เทพสงครามอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 5
ตอนที่ 1
สนามบินหรงเฉิงคึกคักเป็นพิเศษ
ผู้นำของแต่ละเครือข่ายธุรกิจของทุกเขตในเมืองหรงเฉิง ยืนเรียงรายกันเป็นแถวสองข้างอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนยืนคอยอย่างใจจดใจจ่อด้วยท่าทางเคร่งขรึม
เจี่ยเว่ยหมินโผล่มาอยู่หัวแถว ตาทั้งคู่ของเขาจ้องมองไปที่ประตูเครื่องบินอย่างจดจ่อรอคอย
สงครามใหญ่นี้ดึงดูดให้ผู้คนมากมายมาล้อมกันดู
“เห้ย ทำไมที่นี่ถึงมีผู้นำมากมายขนาดนี้ล่ะ? เอาซะคึกคักเลย”
“นี่แกไม่ได้ดูข่าวเหรอ? คุณหลิงเทียนจะกลับมาหรงเฉิงแล้ว! วันนี้ผู้นำทั้งหมดมารวมตัวกันครบ แน่นอนว่าต้องมาเพื่อต้อนรับคุณหลิงเทียนสิ”
“จริงเหรอเนี่ย? คุณหลิงเทียนเป็นถึงจอมพลสี่ดาวที่อายุน้อยที่สุดในสนามรบใหญ่ทั้งสี่เชียวนะ ได้ยินมาว่าอายุยังไม่ถึงสามสิบ! นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้เจอตัวจริง เป็นบุญตาจริง ๆ!”
ผู้โดยสารทยอยกันลงมาจากเครื่องบินทีละคน ๆ สุดท้ายแม้แต่พนักงานของสายการบินก็ลงกันมาแล้ว แต่กลับไม่เห็นเงาของท่านจอมพลเลย ไม่มีแม้กระทั่งคนที่สวมชุดเครื่องแบบทหาร
บรรยากาศค่อย ๆ อึดอัดขัดเขินขึ้น
“คงไม่ใช่ว่าพลาดอะไรไปหรอกนะ? หรือว่าจะผิดเที่ยวบิน?”
ประโยคนี้ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้นมา
คนในขบวนต้อนรับที่ยิ่งใหญ่อลังการมองสบตากันและกัน ต่างคนต่างมองเห็นสายตา ‘ช่วยไม่ได้’ จากในดวงตาของแต่ละคน
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าจากไป
ในที่ที่ไม่ไกลนัก ท่ามกลางกลุ่มคน ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าหนักแน่นและสายตาล้ำลึกมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบ ๆ
ด้านหลังของเขามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเพิ่งจะวางสายโทรศัพท์ไป
“ตรวจเจอแล้วเหรอ?”
เย่เทียนเอ่ยถาม
“ท่านครับ ตรวจเจอแล้วครับ! เป็น… เป็นข่าวที่คุณซูปล่อยออกมาครับ” ชายร่างสูงใหญ่ตอบผู้ชายอายุน้อยที่อยู่ตรงหน้าด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง
มุมปากของเย่เทียนกดลงน้อย ๆ เผยให้เห็นว่าจนปัญญาจะหลีกเลี่ยง
“ต้องส่งคนไปทักทายสื่อพวกนี้หน่อยไหมครับ?” หลินขุยไต่ถาม
“ไม่จำเป็นแล้ว เธอจะทำอะไรก็ปล่อยเธอไป คนพวกนี้ยินดีจะรอก็ปล่อยเขารอไปเถอะ”
“ครับท่าน” หลินขุยก้มหน้าซ่อนความขบขัน
บนโลกนี้คนที่ทำให้นายท่านยอมแพ้ได้ เกรงว่าจะมีแต่คุณซูแล้วล่ะ…
ทั้งสองคนเข้าไปไปในรถจี๊ปธรรมดา ๆ คันหนึ่ง
รถยนต์ขับห่างออกไปจากสนามบินอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ขับเข้าไปในตัวเมืองแล้ว
ไม่ได้กลับมาสิบกว่าปี หรงเฉิงเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย เศรษฐกิจของประเทศหลงเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากที่เคยเป็นเมืองเล็ก ๆ ก็เปลี่ยนรูปแบบเป็นเมืองใหญ่ไปแล้ว กลายเป็นมหานครที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ทิวทัศน์ของทุกที่ล้วนแต่เจริญเติบโตเป็นอย่างดี
แต่พอเห็นความเป็นแปลงแบบนี้แล้ว เย่เทียนกลับดีใจไม่ออก
เมื่อหลายปีก่อนที่ชายแดนประเทศหลงมีข้าศึกบุกรุกเข้ามา เขาบัญชาเหล่านายทหารเข้ายืนหยัดต่อสู้ด้วยใจที่กล้าแกร่ง สุดท้ายก็ได้รับชัยชนะกลับมา
