียวจะด่าเขายังไงก็ไม่เป็นไร
แต่ศักดิ์ศรีของคุณชายจะเหยียบย่ำไม่ได้
บทที่12 ทำตามที่คุณชายบอก
“แค่กๆ!”
หยางเจียวเจียวพูดไม่ออก ร่างกายตะเกียกตะกายไม่หยุด แต่มือของหลินขุยก็ไม่ขยับสักนิด
เหมือนดั่งคีมเหล็กที่หนีบเข้าด้วยกันแล้วจะไม่มีวันปล่อยอีก
เพียงเวลาสั้นๆ สีหน้าของหยางเจียวเจียวแดงก่ำจนถึงขีดสุด ในตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกถึงความอันตรายถึงตายเป็นครั้งแรก
ใกล้มากและเป็นจริงมากถึงเพียงนี้
แต่ว่า ต่อหน้าของเสือที่กำลังโมโห เธอทำไม่ได้แม้กระทั่งอ้อนวอนขอร้อง
“คนที่ดูถูกคุณชาย สมควรตายทั้งสิ้น!”
น้ำเสียงของหลินขุยน่ากลัว ทำเอาหยางเจียวเจียวตัวเย็นเฉียบ
หันไปมองเย่เทียน เห็นว่าเขาไม่มีท่าทีอะไร จึงได้เปลี่ยนท่าที
“ถือว่าเธอเป็นผู้หญิงและยังสาว ครั้งนี้จะปล่อยเธอไป ถ้ามีครั้งหน้าอีก ถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานีแน่!”
พูดแล้วกระตุกแขนขวาเบาๆทีหนึ่ง ร่างกายของหยางเจียวเจียวก็ลอยออกไปอย่างกับเชือกของว่าว ตกลงกับพื้น น่าสมเพชอย่างที่สุด
หลินขุยไม่มองเธอด้วยซ้ำ หันหลังเดินไปยังรถจี๊ป
ก็แค่คุณหนูที่ถูกตามใจจนเสียคนก็เท่านั้น กระตุ้นสักหน่อยก็ได้แล้ว
แต่ถ้ายังโง่ไม่รู้จักคิดอีก…..
ผู้หญิงที่หลินขุยเคยฆ่าก็ไม่น้อยเหมือนกัน…..
“แค่กๆ….”
หยางเจียวเจียวสองแขนกุมคอไว้ หายใจเข้าลึกๆหลายทีกว่าจะดีขึ้น
ถึงแม้ว่าจะยังตกใจไม่หาย แต่ในสายตาก็แสดงออกถึงไฟแห่งความโมโห ใบหน้าเล็กๆก็ค่อยๆดุร้ายขึ้น
“อ๊าก พวกแกสมควรตาย ฉันจะฆ่าพวกแก ฆ่าพวกแก!”
ในฐานะที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหยาง ตั้งแต่เล็กจนโต เคยได้รับการดูถูกรังแกแบบนี้เมื่อไหร่กัน?
เธอทนไม่ได้ สักวินาทีก็ไม่ได้
ในใจมีเพียงความคิดเดียว จะต้องฆ่าบ้านนอกสองคนนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม
“กล้าทำอย่างนี้กับฉัน ฉันจะให้พวกแกชดใช้”
ในใจคิดร้ายแล้วหยางเจียวเจียวก็ไม่สนใจอย่างอื่น มุดเข้าไปในรถแล้วก็สตาร์ตรถ
เสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้ง รถ Porsche เหมือนดั่งลูกศรธนู พุ่งเข้าไปชนหลินขุยและเย่เทียนอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆๆ ไม่นานแกก็จะเสียใจ นี่ก็คือผลลัพธ์ที่มามีปัญหากับฉัน!”
หยางเจียวเจียวเหยียบคันเร่งจนสุด สายตาบ้าคลั่ง
ในตอนนี้ หลินขุยหันหลังให้เธอ และยังเป็นระยะห่างที่สั้น ดูแล้วแทบจะไม่มีที่ให้หลบ
ตามความเร็วของรถ Porsche หลังจากที่ชนหลินขุยแล้วแน่นอนว่าจะไปชนเข้ากับรถจี๊ปและเย่เทียนที่อยู่บนรถแน่นอน
ถึงตอนนั้น จะต้องเป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงอย่างแน่นอน
หยางเจียวเจียวถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนชินแล้ว ทำอะไรเลยไม่เคยคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
แม้ว่าจะเป็นสองชีวิต แต่ในสายตาเธอก็เหมือนกับหญ้า อย่างมากก็แค่จ่ายหนักหน่อยก็เท่านั้น
เรื่องที่สามารถใช้เงินจัดการได้ สำหรับเธอแล้วไม่ใช่เรื่องด้วยซ้ำ!
