เทพสงครามอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 32
บทที่ 32 คุกเข่าให้ดี
ตูม!
เสียงน่าเกรงขาม พร้อมด้วยพลังอย่างแรงเดือดได้ดังขึ้น
ทำให้ทั่วทั้งดินฟ้าอากาศเงียบกริบภายในเสี้ยววินาที!
เย่เทียนนั้นเป็นคนแรก ที่กล้าสั่งให้คนในตระกูลสวีคุกเข่าขอขมา!
เมื่อเสียงของเย่เทียนจบลง ก็มีพายุลมพัดหมุนมาโดยไร้ซึ่งการเตือน
ร่มในมือของหลินเสว่พัดหลุดจากมือไป ฝนตกอย่างหนักน่วง และตกใส่ท่านหญิงสวีอย่างจัง
“บังอาจ! ”
ยังมิทันได้ตั้งตัว ร่างกายของท่านหญิงสวีได้เปียกไปเกือบครึ่ง นางเลยโมโหขึ้นมาทันที
“เย่เทียน แกบังอาจมากไปแล้ว วันนี้พวกเราทั้งสี่ตระกูลใหญ่มารวมตัวกันพร้อมหน้า ก็เพื่อที่จะมาสั่งสอนและลงโทษแกที่มาสร้างความวุ่นวายให้กับเมืองหรงเฉิง! ”
ถึงแม่ท่านหญิงสวีจะมีอายุมากแล้ว แต่นํ้าเสียงของท่านมิใช่ย่อยเลย
แน่นอนว่า ตระกูลสวี ก็ไม่ใช่มาเพื่อขอขมา
หนําซํ้ายังจะเอาผิดและทำโทษเย่เทียนด้วย!
“เย่เทียนถ้ายังพอรู้ตัวบ้าง ก็ยอมรับความผิดซะดีดี ไม่งั้น ไม่เพียงแต่นายสองคนเท่านั้น ทั้งตระกูลเย่ หรือแม้กระทั่งคนที่มีความเกี่ยวข้องกับนาย ก็ต้องตายไปพร้อมกับนาย! ”
ท่านหญิงสวีพูดอย่างเสียงดัง ไม่มีใครสงสัยในความมุ่งมั่นและแข็งแกร่งของท่านเลย.
สำหรับสิ่งนี้ เย่เทียนยังคงมีสีหน้าที่เฉยเมย
ครั้งแรก ที่เหลียวมองไปทางตัวของหยางไห่ซาน หลี่ฉงหนิงและจ้าวหมิงเซิงทั้งสามคม
“นอกจากตระกูลสวีแล้ว ตระกูลหยาง ตระกูลหลิน ทุกคนหลบเลี่ยงไปซะ! ”
นํ้าเสียงของเย่เทียนเยือกเย็น และในนํ้าเสียงนั้นไม่ใช่แค่ล้อเล่นหรือข่มขู่แน่
“ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็รับผิดชอบเอง!”
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็รับผิดชอบเอง ผลลัพธ์เป็นยังไง พวกเขาต่างรู้ซึ่งกันดี
หลี่ฉงหนิงและจ้าวหมิงเซิงสบตากัน แม้ในใจจะหวั่นไหว แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่มีคำว่ายอมแพ้โดยเด็ดขาด
“เย่เทียน เจ้าไม่ต้องอวดดีนัก ถ้าอยากอยากทำอะไรตามอำเภอใจที่หรงเฉิง ตระกูลหลี่ของฉันไม่ยอมเด็ดขาด!”หลี่ฉงหนิงเอ่ยปากก่อนเป็นคนแรก
โจวหมิงเซิง กัดฟันแล้วพูดเสริมว่า:“ใช่แล้ว เย่เทียน ทางที่ดีนายอย่าขัดขืนเลย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียใจทีหลัง!”
สำหรับหยางไห่ซานนั้น ไม่ต้องพูดอะไรมากตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ระหว่างตระกูลหยางและเย่เทียน ตั้งแต่แรกก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายนึงตายกันไปข้างนึงอยู่แล้ว!
ท่ามกลางฝูงชน เย่จิ้นซานพร้อมสมาชิกครอบครัวรวมกันสามคนในตอนนี้นั้น ทั้งตกใจและหวาดกลัว
เย่เทียนนั้น ไม่ได้เป็นแค่ตัวแทนของเขาคนเดียวเท่านั้น
หากเย่เทียนพ่ายแพ้ ตระกูลเย่ ก็จะต้องตายตามไปด้วยกันแน่!
เย่จิ้งซานมีความเชื่อมั่น ในสายตาเขานั้น เมื่อเย่เทียนกล้ามาแล้ว ก็จะไม่ยอมพ่ายแพ้แน่นอน!