เดิมคิดว่าจะได้พักผ่อนสบาย ๆ สักหน่อย แต่ในตอนนี้กลับมีข่าวว่าสวีเทียนเฉิงเสียชีวิตถูกปล่อยออกมา…
สวีเทียนเฉิง คุณชายรองตระกูลสวีเพื่อนตายของเย่เทียน
หนึ่งปีก่อนในการรบที่สำคัญครั้งหนึ่ง สวีเทียนเฉิงได้รับกระสุนปืนหลายนัดแทนเย่เทียน
หลังจากจบศึกสงครามครั้งนี้ สวีเทียนเฉิงกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต จากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนอาชีพกลับบ้านเกิดไป
หนึ่งคืนก่อนที่จะกลับไป พวกเขาสองคนดื่มเหล้า พูดคุยกันสนุกสนาน สวีเทียนเฉิงเอารูปภาพใบหนึ่งให้กับเขาในรูปนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งอิงแอบเขาเบา ๆ เธอมีรอยยิ้มสวยสดงดงามราวกับดอกไม้
สวีเทียนเฉิงยิ้มแล้วพูดว่าพอเขากลับไปแล้ว เขาก็จะแต่งงานกับเธอ เขาย้ำว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เย่เทียนจะต้องกลับมาดื่มสุรามงคลให้ได้
“พี่เย่ นี่คือผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในชีวิตนี้ ผมยอมสละชีวิตเพื่อเธอได้…”
“พี่เย่ ผมไม่ขอปิดบังพี่! ที่จริงยังมีเหตุผลที่สำคัญที่สุดเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ผมสมัครเข้ามาเป็นทหาร ก็คือผมอยากให้คุณย่ามองผมด้วยสายตาที่ดี…”
“ตอนเด็ก ๆ คุณย่ารังเกียจที่ผมขี้ขลาด อ่อนแอ ไม่มีตรงไหนที่สู้พี่ใหญ่ได้เลย เพื่อที่จะพิสูจน์ความกล้าหาญของตัวเอง ผมก็เลยสมัครเข้ามาเป็นทหารโดยปิดบังกับที่บ้าน ในที่สุดผมก็มีความดีความชอบแล้ว…”
“ผมชอบเอาเหรียญทหารของตัวเองไปให้คุณย่าดู อยากให้คุณย่ามีความสุข แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณย่าจะตบหน้าผม แล้วก็ตำหนิผมด้วยความโกรธ ว่าทำเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนี้จะไปมีประโยชน์อะไร? ท่านบอกว่าต่อให้ผมเก่งกว่านี้ แต่ในสายตาคุณย่าแล้ว ผมไม่มีวันเทียบกับสวีเทียนหมิงได้!”
“สวีเทียนหมิงเป็นพี่ชายคนโตของผม พี่ชายคนละแม่…”
“ตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่า สิ่งที่คุณย่ารังเกียจ ไม่ใช่ความขี้ขลาดและความอ่อนแอของผม แต่เป็นชาติกำเนิดของผม…”
“แม่ของผมมีฐานะต่ำต้อย ในสายตาของคุณย่า ฐานะแบบนี้ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะในตระกูลสวีได้… พี่เย่ พี่ว่าคนพวกนี้ แค่เกิดมาก็มีความผิดแล้วใช่หรือเปล่า? อย่างเช่นผม…”
“แต่ผมไม่โทษคุณย่าหรอกนะ และไม่โทษพี่ใหญ่ด้วย ถึงแม้ว่าคุณย่าจะไม่เคยชมผมเลยแม้แต่ประโยคเดียว และถึงแม้ว่าพี่ใหญ่จะไม่เคยมีท่าทีต่อผมเลยก็ตาม…”
“ถึงจะพูดอย่างไร พวกเขาก็เป็นคนที่ผมใกล้ชิดด้วยมากที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว…”
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน
หลังจากที่สวีเทียนเฉิงจากไปได้ไม่กี่วัน เขาก็ส่งบัตรเชิญงานแต่งงานมาให้เขา เขาแนบรูปถ่ายหนึ่งใบมาด้านใน เป็นรูปถ่ายของเขากับผู้หญิงที่เขารักในชุดแต่งงาน
ด้านหลังของรูปภาพเขียนข้อความไว้หนึ่งบรรทัด บอกว่าไม่ว่าอย่างไรเย่เทียนก็จะต้องมาให้ได้
เย่เทียนเตรียมตัวไปตามนัดแล้ว
แต่ทว่า เวลาห่างกันเพียงแค่วันเดียว กลับมีข่าวการตายของสวีเทียนเฉิงปล่อยออกมาอย่างกะทันหัน!