แต่เธอคงคิดไม่ถึงว่า ใครบางคน เธอไม่สามารถมีปัญหาด้วยได้!
“ไม่รู้จักเจียมตัว!”
ในเวลาชั่วพริบตา ในตอนที่รถกำลังจะชนเข้ากับหลินขุย เห็นเพียงเขาที่หันกลับมาอย่างไร้อารมณ์ ภายใต้สายตาที่แปลกใจของหยางเจียวเจียว ใช้กำปั้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่รถที่มุ่งมาตรงหน้าอย่างไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ
“ไอ้คนนี้คงไม่ได้ตกใจจนบ้าแล้วหรอกนะ?”
นี่คือสิ่งที่หยางเจียวเจียวรู้สึกเป็นอย่างแรก
ยังไงซะ ถ้าเป็นคนธรรมดา คงไม่ใช้กำปั้นปะทะกับรถที่พุ่งเข้าใส่หรอก
ถ้าเป็นคนธรรมดา ต่างก็รู้ดีว่าเลือดเนื้อจะปะทะกับเหล็กได้ยังไง
“หึ! แกหาเรื่องตายเอง จะมาโทษฉันไม่ได้นะ!”
หยางเจียวเจียวยกยิ้มมุมปากอย่างไร้ความรู้สึก
ยีตาเล็กน้อย เหมือนจะเห็นร่างกายของหลินขุยที่พุ่งบินเข้ามา
เพียงแต่ว่า วินาทีต่อมา ทุกสิ่งก็เปลี่ยนกะทันหัน!
ปึง!
เสียงที่ดังมาก อาจจะดังกว่าสถานการณ์เมื่อกี้ด้วยซ้ำ
รถ Porsche ถูกกำปั้นของหลินขุยทุบจนเป็นรอยบุบ
สองขาของหลินขุยยังอยู่กับพื้นอย่างเดิม ส่วนรถ Porsche ก็หยุดลงในทันที
การรั้งไว้อย่างแรงทำเอาล้อหลังหมุนจนลอย เกือบจะคว่ำหน้า
หยางเจียวเจียวถึงกับตะลึง ภายใต้การที่ไม่ได้ป้องกันตัว ทำเอาเธอชนเข้ากับกระจกหน้า ร่างกายถูกหนีบไว้ ขยับตัวไม่ได้
“นี่ นี่จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”
หยางเจียวเจียวอ้าปากกว้าง ไม่ทันสนใจความเจ็บปวดบนร่างกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ เธอเคยเห็นคนในบ้านใช้กำลังที่มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
แต่ว่า คนที่ปะทะเข้ากับรถความเร็วสูงอย่างหลินขุย แล้วยังไม่มีผลอะไร เธอก็เพิ่งเคยเจอครั้งแรก
นี่ นี่เป็นกำลังที่มนุษย์สามารถใช้ได้จริงๆหรอ?
หรือว่า นี่ยังเป็นคนหรอ?
ในขณะที่กำลังตกใจ อยู่ๆก็รู้สึกได้ว่ารถเขย่า เงยหน้ามองดู เกือบจะตกใจจนคางหลุด
เห็นเพียงหลินขุยเดินหน้ามาก้าวหนึ่ง สีหน้าไร้อารมณ์ สองมือที่มีรอยเลือดวางลงบนฝากระโปรงรถทั้งสองฝั่ง จากนั้นเส้นเอ็นบนแขนก็ปูดขึ้น
เอี๊ยด!
ตามมาด้วยเสียงเสียดสีที่แสบหู รถสปอร์ตหลายตันถูกหลินขุยยกขึ้น
“ไปให้พ้น!”
น้ำเสียงหลินขุยทุ้มต่ำ สองแขนสะบัด รถทั้งคันถูกโยนไปยังกลางถนน
“อ๊าก!!!”