มือของเย่น่าเต็มไปด้วยเหงื่อ ถึงแม้จะรู้ว่าฝีมือเย่เทียนนั้นไม่ธรรมดา แต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญคือ สี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหรงเฉิง
ใจของเธอนั้นไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิด
สำหรับหวังซิ่วเหลียนนั้น เธอได้ซื้อตั๋วเครื่องบินเตรียมไว้แล้ว
หากเย่เทียนพ่ายแพ้ ก็จะโน้มน้าวให้เย่จิ้งซานพ่อลูกไปจากเมืองหรงเฉิง และทั้งชีวิตจะไม่กลับมาอีก
บรรยากาศ เริ่มอึดอัดหนักขึ้นในชั่วพริบตา
การต่อสู้ กำลังจะเริ่มขึ้น และเมื่อเริ่มแล้วก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้!
เย่เทียนกวาดตามองอย่างเย็นชา
“ในเมื่อไม่มีใครหลีกไป นั้นก็หมายความว่าจะเป็นศัตรูกับฉันเย่เทียนแล้วสินะ!”
“เย่เทียน ไม่ต้องมาข่มขู่ล่อลวงพวกเราหรอก!”
ท่านหญิงสวียิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า:“มีฝีมือหรือวิชาอะไรบ้าง ก็จงใช้มาให้หมด วันนี้ ถ้านายไม่ตาย ก็คือฉันตาย!”
เห็นได้ชัดว่า สมาชิกทั้งตระกูลสวีต่างมาทุกคน ก็เพื่อต่อสู้กับเย่เทียน และต้องมีฝ่ายใดฝ่ายนึงต้องตาย!
ท่านหญิงสวีไม่แยแสเย่เทียนเลย
ส่วนเย่เทียนนั้น ท่านหญิงสวีรึจะอยู่ในสายตาเขา?
“นี่คือการเตือนครั้งสุดท้าย ภายในห้านาที ถ้าไม่คุกเข่า ฆ่าสถานเดียว!”
นํ้าเสียงเย่เทียนทุ้มตํ่า แต่แฝงไปด้วยความเกรงขามที่ไม่อาจปฏิเสธได้ บรรยากาศรอบด้าน
ดูเหมือนคล้ายจะหนาวเย็นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ผู้นําตระกูลใหญ่ทั้งสามและท่านหญิงสวีขมวดคิ้วเข้าหากัน ขณะที่กำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ
และมีเงาสี่ร่างก็ค่อยค่อยปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
“เย่เทียน นายโอ้อวดเกินไปแล้ว วันนี้ ที่นี่ก็คือที่ฝังกระดูกของนาย!”
คนที่พูด ก็คือสวีเว่ยเฟิงผู้ซึ่งไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนหน้านี้
ส่วนสามคนที่อยู่ข้างกายเขา อายุพอพอกันกับเขา แต่ละคนนั้นสวมชุดคลุมยาว ดูแล้วดุจดั่งเทพเทวดา
เมื่อเห็นทั้งสี่คนปรากฏตัวขึ้น ผู้นําทั้งสามตระกูลใหญ่ดีใจเป็นอย่างมาก
ทั้งสี่คน ก็คือผู้ที่แข็งเกร่งที่สุดในแต่ละตระกูลและก็คือผู้ที่บุกเบิกสี่ตระกูลใหญ่นั้นเอง
ครั้งสุดท้ายที่ทั้งสี่คนเคยปรากฏตัว ก็เมื่อสามปีทีแล้ว
ณ ตอนนั้น ผู้นําตระกูลหลิ่วผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองหรงเฉิง
ได้เสียชีวิตพร้อมด้วยความเกลียดชัง เนื่องจากการร่วมมือของทั้งสี่คนนี้
ไกลออกไป ผู้คนที่มามุงดูส่วนมากไม่มีใครรู้จักฐานะของสี่คนนี้ แม้แต่เย่จิ้งซานเอง ก็ยังสับสน
มีเพียงแต่ผู้ใหญ่ที่สูงอายุเท่านั้น ที่ในใจหวาดกลัว แต่ทุกคนต่างปิดปากเงียบ เพราะกลัวว่าจะเกิดหายนะกับตัว
“ก็แค่ตัวประกอบ นาย หลินขุยเชิญออกสู้!”หลินขุยมองอย่างเหยียดหยาม และเต็มไปด้วยกำลังการต่อสู้
เย่เทียนโบกฯมือ:“วันนี้ มาทวงความยุติธรรมเพื่อเทียนเฉิง ฉันจะสู้ด้วยตัวฉันเอง!”
หลินขุยโค้งคำนับ แล้วยืนข้างข้าง
“ฮึ่ม ไอ่เด็กไม่สิ้นกลิ่นนํ้านม อายุแค่นี้ แต่ปากดีนัก!”