สวีเทียนเฉิงเสียชีวิตแล้ว!
เย่เทียนช็อก รีบส่งคนไปสืบข่าวทันที
จากข่าวที่ได้มา ดวงตาทั้งสองข้างของสวีเทียนเฉิงถูกควักออกมา เหตุผลในการเสียชีวิตไม่ชัดเจน
แถมผู้หญิงที่แต่เดิมจะแต่งงานกับสวีเทียนเฉิง ก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอกลับไปแต่งงานกับสวีเทียนหมิง พี่ชายต่างมารดาของสวีเทียนเฉิง!
สำหรับเหตุผลของการตายของสวีเทียนเฉิงที่ทางตระกูลสวีให้มาก็คือ เขาปรารถนาในตัวพี่สะใภ้ แต่เขาไม่สมปรารถนา หลังจากนั้นเขาก็เลยเมาสุราขับรถจนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง ไม่มีหน้าจะไปพบคนอื่น เขารู้สึกอับอายและเคียดแค้นจนสุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย!
แต่เหตุผลที่ห่วยแตกแบบนี้จะมาหลอกเย่เทียนได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าตอนนี้สวีเทียนเฉิงตายไปเกือบจะหนึ่งปีแล้ว แต่เย่เทียนกลับไร้หนทางจะปล่อยวาง!
ปลดประจำการกลับมาครั้งนี้ เขาจะสืบหาข้อเท็จจริง คืนความเป็นธรรมให้กับพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของตน!
“ท่านครับ อีกสิบวันสวีเทียนหมิงพี่ชายของสวีเทียนเฉิงก็จะจัดงานแต่งงานใหญ่โต วันนี้ที่ตระกูลสวีค่อนข้างคึกคักเลยครับ” หลินขุยรายงานเบา ๆ
“อย่างนั้นเหรอ?”
สายตาของเย่เทียนเย็นยะเยือก เขาลูบไล้แหวนหยกที่สวมอยู่บนนิ้วชี้ นี่คือของที่สวีเทียนเฉิงมอบให้เขาก่อนจะจากกัน
“ในเมื่อเป็นงานแต่งยิ่งใหญ่ ผมก็ต้องไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านสักหน่อย… ไปตระกูลสวี!”
……
ตระกูลสวีเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองหรงเฉิง อิทธิพลในด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหรงเฉิงนั้น ยิ่งใหญ่จนสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจอิทธิพลหรือกำลังทรัพย์ ไม่มีตระกูลไหนในเมืองหรงเฉิงนี้สามารถเทียบได้เลย
อีกสิบวันก็จะเป็นงานแต่งงานยิ่งใหญ่ของสวีเทียนหมิง คุณชายใหญ่ตระกูลสวี ซึ่งเป็นวันมหามงคลของทั้งเมืองหรงเฉิง
วันนี้คนทุกระดับชั้นของตระกูลสวียุ่งอยู่กับงานแต่งตั้งแต่เริ่มต้นวัน
“คึกคักจริง ๆ!”
รถจี๊ปจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ที่หรูหราที่สุดในใจกลางเมือง
เย่เทียนกับหลินขุยเพิ่งจะลงรถมาก็เห็นคนสี่ห้าคนล้อมอยู่หน้าประตูตระกูลสวี ทั้งแขวนโคมไฟ ทั้งติดป้าย
ในคฤหาสน์ยังคงมีเสียงหัวเราะส่งออกมาเป็นพัก ๆ
“กระดูกของเทียนเฉิงยังไม่ทันเย็น พวกเขากลับมีความสุขสนุกสนานเฮฮา…” น้ำเสียงของเย่เทียนราบเรียบ แต่ความหนาวยะเยือกกลับกำจายมาจากร่างของเขา หนาวเหน็บอย่างรุนแรง!
“ท่านครับ ให้ผมไปจับคนหลัก ๆ ในตระกูลสวีมาให้ท่านถามทีละคน ๆ ไหมครับ?” หลินขุยเสนอเบา ๆ
เย่เทียนส่ายศีรษะอย่างเย็นชา “อาขุย นายรู้ไหมว่าเวลาไหนที่คนหวาดกลัวที่สุด?”
หลินขุยคิดอยู่สักพักแล้วเอ่ยตอบว่า “ตอนที่เผชิญหน้ากับความตายเหรอครับ?”
เย่เสี่ยวเทียนหรี่ตาลง “ผิดแล้ว เป็นตอนที่อยากตายแต่ตายไม่ได้!”
พูดจบก็เดินนำหน้าไปยังตระกูลสวี!