เสียงตกใจกลัวของหยางเจียวเจียว แล้วตามด้วยเสียงกระแทก
Porsche กระแทกลงพื้น แยกเป็นส่วน รถที่ใหม่เอี่ยมนั้นเละจนถึงที่สุดแล้ว
หยางเจียวเจียวพยายามปีนขึ้น บนใบหน้าบนแขนล้วนเต็มไปด้วยรอยบาดแผล
กระโปรงขาดไปครึ่งหนึ่ง ปรากฏให้เห็นผิวที่ขาวผ่อง ไม่มีลักษณะของคุณหนูหลงเหลืออยู่แล้ว
“แก แกห้ามแตะฉัน พ่อฉันคือผู้นำของตระกูลหยาง หยางไห่ซาน แก แกห้ามแตะต้องฉัน!”
น้ำเสียงของหยางเจียวเจียงกำลังสั่น แต่ในใจก็ไม่พอใจ ความโกรธเกลียดที่มีต่อหลินขุยมากจนถึงที่สุด!
ตระกูลหยาง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของหรงเฉิง ผู้ครองวงการบันเทิงในหรงเฉิง เป็นรองแค่ตระกูลสวีเท่านั้น
ในฐานะที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหยางเคยได้รับการดูถูกรังแกแบบนี้เมื่อไหร่กัน?
ถึงแม้ว่าหลินขุยจะเก่งแค่ไหน แล้วยังไงละ?
ที่นี่คือหรงเฉิง ตระกูลหยางสั่งให้มันตายวันนี้ มันก็มีชีวิตรอดไม่ถึงวันพรุ่งนี้
แต่เสียดาย หลินขุยไม่สนใจอะไรเลย เดินไปทางหยางเจียวเจียวทีละก้าว
ทุกก้าวเหมือนดั่งเสียงฟ้าผ่า ดังอยู่ในใจของหยางเจียวเจียว
“แกๆ พ่อฉันไม่มีทางปล่อยแกแน่ แกห้ามเข้ามานะ…”
จิตใต้สำนึกหยางเจียวเจียวทำเอาเธอก้าวถอยหลัง แต่ปากก็ยังไม่ยอมแพ้
“อาขุย!”
ในที่สุด เสียงนิ่งๆของเย่เทียนดังขึ้น หลินขุยถึงได้หยุดฝีเท้า มองไปทางเย่เทียน รอรับคำสั่ง
“ผู้นำตระกูลหยาง หยางไห่ซาน น่าสนใจ!”
น้ำเสียงเย่เทียนนิ่ง ฟังไม่ออกว่ารู้สึกยังไง
“ภายในวันพรุ่งนี้ ให้หยางไห่ซานพาเธอมาขอขมาที่คฤหาสน์เทียนเชว่ ไม่อย่างนั้น รับผิดชอบผลลัพธ์เอง!”
เสียงของเย่เทียนนั้นไม่ได้ดัง แต่กลับมีความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าสงสัย
“ฮืม ทำไมฉันต้องฟังแก”
หยางเจียวเจียวถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก เคยได้ยินน้ำเสียงอย่างนี้ที่ไหนละ ทำเอาไม่พอใจขึ้นมา
“อย่าว่าแต่พ่อฉันมาขอขมา ถ้าหากให้เขารู้ถึงเรื่องเมื่อกี้ แกตายแน่”
สำหรับพ่อแล้ว หยางเจียวเจียวมีความมั่นใจมาก
“คุณชายพูดยังไง เธอก็ทำตามที่พูด!”
หลินขุยพูดอย่างโมโห เทียบกับความอ่อนนุ่มของเย่เทียนนั้นราวฟ้ากับเหว
หยางเจียวเจียวตัวสั่น คำพูดที่ติดอยู่ที่ปากก็รีบกลืนลงคอไป
หลินขุยถลึงตาใส่เธอ แล้วเดินไปทางเย่เทียน ก่อนจะขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะพูดเตือนอีกรอบ
“จำไว้นะ พรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จะต้องมาขอขมา! ถ้าหากไม่สามารถทำให้คุณชายพอใจได้ ผลลัพธ์ ตระกูลหยางของพวกเธอแบกรับไม่ไหวแน่”