เมื่อเห็นเย่เทียนไม่เห็นพวกเขาอยู่สายตา ชายชราของตระกูลหลี่แค่นเสียงเย็นชาอออมา อย่างไม่เป็นมิตร
“สามปีมาแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกกำลังบ้างละ ไม่งั้นกระดูกฉันก็จะโดนสนิมกินหมด!”ชายชราของตระกูลหยางมองเย่เทียนด้วยสายตาดุงดั่งงูพิษ มุมปากยิ้มเยาะเล็กน้อย
ชายชราของตระกูลโจวพ่มลมออกจากจมูกด้วยอารมณ์ไม่พอใจเล็กน้อย:“สวีเว่ยเฟิง ท่านคงแก่จริงละกระมั่ง? แม้แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นก็สู้ไม่ได้”
สวีเว่ยเฟิงหน้าขรึม:“ท่านอย่าได้ดูถูกเย่เทียน ไม่อย่างงั้น จะเสียเปรียบอย่างมาก”
ท่านโจวไม่เชื่อในคำพูดนี้:“ใช่เหรอ? งั้นฉันก็อยากจะเห็นจริงฯ ว่ากะอีแค่ลูกบุญธรรมของตระกูลเย่ จะเก่งกาจขนาดไหน”
พูดพร้อมกับ มือขวากำหมัดแน่น พุ่งตรงเข้าไปหาเย่เทียน
ถ้าในยุคสมัยของพวกเขานั้น พวกเขาสู้กันโดยหมัดต่อหมัด และไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวใคร
“ทำเป็นปากดี”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมัดที่ดุดันของผู้เฒ่าโจว ดวงตาของเย่เทียนไม่สะทกสะท้านเลย
“หนุ่มน้อย ลงมือเถอะ ไม่งั้น นายจะตายอย่างน่าเกลียด”
ท่านโจวยิ้มเยาะ แต่พลังนํ้าหนักในมือไม่ได้ลดลงเลย
เย่เทียนไม่ได้สนใจเลย หมัดของท่านโจวใกล้จะถึงแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป และคว้าหมัดไว้ได้อย่างแม่นยำ
“อ่อนแอเกิน!”
เย่เทียนพ่นคำออกมาสามคำ แต่มันเป็นคำที่เยาะเย้ยที่แสนจะแสบแก้วหู
“อย่าเพิ่งได้ใจเร็วเกินไป.……”
ท่านโจวขมวดคิ้ว ในใจโกรธเคือง กำลังจะยกเท้าขึ้น
ก็มีความเจ็บปวดไหลลึกไปสู่หัวใจผ่านมือขาวของเขา
“อ๊าก!”
พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดที่แสนจะทรมานของเขา หมัดทั้งกำมือ ถูกเย่เทียนบีบจนแตกสลาย
เลือดแดงสดฯไหลออกมา
“บ้าเอ้ย ฉันไม่ให้นายได้ตายดีแน่….”
สีหน้าเย่เทียนงุนงง และแตะเท้าไปที่หัวเข่าของเขา
แกร๊ก แกร๊ก!
หัวเข่าของท่านโจวแตกเป็นเสี่ยงเสี่ยง พร้อมด้วยคุกเข่าลงกองกับพื้น อยู่ตรงหน้าหลุมฝั่งศพของสวีเทียนเฉิงพอดี
ความเจ็บปวดที่รุนแรง ทำให้ท่านโจวดิ้นรนขึ้น ขณะที่จะลุกยืน นํ้าเสียงอันเย็นชาของเย่เทียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“คุกเข่าให้ดี ไม่งั้น ก็จะได้อยู่ที่นี่ตลอดไป!”
ท่านโจวรู้สึกช้าตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่แรงคิดที่จะขัดขืนก็ไม่มี ได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างว่าดี
เขารู้แล้วว่า ตั้งแต่เริ่มนั้น เขาได้ประเมินเย่เทียนตํ่าเกินไป!
ฮืด!
ดังนั้นจึงสูบลมหายใจเข้าลึก
ท่านโจว พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
ชื่อเสียงที่กล้าหาญนั้น ก็มีอันที่ต้องจบสิ้นในครั้งนี้แล้ว
สีหน้าของผู้นำทั้งสี่ตระกูลเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ผลการต่อสู้ของท่านโจวไม่เป็นที่น่ายินดี ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของผู้นำทั้งสี่อยู่ไม่น้อย
“มาพร้อมกัน!”
สวีเว่ยเฟิงพูดด้วยสีหน้าเงียบขรึม เป็นเพราะท่านโจวไม่ฟังคำเตือน สมนํ้าหน้า!
ทั้งสามคนมองสบตากัน แล้วเดินตรงไปล้อมเย่เทียน จากสามทิศสามทางที่แตกต่างกันไป
ท่านหญิงสวีหรี่ตาลง ผู้นำทั้งสี่ เริ่มกังวล
จะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็คราวนี้แหละ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทั้งสาม เย่เทียนยังคงไม่แสดงอาการใดฯออกมา
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เริ่มจากพวกท่านละกัน!”