หลินขุยเดินตามอยู่ด้านหลัง เขาสูดลมหายใจเบา ๆ
ดูเหมือนว่าคุณท่านจะตัดสินใจลงมือเองแล้ว…
“พวกแกยืนอึ้งกันอยู่ทำไม? รีบเอาขึ้นไปสิ นี่เป็นป้ายที่ท่านนายกเทศมนตรีมอบให้เชียวนะ ต้องรีบแขวนถึงจะโอเค!”
“แกเบามือหน่อยสิ โคมไฟนี้ท่านหญิงเลือกเองเลยนะ ทำพังนิดเดียวแกตายแน่”
ที่ประตูคฤหาสน์ สวีฝูพ่อบ้านตระกูลสวีกำลังออกคำสั่งลูกน้องอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
พอหันมาด้านข้างก็เห็นคนสองคนเดินก้าวยาว ๆ ด้วยความรวดเร็วไปทางทางเข้าคฤหาสน์
“เฮ้ ๆ พวกคุณทำอะไรน่ะ? ที่นี่คือตระกูลสวี ไม่ใช่ตลาดสดนะ” สวีฝูก้าวเข้าไปสองก้าวก็ขวางอยู่ด้านหน้าของเย่เทียนกับหลินขุย
“ด้านในกำลังเร่งทำงานกันอยู่ ถ้าไปทำอะไรพังขึ้นมานิดเดียวพวกแกชดใช้ไหวเหรอ? รีบไสหัวไป!”
เห็นพวกเขาแต่งกายธรรมดา ๆ สวีฝูก็เลยพูดจาไม่มีความเกรงใจกัน
“บังอาจ แก…”
หลินขุยมองสวีฝูราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขากำลังจะลงมือ แต่กลับถูกเย่เทียนขัดขวางไว้ก่อน
“ผมชื่อเย่เทียน มาที่ตระกูลสวีเพื่อมาหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง”
“เย่เทียน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” สวีฝูจ้องเขาอย่างหยิ่งยโส “รีบไสหัวไปซะ คนบ้านนอกอย่างแกจะมามีเพื่อนอยู่ในตระกูลสวีได้อย่างไร? ปัญญาอ่อนหรือเปล่า?”
เย่เทียนไม่ได้สนใจ เดินมุ่งตรงจะเข้าไปด้านใน
แถมหลินขุยที่อยู่ข้างหลังก็ก้าวมาอยู่ข้างหน้าก้าวหนึ่ง สกัดอยู่ด้านหน้าของสวีฝูเหมือนภูเขาที่สูงตระหง่าน
“แกควรจะฉลองนะ วันนี้คุณท่านไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิตครั้งใหญ่”
“พูดจบก็หันกลับไปเดินตามเย่เทียนก้าวเข้าไปในประตูใหญ่”
“แก! แกนี่ กล้ามาก่อเรื่องในตระกูลสวี พวกแกอยากตายสินะ?!”
สวีฝูโมโหร้ายไม่หยุด ไล่ตามเข้าไปต่อว่าด้วยความโกรธ
ในตอนนี้เองเสียงกังวานก็ดังขึ้น
“สวีฝู ด้านนอกจัดการเสร็จหรือยัง? อาหารครบแล้ว รอคุณย่าออกมาก็เปิดงานได้เลย”
หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในคฤหาสน์ เธอสวมกระโปรงสีแดงยาวเลยเข่า แต่งหน้าเบา ๆ ดูสวยสง่าทรงเกียรติ
“นี่มัน… เรื่องอะไรกันน่ะ?” เห็นฉากที่ประตูแล้วทุกคนก็อึ้งอยู่พักหนึ่ง
“คุณนายน้อย เจ้าสองคนนี้จะมาหาใครก็ไม่รู้ที่ตระกูลสวี ทั้งยังดันทุรังจะเข้าไปให้ได้!”
สวีฝูรีบวิ่งมาอยู่ตรงหน้าหญิงสาว โค้งตัวน้อย ๆ นอบน้อมต่อหญิงสาวมาก
“อย่างนั้นเหรอ หญิงสาวมองเย่เทียนขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายศีรษะเบา ๆ “หลายวันนี้ที่ตระกูลมีเรื่องต้องจัดการอยู่แล้ว ไม่พบแขกจากภายนอก พวกคุณรีบกลับไปเถอะ!”
พูดจบเธอก็หมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน
“คุณชื่อหลินเสว่?” เย่เทียนเอ่ยช้า ๆ สองตาปักอยู่ร่างของหญิงสาวราวกับมีด
“คุณเป็นใครคะ?” หลินเสว่หมุนตัวกลับมา เธอรู้สึกแปลกใจ
เย่เทียนไม่ได้ตอบคำถาม สายตาค่อย ๆ เยียบเย็นขึ้นทีละนิด
คนที่อยู่ตรงหน้านี้เหมือนกับในรูปที่สวีเทียนเฉิงเคยเอาให้เขาดูไม่มีผิดเพี้ยน